เเรม 8 ค่ำ เดือน 1
การตอบแทนคุณมารดาบิดาอย่างสูงสุด
ภิกษุทั้งหลาย ! เรากล่าวการกระทำตอบแทนไม่ได้ง่ายแก่ท่านทั้งสอง.
ท่านทั้งสองนั้นคือใคร ? คือ
๑. มารดา
๒. บิดา
ภิกษุทั้งหลาย !
บุตรพึงประคับประคองมารดา ด้วยบ่าข้างหนึ่ง
พึงประคับประคองบิดาด้วยบ่าข้างหนึ่ง
เขามีอายุมีชีวิตอยู่ตลอดร้อยปี และเขาพึงปฏิบัติท่านทั้งสอง
นั้นด้วยการอบกลิ่น การนวด การให้อาบนํ้าและการดัด
และท่านทั้งสองนั้น พึงถ่ายอุจจาระปัสสาวะบนบ่าทั้งสอง
ของเขานั่นแหละ.
ภิกษุทั้งหลาย !
การกระทำอย่างนั้น ยังไม่ชื่อว่า อันบุตรทำแล้ว
หรือทำตอบแทนแล้ว แก่มารดาบิดาเลย.
ภิกษุทั้งหลาย !
อนึ่ง บุตรพึงสถาปนามารดา บิดาในราชสมบัติ
อันเป็นอิสราธิปัตย์ ในแผ่นดินใหญ่
อันมีรัตนะ ๗ ประการ มากหลายเช่นนี้
การกระทำกิจอย่างนั้น
ยังไม่ชื่อว่าอันบุตรทำแล้ว หรือทำตอบแทนแล้ว
แก่มารดาบิดาเลย. ข้อนั้นเพราะเหตุไร ?
เพราะมารดาบิดามีอุปการะมาก บำรุงเลี้ยงแสดงโลกนี้แก่บุตรทั้งหลาย.
ส่วนบุตรคนใด
ยังมารดาบิดา ผู้ไม่มีศรัทธา ให้สมาทานตั้งมั่นในสัทธาสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยศรัทธา).
ยังมารดาบิดา ผู้ทุศีล ให้สมาทานตั้งมั่นในสีลสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยศีล).
ยังมารดาบิดา ผู้มีความตระหนี่ ให้สมาทานตั้งมั่นในจาคสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยการบริจาค).
ยังมารดาบิดา ทรามปัญญา ให้สมาทานตั้งมั่นในปัญญาสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยปัญญา).
ภิกษุทั้งหลาย !
ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้แล
การกระทำอย่างนั้นย่อมชื่อว่า
อันบุตรนั้นทำแล้ว และ ทำตอบแทนแล้ว แก่มารดาบิดา.
ทุก. อํ. ๒๐/๗๘/๒๗๘.
พุทธวจน
อานนท์ ! ธรรมก็ดี วินัยก็ดี
ที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้ว แก่พวกเธอทั้งหลาย
ธรรมวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย
โดยกาลล่วงไปแห่งเรา
มหา. ที. ๑๐/๑๕๙/๑๒๘.
อังกฤษ วิกฤตหนัก ค่าฝังศพแพงหูฉี่ ถึงขั้นคนยากจนต้องฝังศพญาติไว้ในบ้าน ?
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร์อังกฤษ ประกาศเตือน ในห้วข้ออังกฤษกำลังเผชิญกับภาวะค่าใช้จ่ายในพิธีฝังศพ ที่อาจจะบานปลายถึงขั้นที่คนยากจนต้องฝังศพญาติไว้ในบ้านตัวเอง เพราะไม่มีเงินพอที่จะจ่ายฝังศพที่เพิ่มขึ้นอย่างสูง
โดยนางเอ็มม่า เลเวลล์ บัค ส.ส.สภาอังกฤษ กล่าวว่า ปัจจุบัน มูลค่าในการฝังศพผู้เสียชีวิตชาวอังกฤษ ในพื้นที่ทั่วไปแต่ละครั้ง คิดเป็นเงินศพละ 3,551 ปอนด์ ราว 181,101 บาท และบางพื้นที่แพงถึง 7,000 ปอนด์ ราว 3.57 ล้านบาท และเพื่อที่จะได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐ หรือสำนักงานบำนาญ เป็นจำนวน 1,144 ปอนด์
โดยญาติที่จะจัดพิธีศพ จะต้องแน่ใจว่าพวกเขามีค่าใช้จ่ายดังกล่าวสำรองจ่ายอยู่แล้ว เพราะผู้อ้างสิทธิจะต้องมีใบแสดงค่าใช้จ่ายการทำพิธีศพก่อนจะเบิกสิทธินี้ ร้อนถึงคนยากจนกว่า 3 หมื่นคน ที่ไม่ได้ใช้สิทธิดังกล่าว นอกจากนี้ กระบวนการกรอกใบสมัครยังต้องใช้เวลานานและซับซ้อน และสำหรับผู้ที่เพิ่งเคยเบิกสิทธิดังกล่าวครั้งแรก ก็ต้องใช้เวลานานถึง 17 วัน
นางเอ็มม่ากล่าวด้วยว่า หากคนเหล่านี้เลือกจะใช้วิธอื่น ก็ต้องใช้บริการฝังหมู่ศพของสภาท้องถิ่น ซึ่งจะไม่มีการจัดพิธีใด ๆ ทั้งสิ้น และที่ผ่านมา ประเมินว่า มีชาวอังกฤษราว 110,000 คนต้องเป็นหนี้ราว 1,300 ปอนด์สำหรับการจัดพิธีศพ และประเมินว่า อังกฤษ จะมีครอบครัวถังแตกยากจนกว่า 5 แสนคน ที่ต้องสูญเสียญาติในทุก ๆ ปี และวิกฤตนี้ทำให้หลายครอบครัวที่ยากจนต้องขายทรัพย์สิน หรือไปกู้ยืมเงิน รูดบัตรเครดิต ซึ่งทำให้พวกเขาต้องเผชิญกับภาวะยากลำบากทางการเงิน
ทั้งนี้ สำหรับการฝังศพในบ้านของอังกฤษถือว่าไม่ผิดกฎหมาย หากกระทำได้มาตรฐาน โดยระบุว่าศพจะต้องถูกฝังห่างจากแม่น้ำ และอยู่ลึกใต้ดินถึง 2 ฟุต.
MThai News
สำรวจต้นทุน"งานศพ" ในสังคมไทย 2555 " จากนาทีสิ้นลมถึงเชิงตะกอน ต้องจ่ายอะไรและเท่าไร ?มาดูกัน!!!
เมื่อพูดถึง "ความตาย" ใครๆก็ย่อมไม่อยากให้เกิดขึ้นกับตนเองหรือคนใกล้ชิด แต่ใครไหนเล่าจะเลี่ยงความตายได้ ? ดังคำสอนของพระพุทธเจ้าที่พูดถึงสิ่งต่างๆในโลกนี้ว่า ล้วนแล้วแต่ "เกิดขึ้น ดำรงอยู่ และดับไป"
หากแต่เมื่อความตายเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่ผู้ที่ยังอยู่ต้องทำให้แก่ผู้จากไปนั่นก็คือ "งานศพ" อาจจะเป็นงานศพหรูหรา หรืองานศพแบบธรรมดา ตามแต่เจ้าภาพจะต้องการ แต่รู้ไหมว่า งานศพแต่ละงานนั้นมีค่าใช้จ่ายไม่ใช่น้อยๆ
วันนี้ มติชนออนไลน์ จะพาคุณผู้อ่านไปดูราคาค่าใช้จ่ายต่างๆสำหรับการจัดงานศพกันว่า ในงานศพแต่ละงานนั้น มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง ?
ค่าใช้จ่ายหลังความตายขั้นแรก
เริ่มที่โรงพยาบาล เมื่อเสียชีวิต ทางโรงพยาบาลจะมีบริการอาบน้ำ แต่งตัว ให้ผู้ตายใหม่ในราคาค่าบริการ 300 บาท ค่าฉีดฟอร์มาลีน 950 บาท (รวมค่ายาแล้ว) หากต้องการฝากร่างผู้เสียชีวิตไว้ในห้องเก็บศพของทางโรงพยาบาล ก็จะมีราคาค่าเช่าห้องอีกวันละ 300 บาท แต่ถ้าต้องการฝากไว้นานหลายวัน สามารถต่อรองลดราคากับทางโรงพยาบาลได้ (ราคานี้เป็นราคาของโรงพยาบาลรัฐบาลตามระเบียบกระทรวงการคลัง)
แต่ถ้าใช้บริการของทางภาคเอกชนหรือตามร้านที่ให้บริการด้านงานศพนั้น ค่าฉีดฟอร์มาลีน พร้อมแต่งหน้าศพจะอยู่ที่ประมาณ 1,500 บาทขึ้นไป แต่หากเป็นศพที่ประสบอุบัติเหตุหรือศพติดเชื้อ ราคาจะเพิ่มขึ้นตามปริมาณยาที่ใช้ในการฉีดศพ
ต่อมา เป็นขั้นตอนของการจัดหาโลงศพ โดยโลงศพแต่ละโลงนั้นราคาจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับวัสดุที่นำมาทำเป็นโลงศพ เช่น โลงไม้ยาง โลงไม้เนื้อแข็ง โลงไม้อัด โลงมุก โลงกระจก นอกจากวัสดุแล้ว ลวดลายตกแต่งโลงศพก็ยังมีให้เลือกมากมาย ทั้งแบบเทพพนม แบบแกะสลัก ฯลฯ พร้อมทั้งโลงศพที่ติดตั้งอุปกรณ์เสริมต่างๆเช่น โลงศพติดแอร์ โดยราคาของโลงศพนั้นจะมีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ประมาณ 3,000 บาท ไปจนถึงกว่า 200,000 บาทเลยทีเดียว
เมื่อมีโลงศพแล้วก็ต้องมีดอกไม้ประดับหน้าที่ตั้งศพและเมรุ ราคาของดอกไม้จะอยู่ที่ประมาณ 8,000-15,000 บาท ราคาจะเพิ่มมากน้อยกว่านั้นก็ขึ้นอยู่กับดอกไม้ที่นำมาจัดว่าเป็นดอกไม้ชนิดไหน ปริมาณเท่าไร รูปแบบอย่างไร และหากตั้งสวดพระอภิธรรมศพหลายวัน ดอกไม้ที่จัดไว้ก็จะเริ่มเหี่ยวเฉา ทำให้ต้องมีค่าดอกไม้ที่ต้องเปลี่ยนเพิ่มตามมาอีก
ค่าใช้จ่ายช่วงการสวดพระอภิธรรม
แน่นอนว่า สิ่งแรกที่ต้องทำช่วงการสวดพระอภิธรรมก็คือการหา "วัด" ที่จะใช้ตั้งศพ ในอดีตคนมักจะนิยมตั้งศพบำเพ็ญกุศลที่บ้านของผู้เสียชีวิต แต่ปัจจุบันจะนิยมนำศพไปทำพิธีที่วัด เพื่อความสะดวกของทุกๆฝ่าย ทั้งฝ่ายเจ้าภาพและผู้มาร่วมงาน อีกทั้งยังสะดวกต่อการทำตามพิธีกรรมให้ครบถ้วนอีกด้วย ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ หากเป็นวัดที่อยู่ต่างจังหวัดค่าใช้จ่ายจะถูกกว่าวัดในกรุงเทพฯและจังหวัดใหญ่ๆหลายเท่าตัว
สำหรับวัดที่เป็นพระอารามหลวง ค่าใช้จ่ายในการจัดงานศพจะสูงที่สุด รองลงมาคือวัดขนาดใหญ่ ส่วนวัดขนาดเล็กนั้นค่าใช้จ่ายจะไม่สูงมากนัก นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายในวัดเดียวกันยังแตกต่างกันไปตามขนาดของศาลา นั่นก็คือ ถ้าเป็นศาลาขนาดใหญ่ก็จะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าศาลาขนาดเล็ก และถ้าเป็นศาลาที่มีเครื่องปรับอากาศค่าใช้จ่ายก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก
นอกจากนั้นแล้ว ปัจจัยสำคัญในการเลือกวัดเพื่อตั้งบำเพ็ญกุศลยังมีตั้งแต่ วัดใกล้บ้านผู้เสียชีวิต, มีที่จอดรถเพียงพอ, มีศาลากว้างพอจะรับรองแขกได้, มีเมรุเผาศพอยู่ในวัดเรียบร้อย (แต่หากเป็นวัดทางภาคเหนือ วัดจะไม่มีเมรุเผาศพหรือสุสาน ต้องนำศพเคลื่อนไปทำพิธีฌาปนกิจที่สถานที่สำหรับเผาศพที่แยกออกมาต่างหาก)
ด้านค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับวัดนั้น ค่าใช้จ่ายแรกก็คือ ค่าบำรุงในการสวดอภิธรรม หากเป็นวัดขนาดเล็ก มักกำหนดอัตราค่าศาลา 500 บาทต่อคืนขึ้นไป ส่วนวัดขนาดใหญ่ มักเรียกเก็บค่าบำรุงประมาณ 1,000 บาทต่อคืนหรือมากกว่านั้นตามขนาดของศาลา แต่ถ้าศาลาติดเครื่องปรับอากาศด้วย จะมีค่าบำรุงประมาณ 2,500 บาทต่อคืนขึ้นไป
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของอาหารที่จะใช้เลี้ยงแขกที่มาร่วมงาน ว่าจะจัดหาอาหารอะไร เจ้าภาพสามารถจัดหามาเลี้ยงเองได้ หรือจะใช้บริการของธุรกิจแคทเทอริ่ง ซึ่งปัจจุบันกำลังได้รับความนิยมอย่างมาก โดยธุรกิจนี้จะรับจัดเลี้ยงอาหารคาวหวานตามงานต่างๆ หรือรับทำเบเกอรี่กล่อง โดยราคาต่อกล่องนั้นจะอยู่ที่ประมาณกล่องละ 25-200 บาท แต่ถ้าไม่อยากยุ่งยากก็สามารถให้ทางวัดจัดการแทนก็ได้เช่นกัน โดยทางวัดจะคิดค่าอาหารเป็นรายหัว และชนิดอาหารที่นำมาเลี้ยง รวมแล้วคืนหนึ่งราคาค่าอาหารตกประมาณ 2,000-5,000 บาท
ค่าใช้จ่ายต่อมาคือ ค่าธรณีสงฆ์ หากญาติต้องการเก็บร่างผู้เสียชีวิตไว้ก่อน ยังไม่นำไปประกอบพิธีเผาหรือฝัง ก็สามารถนำร่างไปเก็บได้ที่ "โกดังเก็บศพ" ภายในบริเวณวัด โดยสามารถเก็บได้ไม่เกิน 100-150 วันตามแต่วัดนั้นๆจะกำหนด โดยบริจาคเป็นค่าบำรุงวัดประมาณ 500-1,000 บาท
ค่าใช้จ่ายที่ 3 คือ ค่าบำรุงในการเผาศพ ค่าบำรุงเมรุ ประมาณ 500-2,000 บาท โดยค่าเผาศพจะเรียกค่าบำรุงตามวิธีการเผา โดยวิธีการเผาแบบเตาถ่านจะถูกที่สุด ตามมาด้วยวิธีการเผาโดยใช้น้ำมัน และปัจจุบันนี้ยังมีเตาเผาศพไฟฟ้าเพิ่มมาอีกด้วย
นอกจากนั้นยังมีค่าสัปเหร่อประมาณ 1,000 บาท ค่าผ้าบังสุกุล ค่าเครื่องไทยธรรม/ดอกไม้ธูปเทียนที่ใช้ในการถวายพระประมาณ 1,000 บาทต่อคืน ค่าดอกไม้จันทน์ ถุงละ 80-100 บาท (1 ถุงมี 100 ดอก) และค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดอื่นๆ เช่น ค่าเครื่องตราสัง ค่ารถรับศพ ค่าแรงงานผู้มาช่วยงาน ค่าของชำร่วยที่มีหลากหลายทั้งหนังสือที่ระลึกงานศพ หนังสือธรรมะ ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ ยาหม่อง ยาดม ฯลฯ ซึ่งค่าใช้จ่ายต่างๆเหล่านี้ ราคาจะขึ้นอยู่กับจำนวน โดยในปัจจุบัน มีร้านรับจัดทำของชำร่วยทั้งแบบไปสั่งเอง สั่งผ่านร้านตัวแทนที่เกี่ยวกับธุรกิจงานศพ หรือจะสั่งผ่านทางอินเตอร์เน็ตจำนวนมาก
ค่าใช้จ่ายในงานศพแบบจีน
ค่าใช้จ่ายข้างต้นนั้นเป็นค่าใช้จ่ายในงานพิธีศพแบบไทย แต่หากงานศพที่จัดเป็นแบบจีนนั้นก็จะมีรูปแบบที่ต่างออกไป คือจะมีพิธีกงเต็กและต้องนำศพไปฝัง ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อมีพิธีเพิ่มมากขึ้น ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ก็จะเพิ่มตามขึ้นมาด้วย
สำหรับการทำพิธีกงเต็กนั้น เจ้าภาพจะมีค่าใช้จ่าย 2 ส่วน คือ ค่าใช้จ่ายแก่คณะพิธีกงเต็กและค่าใช้จ่ายเพิ่มแก่ทางวัด โดยค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายให้คณะพิธีกงเต็กนั้นขึ้นอยู่กับว่าเป็นกงเต็กใหญ่หรือเล็ก ถ้าเป็นกงเต็กใหญ่ค่าใช้จ่ายจะตกประมาณ 20,000 บาท หากเป็นกงเต็กเล็กจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 10,000-18,000 บาท ซึ่งค่าใช้จ่ายดังกล่าวนั้น ไม่รวมถึงเครื่องกระดาษและของไหว้ที่ต้องจ่ายเพิ่มประมาณ 3,000-20,000 บาท เจ้าภาพยังต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มให้แก่วัดสำหรับค่าอนุญาตทำพิธี ค่าบำรุงเตาเผาเครื่องกงเต็ก และค่าตำรวจรักษาการณ์คืนทำกงเต็ก ค่าใช้จ่ายส่วนนี้จะตกอยู่ที่ประมาณ 500-1,000 บาท
นอกจากค่าพิธีกงเต็กแล้ว ยังมีค่าหลุมฝังศพ โดยราคาจะขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้งซึ่งมีตั้งแต่ราคา 10,000-100,000 บาทขึ้นไป และค่าเสื้อผ้าของญาติในพิธีกงเต็ก ค่าทำพิธีกงเต็ก ค่าของไหว้ ค่าเครื่องกระดาษ และค่าดูฮวงจุ้ยเพิ่มมาอีก
แต่ปัจจุบันนี้ชาวไทยเชื้อสายจีนบางส่วนก็ไม่ได้ทำพิธีกงเต็กหรือฝังศพอีกต่อไป โดยหันมาใช้วิธีเผาศพผู้เสียชีวิตเช่นเดียวกับพิธีศพแบบไทยมากขึ้น ซึ่งบางครั้งก็เป็นความต้องการของผู้ที่เสียชีวิตเองที่ไม่ต้องการให้เป็นภาระกับลูกหลาน
เมื่อมีงานศพก็ต้องมีพวงหรีด
หากพูดถึงงานศพ ทุกคนก็ต้องนึกถึงภาพพวงหรีดหลายประเภทแขวนประดับลานตาไปทั่วศาลาสวดพระอภิธรรม มีทั้งอันใหญ่บ้าง เล็กบ้าง ถ้างานไหนเป็นงานใหญ่ จำนวนพวงหรีดก็แทบจะเต็มล้นไปทุกตารางนิ้วของศาลา จนเจ้าภาพต้องนำพวงหรีดที่เริ่มเหี่ยวไปทิ้ง รวมแล้วมูลค่าของพวงหรีดที่ถูกทิ้งไปเปล่าๆนั้นก็มีมูลค่าไม่น้อยเลยทีเดียว
สำหรับราคาของพวงหรีดในปัจจุบันนั้น พวงหรีดดอกไม้สดมีราคาตั้งแต่ประมาณ 500 บาท ไปจนถึง 3,000 บาท พวงหรีดดอกไม้แห้งมีราคาตั้งแต่ 500 - 1,500 บาท และพวงหรีดที่ทำจากผ้านั้นมีราคาที่ประมาณ 300-1,500 บาท
แต่ปัจจุบันนี้ นอกจากพวงหรีดยอดนิยมทั้ง 3 แบบอย่างที่เอ่ยถึงไปแล้วนั้น ยังมีพวงหรีดแบบใหม่ที่เน้นการรักษ์โลก ไม่ทำลายธรรมชาติและมีประโยชน์อีกด้วย นั่นก็คือ พวงหรีดพัดลมที่มีราคาตั้งแต่ 600 บาทขึ้นไป พวงหรีดหนังสือราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 800-2,000 บาท พวงหรีดกล่องนาบุญที่ภายในจะบรรจุอุปกรณ์การศึกษาต่างๆ ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 800-10,000 บาท พวงหรีดต้นไม้ที่เมื่อเสร็จงานศพแล้วก็สามารถนำต้นไม้นั้นไปปลูกต่อได้จริง สำหรับราคาของพวงหรีดต้นไม้นั้นขึ้นอยู่กับชนิดของต้นไม้ว่าเป็นต้นไม้อะไร สูงเท่าไร ราคาจะมีตั้งแต่ 800-2,000 บาท นอกจากนี้แล้วยังมีพวงหรีดของใช้ต่างๆ อีกหลายรูปแบบที่มีผู้สร้างสรรค์ออกมามากมายนับไม่ถ้วน ถือเป็นทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว
แม้ว่าในตอนนี้ พวงหรีดชนิดใหม่ดังกล่าวยังได้รับความนิยมไม่มากเท่าพวงหรีดดอกไม้แบบเดิมนัก แต่หากผู้อ่านท่านใดที่จะต้องสั่งพวงหรีดเพื่อเคารพศพก็น่าจะลองสั่งพวงหรีดแบบเหล่านี้ ดู เพื่อเป็นการช่วยกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ทั้งยังมีประโยชน์ที่เมื่อเสร็จงานแล้วก็สามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อได้
สำรวจค่าใช้จ่ายวัดดังในกรุงเทพฯ
ตามวัดต่างๆ การจัดงานศพแต่ละครั้งมักจะรวมค่าใช้จ่ายทั้งหลายไปในลักษณะเหมารวมเรียบร้อย ตั้งแต่ค่าศาลา ค่าบำรุงเมรุ ค่าอาหารและค่าจิปาถะต่างๆ วันนี้ มติชนออนไลน์จะขอนำเสนอราคาค่าใช้จ่ายของวัดดังภายในกรุงเทพฯให้ผู้อ่านได้ทราบกันว่า วัดใดมีราคาเท่าไร วัดไหนถูก วัดไหนแพงกว่ากัน
เริ่มต้นที่ วัดพระศรีมหาธาตุวรวิหาร ฌาปนสถานกองทัพอากาศ มีการให้บริการครบวงจร คิดค่าศาลาธรรมดาคืนละ 2,000 บาท ศาลาปรับอากาศคืนละ 2,500 บาท ค่าบำรุงเมรุ 4,000 บาท ค่าน้ำ ค่าไฟในวันเผา 2,000 บาท ค่าเจ้าหน้าที่วันละ 440 บาท และค่าของถวายพระคืนละ 1,040 บาท ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ได้แก่ ค่าโลงศพเทพนม ข้างในบุนวมมีราคาตั้งแต่ 3,450 บาทขึ้นไป ดอกไม้หน้าโลงศพนั้นราคาเริ่มต้นที่ 4,500 บาท สำหรับอาหารมีให้เลือก อาทิ กาแฟ โอวัลติน ไม่มีขนม ชุดละ 13 บาท กาแฟ โอวัลติน มีขนม 2 อย่าง ชุดละ 45 บาท หรืออาหารถ้วยละ 25-30 บาท สั้งขั้นต่ำ 50 ถ้วย
สรุปรวมหากจัดงาน 3 คืน จะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 60,000–90,000 บาท, 5 คืน ประมาณ 80,000–120,000 บาท และ 7 คืน ประมาณ 100,000–150,000 บาท
วัดโสมนัส: สำหรับวัดโสมนัสนั้นมีหน่วยงานฌาปนสถานกองทัพบกเป็นผู้ให้บริการ โดยฌาปนสถานจะเป็นคนกลางติดต่อกับร้านค้าภายนอก อาหารว่างจะสั่งมาจากสวนดุสิตโฮม, เอสแอนด์พี และการบินไทย โดยมีเมนูให้เลือก ส่วนอาหารคาวมีเจ้าประจำ แต่เจ้าภาพสามารถนำอาหารมาเองได้ ทางฌาปนสถานจะมีจาน ชาม ช้อนไว้ให้บริการ นอกจากนี้ยังมีสินค้าฝากขาย เช่น บริการถ่ายภาพและวีดีโอ บริการลอยอังคาร จอมอนิเตอร์ และของชำร่วย โดยมีแผ่นพับ โบรชัวร์ ให้เจ้าภาพเลือกใช้บริการ
โลงศพที่ใช้นั้นมาจากร้านพรนิมิต มีหลายแบบหลายราคาให้เลือก ขนาดของโลงขึ้นอยู่กับผู้เสียชีวิต โดยมีทั้งหมด 3 ขนาดให้เลือกตั้งแต่ 20, 22 และ 24 นิ้ว ส่วนของดอกไม้นั้นมีหลายแบบให้เลือก พร้อมทั้งโกฐพระราชทานราคาเริ่มต้นที่ 2,500 บาท โดยต้องใช้ดอกไม้ 2 ชุดคือหน้าหีบศพ 1 ชุดและหน้าเมรุอีก 1 ชุด ของที่ระลึกมีให้เลือก เช่น พัด ร่ม หนังสือ ยาดม หรือเจ้าภาพสามารถเลือกของชำร่วยตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการได้ และที่วัดยังมีบริการลอยอัฐิ เริ่มต้นที่ราคา 4,500 บาท สามารถเลือกสถานที่ในการลอยอัฐิได้
สรุปรวมค่าใช้จ่าย หากจัดงาน 3 คืน มีค่าใช้จ่ายประมาณ 50,000 บาท, 5 คืน ประมาณ 60,000 บาท และ 7 คืน ประมาณ 70,000 บาท
วัดเสมียนนารี: ให้บริการงานศพครบวงจร มีศาลาทั้งหมด 11 ศาลา เป็นศาลาแอร์ 7 ศาลา ศาลาธรรมดา 4 ศาลา โลงศพสั่งจากร้านสุริยาหีบศพ (แคราย) อาหารว่างมีให้เลือกทั้ง กาแฟ ไมโล โอวัลติน ในกรณีไม่มีขนมคิดชุดละ 10 บาท ถ้ามีขนมคิดชุดละ 20 บาท กาแฟ ไมโล โอวัลตินพร้อมขนมของ เอสแอนด์พี ชุดละ 35 บาท ข้าวต้มหม้อเล็ก 1,000 บาท หม้อใหญ่ 1,500 บาท กระเพาะปลา ก๋วยเตี๋ยวและอาหารประเภทอื่นๆ จะคิดราคาที่หม้อเล็ก 1,500 บาท สำหรับแขก 60-70 คน หม้อใหญ่ 2,000 บาท สำหรับแขก 100-120 คน
สรุปรวมค่าใช้จ่ายในการจัดงาน 3 คืนประมาณ 40,000 บาท, 5 คืนประมาณ 60,000 บาท และ 7 คืนประมาณ 70,000 บาท
วัดมกุฏกษัตริยาราม: วัดนี้มีอุปกรณ์ไว้บริการหลากหลาย ตั้งแต่หีบศพราคาเริ่มต้นที่ 2,300-5,500 บาท ดอกไม้ ราคาตั้งแต่ 6,000-20,000 บาท (หากเจ้าภาพนำร้านดอกไม้จากภายนอกมาจัดหน้าศพ ทางวัดคิดค่าบำรุงวัด 1,000 บาท) เครื่องไทยธรรมสามารถเช่าซื้อจากวัดได้ ชุดละ 220 บาท อาหารและเครื่องดื่มมีไว้บริการ แต่ถ้าเจ้าภาพต้องการอาหารและเครื่องดื่มของเอสแอนด์พีหรือการบินไทย เจ้าภาพต้องติดต่อหาซื้้อเอง
สำหรับอาหารว่างของทางวัดชุดละ 45 บาท ในหนึ่งกล่องมีขนม 2 ชิ้น และน้ำ 1 แก้วพลาสติก เจ้าภาพสามารถเลือกขนมและน้ำได้ตามเมนูขนมที่มีให้เลือก 26 รายการ มีน้ำให้เลือกอีก 4 รายการ ถ้าต้องการเป็นชา กาแฟ หรือโอวัลติน คิดถ้วยละ 20 บาท ถ้ามีของว่างด้วย 45 บาท ของว่างต้องสั่งขั้นต่ำ 30 ชุด อาหารถวายพระมี 5 อย่าง ของหวาน 1 อย่าง ผลไม้ตามฤดูกาล 3 อย่าง อาหารถวายพระ 9-10 รูปคิดราคา 250 บาทต่อรูป
สรุปรวมค่าใช้จ่ายในการจัดงาน 3 คืนประมาณ 60,000 บาท, 5 คืนประมาณ 80,000 บาท และ 7 คืนประมาณ 100,000 บาท
วัดหัวลำโพง ค่าใช้จ่ายในการจัดงาน 3 คืนประมาณ 60,000 บาท, 5 คืนประมาณ 80,000 บาท และ 7 คืนประมาณ 100,000 บาท
วัดเทพศิรินทร์ ค่าใช้จ่ายในการจัดงาน 3 คืน ประมาณ 50,000 บาท, 5 คืนประมาณ 70,000 บาท และ 7 คืนประมาณ 90,000 บาท
จากค่าใช้จ่ายทั้งหมดนั้น หากใครที่ไม่อยากวุ่นวายกับการจัดหาโลง จัดหาวัดและข้าวของจิปาถะทั้งหลาย ปัจจุบันนี้ก็มีร้านที่ทำแพ็คเกจสำเร็จรูปสำหรับการจัดหาโลง ฉีดยาศพ แต่งหน้าศพ นำศพไปส่ง จัดหาวัด หาอุปกรณ์ที่ใช้ในการตั้งหน้าศพ ของชำร่วย ดอกไม้ประดับต่าง จนกระทั่งถึงพิธีการนำกระดูกไปลอยอังคาร เรียกได้ว่าบริการครบเสร็จสรรพโดยที่ญาติไม่ต้องตระเตรียมสิ่งใด ซึ่งราคาสำหรับแพ็คเกจต่างๆนั้นจะมีราคาตั้งแต่ 9,000 บาท ไปจนถึงกว่า 200,000 บาท ขึ้นอยู่กับบริการต่างๆที่มีให้ ที่ยิ่งแพงเท่าไร บริการก็ยิ่งดีและครบวงจรมากขึ้นเท่านั้น
อ่านแล้วรู้สึกอย่างไรกันบ้าง? บางคนอาจจะบอกว่าทำไมแพงจัง? บางคนอาจจะบอกว่า ไม่เป็นไร ราคาเท่าไรก็จ่ายได้ เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่คนตายครั้งสุดท้าย
แต่สิ่งที่สำคัญกว่างานศพที่ยิ่งใหญ่หรือหรูหรานั่นคือ ก่อนตายเราได้ทำอะไรดีๆให้แก่โลกใบนี้แล้วหรือยัง ? เราได้ให้ความรัก เอาใจใส่ แสดงความกตัญญูแก่คนสำคัญของเราแล้วหรือยัง ?
ไม่ใช่แค่ว่า เราจะมาทำดีให้ในวันที่สายไป ด้วยการจัดงานศพหรูหรา ที่คนตายไม่ได้รับรู้ในสิ่งนี้ด้วยเลย ...
เรื่อง/ภาพ : ทิพาภรณ์ สุคติพันธ์
ข้อมูลประกอบรายงาน จาก : http://thaipublica.org/
อสส. ยังไม่สั่งฟ้อง ยิ่งลักษณ์ โกงจำนำข้าว ขอสอบพยานเพิ่ม
อัยการสูงสุดยังไม่สั่งฟ้อง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คดีทุจริตจำนำข้าว ระบุ ขอสอบพยานเพิ่มเติม เพื่อให้พยานหลักฐานสมบูรณ์ที่จะดำเนินคดีในชั้นศาล
ช่วง บ่ายวันนี้ (12 ธันวาคม 2557) นายสุรศักดิ์ ตรรีตน์ตระกูล อธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน และนายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ได้ร่วมกันแถลงข่าวการพิจารณาสำนวนโครงการทุจริตรับจำนำข้าวของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิด โดยระบุว่า คณะทำงานอัยการมีความเห็นให้สอบปากคำพยานบุคคลเพิ่มเติม และส่งพยานเอกสารให้ครบถ้วนเสียก่อน จึงได้เสนอเรื่องต่อ นายตระกูล วินิจนัยภาค อัยการสูงสุด ให้พิจารณา ซึ่งก็เห็นชอบ เพราะมองว่าหากมีการสอบสวนเพิ่มเติม ก็น่าจะมีพยานหลักฐานสมบูรณ์พอที่จะดำเนินคดีในชั้นศาลได้
นายสุรศักดิ์ กล่าวต่อว่า หลังจากนี้ตัวแทนคณะทำงานของ อสส. จะนัดหารือกับตัวแทนคณะทำงานของ ป.ป.ช. เพื่อตรวจสอบพยานหลักฐานร่วมกันอีกครั้งในเดือนธันวาคมนี้ พร้อมย้ำว่าอัยการสูงสุดจะยึดหลักกฎหมายและปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตามา เพื่อความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย
ปปช.ยังจับคนทุจริต..จำนำข้าวไม่ได้สักคน ว่าใครทุจริต ทุจริตที่ไหน ทุจริตเท่าไหร่..และอย่างไร ... ดันจะรวบรัดเอาผิดนายกปู.. ทั้งที่ไม่ได้ลงไปทำงาน..ในระดับปฏิบัติแม้แต่น้อย ... คนมันจะหาเรื่อง คนมันมีธงจะทำร้ายเขา มันก็ดันทุรังแถกแถไปเรื่อย..แถมยังพูดจาเย้ยหยัน อสส
สหรัฐอเมริกา กับ "ตลาดพลังงาน" โดย วีรพงษ์ รามางกูร
หากจะยังจำกันได้เมื่อ 10-15 ปีก่อน อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนขยายตัวในอัตราเลข 2 หลักมาเป็นเวลานานกว่า 10 ปี จนเศรษฐกิจของจีนมีขนาดใหญ่เป็นที่ 2 รองจากสหรัฐอเมริกา แซงหน้าเศรษฐกิจของญี่ปุ่นและยุโรปไปแล้ว ผลิตภัณฑ์มวลรวมของจีนมีขนาดกว่า 3.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และกำลังจะแซงหน้าเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ เพราะอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนยังขยายตัวในอัตรา 7-8 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของอเมริกามีเพียง 2-3 เปอร์เซ็นต์ต่อปี
การขยายตัวอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจจีน ทำให้ราคาของสินค้าขั้นปฐมหรือวัตถุดิบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน แร่ธาตุต่าง ๆ เช่น เหล็ก ทองแดง อะลูมิเนียม สังกะสี ซึ่งรวมทั้งราคาสินค้าเกษตร เช่น ยางพารา อ้อย น้ำมันปาล์ม และพืชต่าง ๆ ที่สามารถนำมาผลิตทดแทนน้ำมันมีราคาสูงขึ้นไปด้วย
เมื่อราคาสินค้าที่เป็นวัตถุดิบเหล่านี้มีราคาสูงขึ้น ก็เป็นเหตุจูงใจให้มีการลงทุนในกิจกรรมที่เป็นแหล่งพลังงาน เหมืองแร่ ยางพารา และสินค้าเกษตรที่สามารถนำมาใช้ผลิตพลังงานได้เพิ่มมากขึ้น จนในที่สุดราคาของสินค้าต่าง ๆ เหล่านี้ก็ค่อย ๆ ลดลง เกิดดุลยภาพใหม่ในตลาดสินค้าขั้นปฐมเหล่านี้
แต่มีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา ประเทศที่มีความก้าวหน้าทางวิทยาการการผลิตหรือเทคโนโลยีเกือบทุกด้านรวมทั้งในด้านพลังงาน เทคโนโลยีเช่นว่าก็คือ ความสามารถในการขุดเจาะลงไปใต้ชั้นหินดานลึกกว่า 10 กม. และสามารถลดต้นทุนการขุดเจาะดังกล่าวได้จนสามารถนำก๊าซธรรมชาติและน้ำมันขึ้นมาใช้ในเชิงพาณิชย์ได้เป็นผลสำเร็จ โดยการอัดฉีดน้ำลงไปแทนที่ก๊าซและน้ำมัน
แม้ว่าใต้ชั้นหินดานลงไปลึกกว่า 10 ก.ม. โดยทั่วไปในอเมริกาใต้ ยุโรป เอเชีย แอฟริกา หรือในภูมิภาคอื่น ๆ จะค้นพบก๊าซและน้ำมัน แต่ก็ไม่มีประเทศใดมีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าพอที่จะสามารถขุดเจาะเพื่อผลิตก๊าซและน้ำมันดิบขึ้นมาใช้อย่างสหรัฐอเมริกา
เมื่อเวลาผ่านไปปริมาณพลังงานที่สหรัฐสามารถขุดเจาะขึ้นมาใช้แทนการนำเข้าพลังงานก็มีมากขึ้นทุกที่ แม้ว่าในขั้นนี้สหรัฐอเมริกายังไม่สามารถส่งออกได้มากนัก เพราะยังไม่มีท่อส่งก๊าซและน้ำมันมาถึงยุโรปและภูมิภาคอื่น การขนส่งทางทะเลก็ยังมีต้นทุนสูง แต่การใช้พลังงานของตนเองทดแทนพลังงานนำเข้า ทำให้ต้นทุนต่ำลงไปเรื่อย ๆ ขณะนี้ประมาณการว่าพลังงานที่สหรัฐอเมริกาผลิตได้มีค่าความร้อนเท่า ๆ กับการผลิตของประเทศซาอุดีอาระเบีย อันเป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้ราคาน้ำมันไม่สูงขึ้นเหมือนอย่างที่เคยเป็น คืออยู่ในระดับประมาณ 90-100 เหรียญสหรัฐมาเป็นเวลาหลายปี
การที่สหรัฐสามารถพึ่งตัวเองในด้านพลังงาน จึงทำให้ยังคงความเป็นมหาอำนาจได้ต่อไป และเป็นสาเหตุสำคัญที่เศรษฐกิจสหรัฐยังสามารถทรงตัวอยู่ได้ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา และมีแนวโน้มว่าอาจจะฟื้นตัวได้อย่างช้า ๆ การว่างงานเริ่มลดลงแม้ว่าจะไม่ค่อยเร็วนักก็ตาม และดูดีกว่ายุโรปค่อนข้างมาก
การที่สหรัฐสามารถพึ่งตนเองได้ในด้านพลังงาน และมีโอกาสที่จะส่งออกได้ในอนาคตถ้าหากสามารถพัฒนาระบบขนส่งให้มีราคาถูกกว่านี้ พร้อม ๆ กับสามารถพัฒนาให้การขุดเจาะอัดฉีดน้ำลงไปแทนที่มีต้นทุนที่ถูกลง ทำให้เงินทุนจากทั่วโลกไหลกลับเข้าไปลงทุนในสหรัฐอเมริกามากขึ้น โอกาสที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะแข็งขึ้นเมื่อเทียบเงินสกุลหลักของโลกจึงมีมากขึ้น
ขณะเดียวกัน บทบาทของสหรัฐอเมริกาในภูมิภาคต่าง ๆ ก็อาจจะเปลี่ยนไปด้วยตามน้ำหนักของยุทธศาสตร์ของสหรัฐกล่าวคือ น้ำหนักของสหรัฐที่จะให้กับการรักษาเสถียรภาพและดุลแห่งอำนาจในตะวันออกกลางน่าจะน้อยลง ทรัพยากรทางการเงินและการทหารในภูมิภาคนี้น่าจะมีสัดส่วนที่น้อยลง แต่ในขณะเดียวกัน น้ำหนักที่สหรัฐจะให้กับการรักษาเสถียรภาพและดุลแห่งอำนาจของตนในเอเชียตะวันออกและยุโรปตะวันออกน่าจะมีมากขึ้น
ในทศวรรษต่อไปเราน่าจะเห็นบทบาทของสหรัฐอเมริกาในภูมิภาคนี้เพิ่มมากขึ้น คู่แข่งของสหรัฐในภูมิภาคเอเชียก็คงจะหนีจากจีนไม่พ้น แต่จะมาในรูปอื่นที่ไม่ใช่การแข่งขันในทางทหาร จะเป็นในรูปแบบใดก็เป็นเรื่องที่น่าคิด จีนเองก็คงจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบ การหาทางออกทางทะเลทั้งทางฝั่งอ่าวไทยและทางฝั่งอันดามัน ก็คงจะเป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่น่าจะมีผลกระทบต่อยุทธศาสตร์ของเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในขณะเดียวกัน สหรัฐก็คงต้องพยายามรักษาพันธมิตรเดิมอย่างอาเซียนไว้อย่างเหนียวแน่น
รูปแบบยุทธศาสตร์ในยุโรปตะวันออกก็คงคล้ายกัน โดยคู่แข่งของสหรัฐก็คงหนีไม่พ้นรัสเซีย แม้ว่าสหภาพโซเวียตจะล่มสลายไปแล้วก็ตาม รัสเซียก็ยังคงสามารถดำรงความเป็นผู้นำในกลุ่มประเทศที่เคยร่วมกันอยู่ในสาธารณรัฐเดิม ในขณะที่สหรัฐก็ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มประเทศนาโต้ ซึ่งได้แก่ประเทศยุโรปตะวันตก และประเทศยุโรปตะวันออกที่เกิดใหม่
การที่ยุโรปตะวันตกยังต้องพึ่งพาพลังงานน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหินจากรัสเซีย โดยท่อน้ำมันและก๊าซผ่านยุโรปตะวันออก ซึ่งทำให้อำนาจต่อรองของรัสเซียต่อประเทศยุโรปตะวันตกยังมีอยู่
เหตุการณ์เดินขบวนในยูเครนเพื่อแบ่งแยกดินแดนกลับไปรวมกับรัสเซีย หรือการที่แหลมไครเมียซึ่งเคยรวมอยู่กับยูเครนมีประชามติให้กลับไปรวมกับรัสเซีย เห็นได้ชัดว่าเป็นการต่อสู้กันระหว่างรัสเซียกับกลุ่มประเทศยุโรปตะวันตก หรือกลุ่มประเทศนาโต้โดยมีสหรัฐหนุนหลังอยู่ โดยที่ยุโรปตะวันตกไม่วิตกว่าจะมีผลต่อการส่งพลังงานของรัสเซียไปยังยุโรปตะวันตก
ที่เป็นเช่นนี้ก็อาจจะเป็นไปได้ว่ายุโรปตะวันตกมองเห็นศักยภาพของการผลิตพลังงานโดยเทคโนโลยีสมัยใหม่ว่าอาจจะทดแทนการผลิตน้ำมันของตะวันออกกลางได้ทั้งหมด และพลังงานจากตะวันออกกลางอาจจะสามารถทดแทนพลังงานทั้งหมดที่นำเข้าจากรัสเซียได้ในอนาคตอันใกล้ อำนาจต่อรองของยุโรปตะวันตกเหนือรัสเซียอาจจะเป็นเหตุที่ทำให้รัสเซียไม่กล้าทำอะไรที่รุนแรงต่อยูเครนและประเทศยุโรปอื่น ๆ
โลกตลอดมาจนทุกวันนี้ พลังงานกลายเป็นอาวุธสำคัญในการดำเนินยุทธศาสตร์ของนโยบายการต่างประเทศ และนโยบายทางการทหารที่สำคัญ ดุลแห่งอำนาจและความสำคัญของภูมิภาคต่าง ๆ ของมหาอำนาจนั้น มักจะเปลี่ยนผันแปรไปตามทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญสำหรับโลกทุกวันนี้คงไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าพลังงาน
บทบาทของสหรัฐอเมริกาในฐานะมหาอำนาจคงมีมากขึ้นในภูมิภาคนี้
|
เอเอฟพี - ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซียในวันนี้ (11 ธ.ค.) จะตั้งโต๊ะเจรจากับนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของอินเดีย ขณะที่ประเทศของเขาซึ่งถูกพิษคว่ำบาตรกำลังหาทางเสริมสร้างความสัมพันธ์ด้านพลังงาน, ความมั่นคง และยุทธศาสตร์ในเอเชีย
ปูตินจะพุ่งเป้าที่การผลักดันข้อตกลงพลังงานนิวเคลียร์, น้ำมัน, ก๊าซธรรมชาติ และกระทั่งเพชรกับพันธมิตรเก่าแก่อย่างอินดีย ในช่วงการเยือนแดนภารตะครั้งแรกของเขา นับตั้งแต่นายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี แห่งอินเดียก้าวขึ้นสู่อำนาจในเดือนพฤษภาคม
ประมุขวังเครมลินผู้นี้กำลังมองหาตลาดใหม่ๆ สำหรับแหล่งก๊าซธรรมชาติของรัสเซีย ขณะเศรษฐกิจของแดนหมีขาวกำลังซวนเซภายใต้การคว่ำบาตรของสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (อียู) จากกรณีที่มอสโกสนับสนุนการลุกฮือในยูเครนและการควบรวมแคว้นไครเมีย
“เขา (ปูติน) ต้องการแสดงให้โลกเห็นว่า เขาไม่ได้ถูกโดดเดี่ยวและอย่างน้อยเขาก็ยังมีกลุ่มประเทศบริกส์ (BRICS ซึ่งประกอบด้วย บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย, จีน และแอฟริกาใต้) อยู่” นันดาน อุนนีกฤษนัน ผู้เชี่ยวชาญด้านรัสเซีย พูดถึงการเยือนของปูติน
“อินเดียในตอนนี้กำลังมุ่งเน้นการพัฒนาและคาดหวังให้รัสเซียแบ่งปันเทคโนโลยีด้านยุทโธปกรณ์ของพวกเขา เพื่อให้อินเดียสามารถผลิตได้เองภายในประเทศ” อุนนีกฤษนัน สมาชิกอาวุโสของมูลนิธิออบเซิฟเวอร์รีเสิร์ช สถาบันวิจัยวิจัยซึ่งมีฐานอยู่ในนครเดลี
ปูตินคาดว่าจะมุ่งความสนใจที่การยกระดับการค้าสองทาง ซึ่งมีมูลค่าเพียงหนึ่งหมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 3.2 แสนล้านบาท) ทั้งๆ ที่ความสัมพันธ์อันเหนียวแน่นของทั้งสองประเทศมีมาตั้งแต่ทศวรรษ 1950 ภายหลังการอสัญกรรมของสตาลิน
นับตั้งแต่ก้าวขึ้นสู่อำนาจ โมดี ก็หาทางกระชับความสัมพันธ์กับประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ ที่ตอบรับคำเชิญเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองวันชาติอินเดียในเดือนมกราคมปีหน้า
อย่างไรก็ตาม อินเดียกลับแข็งขืนไม่ขอร่วมวงคว่ำบาตรรัสเซียกับฝ่ายตะวันตก และมีแนวโน้มว่าจะไม่สนใจคำเตือนจากวอชิงตันที่ว่า ตอนนี้ไม่ใช่เวลาอันเหมาะสมสำหรับการทำธุรกิจกับมอสโก
ปูติน กล่าวก่อนการมาเยือนของเขาในเช้าวันนี้ (11) ว่า เขาจะหาทางเสริมสร้าง “ความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ได้เปรียบ” ของพวกเขาให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยจะเลือกเฉพาะการขายเครื่องปฏิกรณ์สำหรับโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ของประเทศซึ่งหิวกระหายพลังงานอย่างอินเดียเพิ่มเติมและการขายยุทโธปกรณ์ที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
"ตู่-ปู" เผชิญหน้า มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับประจำวันที่ 5-11 ธันวาคม 2557
ว่ากันว่าถ้าเกิดมนต์ดำทำให้คนที่ชุมนุมอยู่ในห้องคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ชั้น22 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เมื่อคืนวันที่ 29 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา หายวับไปกับตา ประเทศไทยจะเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพราะในห้องนั้นมีทั้งคนในแวดวงการเมืองตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี 5 คน ตั้งแต่ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายชวน หลีกภัย นายบรรหาร ศิลปอาชา พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และนักการเมืองรุ่นใหญ่อีกเพียบ
ส่วนนักธุรกิจก็มีตั้งแต่นายธนินท์ เจียรวนนท์ เจ้าสัวซีพี เจ้าภาพ นายเจริญ สิริวัฒนภักดี เบียร์ช้าง นายชาตรี โสภณพนิช แบงก์กรุงเทพ นายอนันต์ อัศวโภคิน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ และนักธุรกิจใหญ่มากมาย รวมมูลค่ากิจการทั้งหมดของคนมาร่วมงานไม่น่าจะต่ำกว่างบประมาณประเทศไทย นี่คืองานแต่งงานของลูกสาวเจ้าสัวซีพี "นิพาภรณ์ เจียรวนนท์" และ ดร.ชวัลวัฒน์ อริยวรารมย์ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เชลล์ฮัท เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด ผู้ใหญ่ทั้งบ้านทั้งเมืองจึงให้เกียรติมาร่วมงานกว่า 3,000 คน และกลายเป็นงานชุมนุมมังกรซ่อนพยัคฆ์ทางการเมืองอย่างแท้จริง เพราะเป็นครั้งแรกที่ พล.อ.ประยุทธ์ นายกฯ คนปัจจุบัน กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ อดีตนายกฯ มาร่วมงานเดียวกัน และยังมีนักการเมืองต่างขั้วอย่างนายอภิสิทธิ์ และนายชวนอีก
การจัดวาง "ที่นั่ง" ของแต่ละคนจึงเป็นสุดยอดกลยุทธ]ทำอย่างไรทุกฝ่ายจะพอใจ"ธนินท์" จัดเวทีขนาดใหญ่อยู่ด้านใน เป็นเวทีที่มีทางเดินคั่นกลางแบ่งแขกรับเชิญเป็น 2 ฝั่ง พล.อ.ประยุทธ์และภรรยา นั่งโต๊ะติดเวทีฝั่งหนึ่ง ผู้ร่วมโต๊ะประกอบด้วย พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา 3 ขุนพล "บูรพาพยัคฆ์" ที่สำคัญก็คือ มีนักธุรกิจใหญ่อย่าง นายเจริญ และคุณหญิงวรรณา ภรรยา นั่งร่วมโต๊ะด้วย แต่ พล.อ.ประยุทธ์ รักษา "ระยะห่าง" ด้วยการให้ พล.อ.ประวิตร นั่งคั่นกลาง ก่อนที่จะเป็นนายเจริญและคุณหญิงวรรณา ตามมาด้วย พล.อ.อนุพงษ์
ส่วนอีกฝั่งหนึ่ง โต๊ะที่อยู่ติดเวทีเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ซ้ายมือเป็น นายวราเทพ รัตนากร ขวามือเป็น นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ และ พล.ต.อ.วุฒิ น้องชาย ก่อนที่ นายชาตรี โสภณพนิช จะมาร่วมโต๊ะด้วย โต๊ะถัดมาเป็น นายชวน นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน นายเกียรติ สิทธีอมร นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย
ช็อตที่น่าสนใจที่สุด คือ ตอนที่ พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นกล่าวอวยพรบนเวที เพราะเป็นช่วงเวลาที่ "เวที" ไม่สามารถเป็นกำแพงกั้นระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ พล.อ.ประยุทธ์ ยืนบนเวที จากตำแหน่งนั้นห่างไปไม่ถึง 10 เมตร ด้านล่างขวามือ คือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ แต่ตลอดเวลาที่กล่าวคำอวยพร พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้เหลือบมองมาทาง น.ส.ยิ่งลักษณ์ เลย ในขณะเดียวกัน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ไม่ได้มองขึ้นไปบนเวที เธอเลือกก้มหน้าลงรับประทานอาหาร สลับกับดื่มน้ำ และบางจังหวะก็หันไปสนทนากับนายวราเทพ มีจังหวะเดียวที่ พล.อ.ประยุทธ์ เชิญชวนแขกที่มาร่วมงานให้ดื่มอวยพร "ยิ่งลักษณ์" ลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเรียบเฉย มองแต่แก้วน้ำ จิบนิดนึงแล้วนั่งลง จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ก็เดินลง "เวที" กลับมาทำหน้าที่ "กำแพง" กั้นระหว่าง "พยัคฆ์หนุ่ม" กับ "นางเสือสาว" อีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่ทั้งคู่จะเลี่ยงเดินออกจากงานในเวลาต่อมา
เป้าหมายที่แท้จริงของพวกนี้ในการเลือกนายกก็คือ สิ่งนี้สินะ
พยายามบิดไป บิดมา หาทางกันอยู่ได้แต่จริงๆ แล้วเป้าหมายหลักมันก็คือแบบนี้แหละ ให้ สว มาร่วมโหวตด้วย เพราะพวกตัวเองมี สว สรรหาอยู่ในมือแล้ว 77 คน บวกกับ สว จากการเลือกตั้งอีกเอาซักแค่ 30 กว่าคนก็พอ แค่นี้ก็มี 100 เสียงสบายๆ แล้ว ส่วน สส ก็ปรับให้ลดเหลือ 350 คน เลือกตั้งมา พท อาจจะลดลงมาเหลือแค่ 180 คน ปชป อาจจะได้มา 120 คน แค่นี้ก็ไปบวกเอากับ สว ฝ่ายตัวเองอีก 100 กว่าคน พรรคเล็กๆ อีก 30-40 คน รวมมาได้ 260+ คน ก็ชนะใสๆ ดันคนของ ปชป ขึ้นมาเป็นนายกได้ทุกรอบ
นายวัลลภ สุวรรณดี ประธานที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผย ภายหลังเป็นประธานการประชุมจัดระเบียบบริเวณโดยรอบถนนเสือป่า โรงพยาบาลกลาง และถนนคลองถม ร่วมกับ กองบัญชาการตำรวจนครบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่า ที่ประชุมได้ข้อสรุปว่า จะอนุญาตให้มีการค้าบริเวณดังกล่าวได้ถึงสัปดาห์สุดท้ายของปีนี้ หลังจากนั้น กทม. จะขอคืนพื้นที่ ซึ่งมีผู้ค้ากว่า 2,000 ราย โดยได้เตรียมพื้นที่ไว้รองรับแล้ว เช่น พื้นที่ใต้ทางด่วน และสถานีขนส่งเดิม
เนื่องจาก มีประชาชนได้รับความเดือดร้อน ไม่ได้รับความสะดวกในการสัญจร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันเสาร์และอาทิตย์ รวมถึงปัญหาในการดูแลป้องกัน การเกิดอัคคีภัย และปัญหาด้านความสะอาด
ด้าน พลตำรวจตรีอดุลย์ ณรงศักดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวว่า ในวันที่ 15 ธันวาคมนี้ จะเชิญผู้ค้าในบริเวณดังกล่าวร่วมประชุม เพื่อชี้แจง และขอความร่วมมือ ซึ่งมีอยู่ 3 กลุ่ม ได้แก่ ผู้ค้าที่เป็นตึกแถว มีการก่อสร้างต่อเติมรุกล้ำทางเท้า ผู้ค้าที่อยู่ในจุดผ่อนผันมีชื่ออยู่ในบัญชี จำนวน 67 ราย แต่ปัจจุบันมีกว่า 900 ราย และผู้ค้าที่ทำการค้าขายบนถนน
คลองถม เป็นแหล่งขายของมือสองและของเก่า รวมทั้งอุปกรณ์รถยนต์ประดับยนต์ รวมไปถึงของจิปาถะ เป็นย่านการค้าที่ตั้งอยู่ระหว่างถนนวรจักรและถนนเจริญกรุงกับเยาวราชมาแต่โบราณ ปัจจุบันตั้งอยู่เขตป้อมปราบศัตรูพ่ายกรุงเทพมหานคร
เดิมคลองถมนั้นเรียกกันว่า คลองสำเพ็ง โดยมีปลายคลองด้านหนึ่งติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนปลายคลองอีกด้านออกสู่คลองมหานาค เมื่อมีการตัดถนนเพิ่มขึ้น และทางการได้ลดจำนวนคลองลง ในช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475 จากนั้นก็ได้มีการสร้างถนนขึ้นบริเวณคลองนี้ ตอนแรกก็ถมกันด้วยขยะทั่วไป ต่อมาก็แปรสภาพมาเป็นถนน ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ละแวกนั้นมาแต่เดิม เรียกกันติดปากเรื่อยมากันว่า "คลองถม" จนถึงทุกวันนี้
รู้มั้ย!? สัญลักษณ์การชูนิ้ว แบบต่างๆมีความหมายอย่างไร? รู้ไว้จะได้ไม่ไปยก ซุ่มสี่ซุ่มห้า เพราะบางทีคุณอาจจะงานเข้าไม่รู้ตัว
กระแสการชู 3 นิ้ว ที่แพร่หลายอย่างรวดเร็ว หลังจากภาพยนตร์ชุด The Hunger Games ออกฉาย ซึ่งมีการนำไปตีความ และใช้สื่อความหมายมากมาย นัยหนึ่งก็แสดงออกซึ่งความกระด้างกระเดื่อง ต่อต้าน และไม่เห็นด้วยกับการปกครอง
วันนี้ก็เลย ไปหาข้อมูล เกี่ยวกับ “สัญลักษณ์นิ้ว” มาบอกเล่าสู่กันฟังครับ
ชูนิ้วโป้ง 1 นิ้ว : ทั่วไปก็คือ Thumbs up ยกย่อง-เยี่ยมไปเลย ยิ่งยกหัวแม่โป้ง 2 ข้าง Two Thumbs up ก็ยิ่งเยี่ยมเข้าไปใหญ่
บ้านเรากับอีกหลายๆ ประเทศ นิ้วโป้งหมายถึง “สุดยอด” หรือ “นายแน่มาก” แต่ถ้าไปเผลอยกใส่ใครในญี่ปุ่น นิ้วนี้จะถูกลดความหมายไปทันทีแปลว่า นายก็เป็นได้แค่ที่ 5 เท่านั้นเอง!! เพราะเวลาที่คนญี่ปุ่นเขานับนิ้ว เขจะเริ่มนับกันที่นิ้วชี้ก่อน ตามด้วยนิ้วกลาง นาง ก้อย แล้วปิดท้ายด้วยนิ้วโป้ง ส่วนถ้าไปที่ออสเตรเลีย การชูนิ้วโป้งนี่อันตรายมาก เพราะมันมีความหมายหยาบคายทำนอง “Kiss My Ass” เทียบแล้วก็คือท่าชูนิ้วกลางในบ้านเราขืนไปชมใครด้วยนิ้วนี้ อาจได้รองเท้า (พร้อมเท้า) เป็นรางวัล
ชูนิ้วกลาง 1 นิ้ว : เป็นที่รู้กันทั่วโลกว่าหมายถึงการให้ของลับของเพศชาย ที่มาของท่าคลาสสิคนี้เกิดขึ้นในสมัยโบราณ
ตอนนั้นชาวโรมันเชื่อกันว่าองคชาติของผู้ชายเป็นเครื่องรางที่ใช้สู้กับคำสาปชั่วร้ายได้เวลาชูนิ้วกลางใส่ใครจึงเป็นการข่มขู่คู่ต่อสู้ว่า “มนต์ดำของแกทำอะไรฉันไม่ได้หรอกน่า” แต่ต่อมาเกิดการเพี้ยนขั้นรุนแรง เลยลืมเรื่องมนต์ดำกันไป กลายเป็นคำด่าล้วนๆ นอกจากนี้ท่าชูนิ้วกลางนี่ยังได้เกิดในวงการมายาด้วย เมื่อ 423 ปีก่อนคริสตศักราช ละครเวทีเรื่อง “The Cloulds” ของ ?อริสโตฟาเนส’ ได้เอาท่านี้ขึ้นไปเล่นกันบนเวที แต่เรียกมันว่าท่า “ดิจิตุส อินฟามุส” มีความหมายประมาณว่าเป็นนิ้วทุเรศ หรือนิ้วทะลึ่ง จากนั้นความหมายของนิ้วกลางก็เลยยิ่งแพร่หลายไปในทำนองหยาบคายมากขึ้นไปอีกหลายประเทศถือว่า การแสดงท่านี้ มีความผิดทางกฎหมาย ด้วย
ชูนิ้วชี้ ความหมายทั่วๆไปมักจะเป็นการบอกจำนวน หรือมีนัยยะว่า ชั้นน่ะคือที่ 1 (ใช้เพื่อข่มคู่ต่อสู้) ในการแข่งขันบางประเทศในประเทศสหรัฐอเมริกาการชูนิ้วชี้นิ้วเดียวเป็นการบอกว่าชั้นนี่แหละที่ 1
และการชูนิ้วชี้นิ้วเดียวไปยังคนที่ต้องการจะสื่อสารด้วย มักจะเป็นการสั่ง หรือเป็นการเตือนว่าพอได้แล้ว (อาจจะมีเรื่องกันได้) แต่ถ้าไปทำท่านี้ในประเทศแถบอาหรับหรือแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจะมีความหมายเท่ากับการชูนิ้วกลางนิ้วเดียวให้อีกฝ่าย
ชูนิ้วนาง การชูนิ้วนาง (เฉพาะด้านซ้าย) มักจะเป็นการชูเพื่อให้คนรัก หรือคู่หมั้นใส่แหวนหมั้นในพิธีหมั้นหมายนั่นเอง
ชูนิ้วนิ้วก้อย การชูนิ้วก้อยมักจะมีความหมายไปทาง “ขอคืนดี ดีกันนะ” มักจะสื่อไปทางความหมายที่ดีแบบอมยิ้ม
ชูนิ้วชี้กับนิ้วกลาง 2 นิ้ว การชูนิ้วชี้กับนิ้วกลาง (แบบหงายฝ่ามือออก) เรียกว่า ” V (Victory) Sign ”
หรือ สัญลักษณ์แหงชัยชนะ เรื่องมันก็มีอยู่ ครั้งหนึ่งในสงคราม อังกฤษ – ฝรั่งเศส โดยนักแม่นธนูชาวอังกฤษถูกทหารฝรั่งเศสจับตัวและถูกทหารฝรั่งเศสตัดนิ้วชี้และนิ้วกลางที่ใช้ในการยิงธนูทิ้ง ทหารอังกฤษทุกคนจึงร่วมชูนิ้วชี้และนิ้วกลางเพื่อเป็นการยกย่องวีรบุรุษพลธนูคนนั้น
อีกนัยยะนึงอาจจะหมายความว่า “สู้โว๊ย” เพื่อต่อต้านการรุกรานของฝรั่งเศส ก็เป็นได้ คนที่เอาการชูสองนิ้วมาใช้ในความหมายแสดงชัยชนะจริงๆ คือ “วินสตัน เซอซิล” เค้าเป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษในช่วงสงครามโลก ครั้งที่ 2 ที่มักจะกล่าวคำปราศรัยพร้อมทั้งชู 2 นิ้วประกาศชัยชนะสงครามโลกอยู่หลายครั้ง
แต่การชู 2 นิ้วในประเทศญี่ปุ่น จะหมายความว่า “เราต้องการสันติภาพ” (หลังยุคสงครามโลกครั้งที่ 2) แต่ในประเทศไทย มีการชูนิ้วชี้และนิ้วกลางไว้เพื่อการถ่ายรูป เพื่อเพิ่มความแอ๊บแบ๊วขึ้นเท่านั้นเอง
การชูนิ้วชี้กับนิ้วกลาง (เอาหลังมือแบออก) มีความหมายหลายระดับ (มักจะออกไปทางไม่ดี)
-ระดับเด็กๆ มักจะหมายความว่า “อยากจะมีเซ็กส์กับฉันไหม”
-ระดับหนัก ถ้าใช้กับคนแปลกหน้าก็จะหมายความพอๆกับการชูนิ้วกลางดีๆนี่เอง
และถ้าเพิ่มนิ้วโป้งเข้ามาอีกนิ้วนะ จะหยาบคายสุดๆ
แต่ทั้งหลายนั้นขึ้นอยู่กับว่าภาษากายเราแสดงออกมาประกอบการเข้าใจมากกว่านะครับ
ชูนิ้วชี้กับนิ้วกลาง 2 นิ้ว : แบบเอาหลังมือออก แบบที่ผมเห็นแม่ค้าชาวไทยทำให้ฝรั่งดูนั่นแหละครับ
ความหมายมีหลายระดับ ออกไปทางไม่ดีทั้งนั้น
– อย่างดีกรีอ่อน จะหมายถึง “อยากมีเซ็กส์กับฉันไหม” (สังเกตรูปนิ้วแล้วจินตนาการความหมายเอาละกัน)
หญิงบริการ ที่ไปยืนรอรับกลาสีเรือขึ้นบก มักใช้สัญลักษณ์นี้สือความหมายว่า “ขายนะจ๊ะ”
หรือ เอาไว้ใช้ล้อ แซว เพื่อน ประมาณว่า ไอ้หน้า… ก็ได้
– อย่างดีกรีแรง ถ้าใช้กับคนแปลกหน้า ก็คือคำด่า ประมาณเดียวกับ ชูนิ้วกลาง นั่นเอง
ถือเป็น คำหยาบรุนแรง ที่เอาไว้ใช้ด่ากันโดยเฉพาะ
ถ้าเพิ่ม นิ้วโป้ง แทรกเข้ามา ระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วกลาง ยิ่งหยาบหนักเข้าไปอีก คงไม่ต้องอธิบาย อิ อิ
ฝรั่ง ก็คงพอเข้าใจว่า การชู 2 นิ้วแบบนี้ ไม่ได้หมายถึง อะไรอย่างที่ว่านั่น
เป็นการไม่เข้าใจความหมายที่แท้ เฉย ๆ*
ชูมือ 2 นิ้ว ทั้งสองข้าง : แบบเอามาแนบหู คล้าย ๆ หูกระต่าย ฝรั่งเรียกท่านี้ว่า Bunny Finger
ไม่ได้มีเอาไว้ ต่อหู ต่อเขา ให้เพื่อน แบบคนไทยเวลาถ่ายรูปหมู่
แต่หมายถึง ไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่อง ฟังไม่ชัด ครับ
ชูนิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วก้อย ที่รู้จักกันว่า I love you
แต่ถ้าไปเมืองฝรั่ง แล้วเผลอ ลืมยกนิ้วโป้งขึ้นมาด้วย แบบนี้ อาจมีปัญหา เพราะการชูนิ้วชี้ กับ นิ้วก้อย หมายถึง สัญลักษณ์ซาตาน ครับ
ชูนิ้วชี้ กับ นิ้วก้อย : มันคือ Devil Horn บ่งบอกว่าเป็น “เขา” ของซาตาน
ในสมัยโบราณ การแสดงท่านี้ คือสัญลักษณ์แสดงการ ไม่นับถือพระเจ้า ของพวกนอกรีต บูชาซาตาน แต่ในปัจจุบัน พวกวงดนตรีร็อค แนวเฮฟวี่เมทัล หลายวง ใช้สัญลักษณ์นี้ แสดงถึงความรุนแรงทางดนตรี ประมาณว่า ดนตรีที่ซาตานประทานมาให้ นะแหละ ในการไปชมคอนเสิร์ตเฮฟวี่เมทัล แฟน ๆ ที่ชูนิ้วท่านี้ ถือเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่ว่าเขาจะเป็นพวกนอกรีต แต่อย่างใด แต่อย่าเผลอ เอามาทำนอกเวทีคอนเสิร์ตก็แล้วกัน คนจะเข้าใจผิด
จรดนิ้วโป้งกับนิ้วชี้เป็นวงกลม หรือ โอเค แม้วัฒนธรรมอเมริกันที่แพร่หลาย
จะทำให้การเอาปลายนิ้วโป้งกับนิ้วชี้มาชนกัน จนเกิดวงกลม และปล่อยสามนิ้วที่เหลือให้กางออกจะแปลว่าโอเค ตกลง หรือดี แต่สำหรับบางประเทศการทำมือแบบนี้มีความหมายอื่นค่ะ เช่น บางประเทศในทวีปยุโรปแปลว่าเลข 3 ส่วนในจีนแปลว่าเลข 7
ส่วนที่ประเทศบราซิลและประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียนจะเป็นคำด่าเทียบเท่ากับ Asshole (เพราะมองว่าวงกลมเป็นสัญลักษณ์ของทวารหนัก) ในเยอรมนีหลายคนใช้แปลว่าเกย์ และยังมีอีกหลายประเทศในแถบยุโรปตะวันออกที่ใช้ด่าว่าคนนั้นไม่มีค่า (เป็นศูนย์) หรือด่าตรงๆ เลยว่าอ้วน ตัวกลมไปหมด ฉะนั้นจะโอเคกันง่ายๆ เหมือนปกติไม่ได้แล้วนะคะ
“โอเคนะ” หรือ “ตกลง” แต่ก็ยังอุตส่าห์มีการยกเว้นจนได้สำหรับประเทศผ่าเหล่าผ่ากออย่างอิตาลี ใครไปเยือนประเทศนี้ต้องเก็บท่าโอเคนะให้ดีเลย เพราะคนที่นั่นเขาถือว่ามันเป็นการด่ากันแบบไม่ออกเสียงว่า “ไอ้หน้า…” (โปรดเติมคำในช่องว่างเอาเอง) แทนที่ทุกอย่างจะโอเค มันจะกลายเป็นโนเคไปน่ะสิ
ชูนิ้วชี้ นิ้วกลางและนิ้วนาง (รวม 3 นิ้ว) จะหมายถึง ถ้าในวงการลูกเสือสามัญ การชู นิ้วชี้นิ้วกลางและนิ้วนาง (ด้านขวา) เค้าหมายถึง การทำความเคารพ (วันธยาหัตถ์)
และการชูสัญลักษณ์ประเภทนี้ ในภาพยนตร์ชื่อดังเรื่อง The Hunger Games มักจะมีนัยยะในด้านการเมือง ทั้งนี้ เหตุการณ์รัฐประหาร โดยเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2557 ที่ทางกลุ่มมวลชนซึ่งไม่เห็นด้วยกับการเข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คสช. ได้เดินทางมารวมกันตามสถานที่ที่นัดหมาย ทั้งหน้าทางเดินสกายวอล์กสนามกีฬาแห่งชาติ หน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร, ห้างสรรพสินค้า เทอร์มินอล 21 แยกอโศก, ลานโพธิ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ รวมถึงห้างสรรพสินค้าห้างเมยา ถ.ห้วยแก้ว อ.เมืองเชียงใหม่ เพื่อประท้วงเชิงสัญลักษณ์ไม่เอารัฐประหาร
โดยการประท้วงดังกล่าว ผู้ชุมนุมได้ใช้วิธีชูนิ้ว 3 นิ้ว คือ นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนาง พร้อมกับเอามือปิดปาก ส่วนบางคนก็นำสีสเปรย์มาพ่นคำว่า “NO COUP” และ “ปล้นประชาธิปไตย” ในหลายพื้นที่ และตะโกนเรียกร้องประชาธิปไตยและการเลือกตั้ง
การกางเฉพาะนิ้วโป้งและนิ้วชี้เหมือนตัว L จะให้นิ้วโป้งอยู่แนวนอนเหมือนตัว L หรือนิ้วโป้งอยู่แนวตั้งแบบ “ถูกต้องนะคร้าบ” ก็ได้
การกางเฉพาะนิ้วโป้งและนิ้วชี้เหมือนตัว L
บ้านเราใช้เวลาชี้บางอย่าง หรือบางทีอาจจะทำมือแบบนี้แล้วคว่ำมือลงเพื่อถ่ายรูปให้ดูฮิพฮอพก็ได้ แต่ในสหรัฐอเมริกาและประเทศที่ได้รับอิทธิพลอเมริกันจะมองว่า L มาจาก Loser (คนแพ้) และใช้เป็นสัญลักษณ์ว่าขี้แพ้ ส่วนในจีนหมายถึงเลข 8 และในประเทศเบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์และลิกเตนสไตน์จะแปลว่าเลข 2 (ทีนี้คงนับเลขกันมึนเลย)
สำหรับความหมายแง่ลบของการทำมือแบบนี้พบในประเทศอิตาลีและพื้นที่ข้างเคียง แปลว่าไม่ดี หรือแย่มากค่ะ
การหงายฝ่ามือและกระดิกนิ้วชี้เรียก เรามักเห็นในภาพยนตร์ฝรั่งว่าถ้าสาวสวยกระดิกนิ้ว เรียกในลักษณะนี้แล้วมักเป็นการเชิญชวนและยั่วยวนอีกฝ่ายให้ตามไป หรือเป็นการส่งสัญญาณให้เข้ามาใกล้ๆ เพื่อกระซิบบอกความลับบางอย่าง แต่สำหรับชาวฟิลิปปินส์นั้น ท่าทางนี้ใช้เรียกน้องหมาเท่านั้นค่ะ ฉะนั้นถ้าเผลอไปทำใส่ใครจะเหมือนไปว่าเขาเป็นสุนัข และอีกฝ่ายอาจจะโกรธถึงขั้นหักนิ้วชี้เราได้เลยค่ะ โหดแฮะ
การแบมือทั้งห้านิ้วโดนหันฝ่ามือออก โดยทั่วไปแล้วถ้าเรายื่นมือออกไปโดยกางนิ้วทั้งห้าออกและหันฝ่ามือใส่อีกฝ่ายจะเป็นการบอกให้หยุด
หรือตามธรรมเนียมอเมริกันคือการแสดงความไม่สนใจในสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังพูดและให้อีกฝ่าย “พูดกับมือ” แทน ซึ่งก็ค่อนข้างจะแสดงความไร้มารยาทแล้วใช่มั้ยคะ แต่ที่ประเทศกรีซแรงกว่านั้นอีกค่ะ เพราะมันหมายถึงให้ไปตายซะ
ทีนี้น้องๆ ก็พอรู้กันแล้วนะคะว่าภาษาท่าทางที่ใช้มือเป็นสำคัญนั้นมีหลายความหมายแตกต่างกันไปทั่วโลก จริงๆ มีอีกหลายแบบเลยนะคะ รวมไปถึงการแสดงออกทางสีหน้าและแววตาด้วยที่ให้ความหมายต่างกัน ฉะนั้นก่อนจะเดินทางไปประเทศใดให้หาข้อมูลเรื่องพวกนี้ดีๆ ค่ะ ใครจะรู้ว่าการยิ้มสวยๆ ของเราที่ดูเป็นสิ่งที่ดีนั้น อาจแปลว่าเรากำลังท้าทายคนบางประเทศอยู่ก็ได้ น้องๆ คนไหนที่มีประสบการณ์เรื่องภาษามือที่ความหมายต่างกัน สามารถแบ่งปันเรื่องราวได้ด้านล่างเลยค่ะการแบมือทั้งห้านิ้วโดนหันฝ่ามือออก
โดยทั่วไปแล้วถ้าเรายื่นมือออกไปโดยกางนิ้วทั้งห้าออกและหันฝ่ามือใส่อีกฝ่ายจะเป็นการบอกให้หยุด หรือตามธรรมเนียมอเมริกันคือการแสดงความไม่สนใจในสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังพูดและให้อีกฝ่าย “พูดกับมือ” แทน ซึ่งก็ค่อนข้างจะแสดงความไร้มารยาท แต่ที่ประเทศกรีซแรงกว่านั้นอีกค่ะ เพราะมันหมายถึงให้ไปตายซะ
Snap การดีดนิ้ว การดีดนิ้วดังเป๊าะนั้น ถ้าดีด 1 ครั้งคนอเมริกาและอังกฤษจะสื่อว่านึกอะไรออกแล้ว
หรือมีไอเดียใหม่ๆ ขึ้นมาในหัว ส่วนการดีดเรื่อยๆ ไปมาหมายถึงกำลังพยายามนึกถึงบางอย่างให้ออกอยู่ แต่สำหรับประเทศแถบละตินอเมริกานั้นหมายความว่า ให้คนข้างหน้าช่วยรีบเดิน เร็วๆ หน่อย แต่ 10 ภาษากายที่มีความหมายต่างกันทั่วโลกสำหรับประเทศส่วนใหญ่ในโลก การดีดนิ้วใส่หน้าคนอื่นเป็นกิริยาที่หยาบคายมาก(แต่บางประเทศก็หมายถึงดึงความสนใจอีกฝ่ายให้กลับมา)
Sign of the Cross เครื่องหมายกางเขน เป็นสัญลักษณ์ของการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของศาสนาคริสต์
เป็นการให้ศีลให้พร จะทำโดยการเคลื่อนมือเป็นรูปกากบาทในอากาศ ตามร่างกายของตัวเอง ด้วยมือข้างขวามักจะมาพร้อมด้วยการบรรยาย พูดหรือสวดมนต์ เป็นการสะท้อนรูปแบบของการเล่าเรื่องของผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ ให้นึกถึงพระเยซูที่ถูกตรึงไม้กางเขน มีสองรูปแบบและถูกใช้เฉพาะในคริสตจักรภาคตะวันออกดั้งเดิมและพิธีกรรมทางทิศตะวันออกของโบสถ์คาทอลิกเท่านั้น
Fig sign / Dulya การมีเพศสัมพันธ์ เป็นท่าทางแสดงความลามกอนาจารอย่างอ่อนโยน
ที่ใช้ในวัฒนธรรมตุรกีและสลาฟ และในบางวัฒนธรรมอื่นๆ ที่ใช้นิ้วหัวแม่มือสอดเข้าไประหว่างนิ้วชี้และนิ้วกลาง ตำแหน่งนิ้วเป็นตัวแทนของอวัยวะเพศชาย(นิ้วโป้ง)ที่กำลังสอดเข้าๆ ไปในช่องคลอด (ช่องระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วกลาง) ท่าทางนี้เป็นที่นิยมใช้มากที่สุดเพื่อปฏิเสธการให้ความช่วยเหลือหรือไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เกี่ยวกับการกู้ยืมเงิน
Shocker สิ่งที่เลวทราม สัญลักษณ์นี้เป็นที่รู้จักในนามว่า “two in the pink, one in the stink
เกี่ยวกับสองสิ่งที่ห่วยแตกหรือมีกลิ่นเหม็น เป็นท่าทางมือที่มีความหมายทางเพศ นิ้วนางและนิ้วหัวแม่มือจะขดหรืองอลงในขณะที่นิ้วอื่นๆ จะขยาย นิ้วโป่งกับนิ้วนางจะถูกเก็บอยู่ด้วยกัน และด้านหลังของมือที่ใบหน้าออกไปด้านนอก ท่าทางนี้หมายถึงการกระทำของการสอดใส่นิ้วกลางเข้าไปในช่องคลอดและนิ้วก้อยเข้าไปในทวารหนักของผู้หญิงจึง มีการห้ามประชาชนใช้สัญลักษณ์นี้ เพราะเป็นท่าทางที่เสื่อมและเกี่ยวกับการคุกคามทางเพศ ซึ่งบางประเทศนั้นสัญลักษณ์นี้เป็นสิ่งผิดกฎหมาย
Three-finger salute (Serbian) แสดงความยินดี เป็นสัญลักษณ์แสดงความยินดี ซึ่งคาดว่าเริ่มมาจากชาวเซอร์เบีย
เป็นการการชูนิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ และนิ้วกลาง ด้วยมือข้างใดข้างนึง ซึ่งสัญลักษณ์นี้ยังมีความหมายอื่นๆ ของการแสดงความยินดี และยังถูกใช้โดยฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของรัฐบาลเซอร์เบีย โดยนาย Srdjan Srećković รองนายกรัฐมนตรีของเซอร์เบียในช่วงเวลานั้นกล่าวในการสัมภาษณ์กับKurir สำนักข่าวของประเทศเซอร์เบีย ว่าสัญลักษณ์นี้ยังสามารถเป็นสัญลักษณ์แทนบุคคลสำคัญทั้งสามของเซอร์เบีย นั่นก็คือ Sveti Sava , Njegoš, และ Karađorđe ซึ่งในช่วงเวลาของสงครามยูโกสลาเวียสัญลักษณ์นี้เป็นสัญลักษณ์แสดงความยินดีเป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย
เฮียจะบอกว่าสมน้ำหน้า ใช่ใหมหล่ะ
ฝ่านค้านจวกผู้นำตุรกี หลังทุ่มงบ 2 หมื่นล้านบาท สร้างทำเนียบประธานาธิบดี ใหญ่กว่าทำเนียบขาวแห่งสหรัฐ กว่า 30 เท่า ลั่นสิ้นเปรือง ฟุ่มเฟือยเกินจำเป็น
สำนักข่าว อัล-อาบีญา รายงานข่าว เรเจป ไตยิป เอร์โดอาน ประธานาธิบดีแห่งตุรกี เปิดเผยเรื่องการสร้างทำเนียบประธานาธิบดีในย่านชานเมืองของเมืองอังการา เมืองหลวงของประเทศ ซึ่งกินพื้นที่กว่า 2 แสน ตารางเมตร ประกอบไปด้วยห้องต่างๆกว่า 1,150 ห้อง โดยเปิดเผยงบประมาณในการก่อสร้างสูงถึง 615 ล้านดอลล่าร์ หรือราว 2 หมื่นล้านบาท
เมื่อนำทำเนียบแห่งนี้ มาเปรียบเทียบกับทำเนียบขาว ปรากฏว่ามีขนาดใหญ่กว่าถึง 30 เท่า นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่มากกว่า พระราชวังอันงดงามและโด่งดังจากฝรั่งเศส อย่างพระราชวังแวร์ซายอีกด้วย
อย่างไรก็ตามการทุ่มงบประมาณในการก่อสร้างครั้งนี้ ซึ่งนับได้ว่าเป็นตัวเงินมหาศาล สร้างความไม่พอใจให้กับฝ่ายค้าน ที่ออกมาแสดง ความคิดเห็น ว่าการนำเงินมาก่อสร้างทำเนียบประธานาธิบดีอันมากมายเช่นนี้ เป็นการใช้เงินไปกับเรื่องที่สิ้นเปรือง ฟุ่มเฟือย และไร้สาระ
ทั้งนี้ผู้นำตุรกีเผยว่า จุดมุ่งหมายในการก่อสร้างทำเนียบให้ใหญ่โตอลังการเช่นนี้ เพราะต้องการสร้างเพื่อเป็นสมบัติของคนรุ่นต่อๆไป และนี่ไม่ใช่ทรัพย์สินส่วนตัวของเขาแต่อย่างใด หากแต่มันเป็นสมบัติของทุกๆคน
โบสถ์คริสต์ฟ้าดเยี่ยม
*** บ้านไม้ใต้ถุนสูงธรรมดาๆหลังหนึ่งตั้งอยู่ใจกลางกรุงฮานอยคือสถานที่ที่ลุงโฮได้พักอาศัยและทำงานเป็นระยะเวลานานที่สุดในชีวิตการเคลื่อนไหว ต่อสู้ปฏิวัติของท่าน สถานที่แห่งนี้หาใช่เป็นแต่เพียงสถานที่ประวัติศาสตร์เท่านั้น บ้านหลังนี้ยังเป็นมรดกทางด้านสถาปัตย์และทางด้านวัฒนธรรมจิตวิญญาณของ เวียตนามด้วย บ้านลุงโฮ เป็นโบราณสถานที่สำคัญที่สุด ที่ตั้งอยู่ในเขตโบราณสถานทำเนียบประธานประเทศ นักท่องเที่ยวที่มาเยือนที่แห่งนี้ มักตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมอยู่ใจกลางเมืองหลวงอย่างนี้ลุงโฮถึงชอบอยู่อาศัยในบ้านไม้ใต้ถุนอย่างนี้
ในช่วงสงครามต่อต้านนักล่าเมืองขึ้นฝรั่งเศส ที่เขตปลดปล่อยเวียตบั๊ก ลุงโฮอาศัยอยู่ในบ้านใต้ถุนทำจากไม่ไผ่ ช่วงระยะเวลา 9 ปีแห่งการต่อสู้กู้ชาติ ลุงโฮได้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเพื่อนร่วมชาติบรรดาชนเผ่าต่างๆในเขต เวียตบั๊ก ดังนั้นเมื่อสันติภาพกลับคืน ลุงโฮกลับสู่กรุงฮานอย ท่านยังคงระลึกถึงเรื่องราวแต่หนหลัง ในปี 1954 เมื่อลุงโฮกลับมาพำนักในเมืองหลวง ท่านปฏิเสธที่จะอาศัยอยู่ในทำเนียบอันหรูหรา โดยลุงโฮจะต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองในทำเนียบเท่านั้น ส่วนที่พักของท่านจะเป็นบ้านหลังเล็กๆ ของช่างไฟฟ้าที่อยู่หลังทำเนียบ
ครั้งหนึ่งลุงโฮ กลับจากเยี่ยมประชาชนที่จังหวัด ถายเงียน ช่วงที่อยู่ระหว่างเดินทางกลับฮานอย ท่านก็ได้ปรารภกับคณะผู้ติดตามว่าอยากจะสร้างบ้านไม้ใต้ถุน ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามของสระน้ำเพื่อพักอาศัยและทำงานให้ปลอดโปร่ง อากาศถ่ายเทสะดวก ตามดำริของลุงโฮ ฤดูร้อนปี 1958 บ้านพักได้เริ่มลงมือสร้าง ออกแบบโดยสถาปนิก เหงียน วัน นิงห์ ..คุณนิงห์เป็นหนึ่งในแปดสถาปนิกคนเวียตนาม ที่จบจากวิทยาลัยจิตรกรรมอินโดจีนเป็นรุ่นแรก ก่อนการออกแบบลุงโฮได้เสนอข้อคิดเห็นแลกเปลี่ยนกับสถาปนิกด้วย
โดยท่านเสนอว่าให้ออกแบบเหมือนกับบ้านที่ท่านเคยอาศัยอยู่ในเขตเวียตบั๊ก แต่ให้ใช้วัสดุเป็นไม้ที่แข็งแรง ชั้นบนมีสองห้องเล็กๆ แต่ละห้องพอดีสำหรับอยู่ได้คนเดียว ตัวบ้านจึงออกมาในรูปแบบคล้ายบ้านพักอาศัยของพี่น้องชนเผ่า มีสองชั้น ชั้นบนมีสองห้อง ใช้เป็นห้องนอนและห้องทำงานในหน้าหนาว ชั้นล่างใต้ถุนโล่งใช้ทำงานในหน้าร้อน เช่นใช้เป็นที่ประชุมของคณะกรมการเมือง พรรคคอมมิวนิสต์เวียตนาม ตัดสินปัญหาสำคัญๆของการปฏิวัติเวียตนาม เป็นสถานที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองที่สำคัญ ๆ ของชาติ
บริเวณหน้าบ้านจะมีสระเลี้ยงปลา ในสระมีปลานานาพันธุ์แหวกว่ายสวยงาม ในช่วงที่ลุงโฮ ยังมีชีวิตอยู่ทุกวันหลังจากเวลาเลิกงานช่วงบ่าย ท่านจะออกมานั่งตกปลาและให้อาหารปลาที่หน้าบ้าน อาหารปลาจะเป็นรำข้าว ขนมปัง ข้าวตากแห้งปั้นเป็นก้อนๆ ก่อนให้อาหารท่านจะปรบมือเรียกปลามารับอาหาร นานวันเข้าเสียงปรบมือก็ทำให้ปลาเกิดความเคยชินเมื่อได้ยินเสียงปรบมือก็จะ พากันออกมารับอาหาร ทุกปีในวันสำคัญเช่นวันตรุษเต๊ดเวียตนาม ลุงโฮก็จะให้นำปลาในสระทำอาหารเลี้ยงพนักงานคนใกล้ชิดท่าน หรือนำไปมอบให้แก่ผู้นำพรรครัฐ เป็นต้น
ลูกหลานเวียตนามทุกคนที่ได้มาเยือนบ้านลุงโฮ จะมีความประทับใจในจริยวัตรอันงดงามของลุงโฮ ในการดำรงชีพอย่าง พอเพียง สมถะ กลมกลืนกับธรรมชาติ ไม่ยึดติดกับลาภยศ สรรเสริญถึงแม่ว่าท่านจะเป็นถึงผู้นำประเทศมีตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โต แต่ก็ไม่หลงใหลได้ปลื้มยึดติดไปกับภาพมายาเหล่านั้น รู้ถึงสัจธรรมของชีวิตมนุษย์ที่ตายไปก็ไม่สามารถนำเอาสิ่งใดไปได้ คุณธรรมการดำเนินชีวิตของท่านเป็นตัวอย่างคำสอนอันล้ำค่าที่ชนรุ่นหลังควร ที่จะปฏิบัติตามเป็นอย่างยิ่ง
อรรถพล อุดร
ANAk เป็นภาษา tagalog ตากาล็อก ออกเสียงว่า "อานัก". แปลว่า เด็กน้อย,ลูกน้อย
เพลงนี้ แต่งโดย Freddy Aguilar เฟรดดี้ อากีลาร์ เป็นเพลงชนะเลิศการประกวดการแต่งเพลง Metropop Music Festival ครั้งที่ 1 ที่กรุงมะนิลา เมื่อปี ค.ศ. 1977 เพลงนี้โด่งดังไปทั่วโลก จนแต่ละประเทศเอาไปใส่เนื้อเป็นภาษาของตนกันมากมายกว่า 26 ภาษา เช่น จีน ญี่ปุ่น ไทย อังกฤษฝรั่งเศส เป็นต้น สำหรับภาษาไทยวงคาราบาวนำมาแปลงเป็นเพลง ลุงขี้เมา ที่เราคุ้นหูกันดี
Freddy Aguilar เป็นชาวฟิลิปปินส์โดยกำเนิด เกิดเมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๖
สำหรับเพลง ANAK เขาแต่งขึ้นเพื่อที่จะสอนเด็กๆว่า ถึงแม้ลูกๆจะทำผิดพลาดพลั้งขนาดไหนสำหรับผู้เป็นบิดา มารดา แล้วพร้อมที่จะยกโทษให้ลูกๆเสมอ โดยมาจากประสบการณ์จริงที่เกิดจากชีวิตในช่วงวัยเด็กที่เขาขัดแย้งกับบิดาอย่างรุนแรงจนต้องหนีออกจากบ้านมาและไม่กลับไปอีกเลยเนื่องจากความละอายแก่ใจ จนกระทั่งเมื่อเพลง "ANAK" ออกวางตลาดเขาจึงย้อนกลับบ้านเพื่อไปขอโทษผู้เป็นบิดา และได้รับการยกโทษให้จากบิดา
เอเอฟพี – พายุไต้ฝุ่น “ฮากูปิต” วันนี้ (7 ธ.ค.) ได้พัดทำลายบ้านเรือนมากมาย และกระตุ้นให้เกิดคลื่นซัดถาโถมชุมชนริมชายฝั่ง ทั่วภาคตะวันออกของฟิลิปปินส์ จนประชาชนหลายล้านคนบนหมู่เกาะที่เผชิญภัยธรรมชาติรุนแรงหลายครั้งแหงนี้ต้องเผชิญความยากลำบากมากขึ้นไปอีก
สำนักอุตุนิยมวิทยาปาซา ของแดนตากาล็อกรายงานว่า ไต้ฝุ่นลูกนี้ เคลื่อนตัวมาจากมหาสมุทรแปซิฟิก ก่อนจะพัดกระหน่ำทำลายชุมชนชาวประมงในพื้นที่ห่างไกล ของเกาะซามาร์คืนวานนี้ (6) ด้วยความเร็วลมใกล้ศูนย์กลาง 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ความรุนแรงของพายุลูกนี้ทำให้ ฮากูปิต เบียดแซงพายุไต้ฝุ่น “รามสูร” ที่คร่าชีวิตประชาชนไปกว่า 100 คน เมื่อเดือนกรกฎาคม ขึ้นมาเป็นพายุกำลังแรงที่สุดที่เคลื่อนขึ้นฝั่งฟิลิปปินส์ในปีนี้
สเตฟานี อวย-ตาน นายกเทศมนตรีเมืองคัตบาโลกัน บนเกาะซามาร์ เล่าสิ่งที่พบเห็นกับเอเอฟพีผ่านทางโทรศัพท์ว่า “หลังคาสังกระสีปลิวว่อน ต้นไม้ล้มระเนระนาด และเกิดน้ำท่วมในบางพื้นที่”
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลแดนตากาล็อกได้สั่งอพยพประชาชนหลายล้านคน ก่อนพายุฮากูปิตเคลื่อนตัวขึ้นฝั่ง ด้วยเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยกับในปีที่แล้ว เมื่อซูเปอร์ไต้ฝุ่น “ไห่เยี่ยน” คร่าชีวิตประชาชนไปมากถึง 7,350 คน
คาดการณ์กันว่า ฮากูปิตจะใช้เวลาสามวัน ก่อนตัวเคลื่อนตัวออกจากฟิลิปปินส์ โดยพื้นที่ซึ่งได้รับผลกระทบส่วนใหญ่เป็นเขตที่อยู่อาศัยของคนยากจนในภาคกลางของประเทศ ขณะที่พายุลูกนี้จะส่งผลให้เกิดฝนตกหนักในบริเวณค่อนไปทางเหนือของกรุงมะนิลา เมืองหลวงซึ่งมีประชาชนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น
รัฐบาลเตือนว่า อาจเกิดคลื่นพายุซัดฝั่งสูงถึง 5 เมตร ในบางพื้นที่ รวมทั้งน้ำท่วมฉับพลัน ดินถล่ม และลมแรงที่สามารถสร้างความเสียหายแก่บ้านเรือนที่มีโครงสร้างแน่นหนาถาวรได้
เส้นทางที่ไต้ฝุ่นลูกนี้เคลื่อนผ่านนั้นมีประชากรอาศัยอยู่นับสิบล้านคน รวมถึงพื้นที่ตอนกลางของฟิลิปปินส์ที่ชาวบ้านยังคงพยายามฟื้นฟูความเสียหายหลังถูกพายุไห่เยี่ยนพัดถล่มเมื่อ 13 เดือนก่อน
ไห่เยี่ยน คือพายุที่เคลื่อนตัวขึ้นฝั่งด้วยกำลังรุนแรงที่สุดที่ในประวัติการณ์ โดยมีความเร็วลมใกล้ศูนย์กลาง 315 ต่อชั่วโมง และกระตุ้นให้เกิดคลื่นพายุซัดฝั่งสูงคล้ายคลื่นยักษ์สึนามิพัดกวาดเมืองทั้งเมืองจนราบเป็นหน้ากลอง
เกวนโดลิน ปัง เลขาธิการสภากาชาดระบุกับเอเอฟพีว่า เมื่อรุ่งเช้าวันนี้ (7) พบว่ามีหลายพื้นที่ทั่วภาคตะวันออกของฟิลิปปินส์ไม่สามารถติดต่อได้ และยังไม่ทราบว่าพื้นที่เหล่านี้ได้รับความเสียหายร้ายแรงเพียงใด
สำหรับในพื้นที่ที่ยังสามารถติดต่อได้ ชาวบ้านและเจ้าหน้าที่รายงานว่า เกิดลมและคลื่นรุนแรงน่าหวาดกลัว จนบ้านเรือนได้รับความเสียหาย แม้ว่า คาดว่าน่าจะมีผู้เสียชีวิตไม่มาก เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่อพยพไปอยู่ตามศูนย์พักพิงชั่วคราว
เจอร์รี เยากาซิน รองนายกเทศมนตรีเมืองตาโกลบาน ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองที่ได้รับผลกระทบหนักทสุดจากพายุไห่เยี่ยน เมื่อปีที่แล้วเล่าว่า บ้านเรือนหลังคามุงใบปาล์ม ที่บรรดาหน่วยงานบรรเทาสาธารณภัยสร้างไว้เป็นที่พักชั่วคราวของผู้รอดชีวิตจากซูเปอร์ไต้ฝุ่นเมื่อปีที่แล้วถูกพายุทำลายจนเสียหาย
ASTVผู้จัดการออนไลน์ - ไต้ฝุ่นฮากูปี๊ต (Hagupit) ที่มีความเร็วลมใกล้ศูนย์กลาง เป็นไต้ฝุ่นระดับ 5 (202-221 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ในวันพฤหัสบดี 4 ธ.ค.นี้ กำลังมุ่งหน้าจากทะเลแปซิฟิกเข้าถล่มย่านใจกลางหมู่เกาะฟิลิปปินส์ในช่วงสุดสัปดาห์ ด้วยความแรงจัด และเคลื่อนที่เร็ว 25-30 กม./ชม. ทางทิศตะวันตก-ตะวันตกเฉียงเหนือ ในขณะที่ชาวฟิลิปปินส์หลายล้านยังคงซมอยู่กับพิษพายุโซนร้อนซินลากู (Sinlaku) ที่เพิ่งจะผ่านไปหยกๆ ซึ่งทำให้ดินแดนแห่งนี้กลายเป็นประเทศที่ถูกพายุโซนร้อนรุนแรงทำลายเสียหายมากที่สุดในโลกในปี 2557
แต่ฤดูกาลแห่งหายนะยังไม่ได้ผ่านไปง่ายๆ แม้จะถึงช่วงเดือนสุดท้ายแห่งปีแล้วก็ตาม สำนักงานพยากรณ์อากาศแห่งชาติของฟิลิปปินส์ ได้แจ้งเตือนให้ทุกภาคส่วนได้รับทราบเกี่ยวความหายนะที่อาจจะเกิดขึ้น เมื่อซูเปอร์ไต้ฝุ่นลูกนี้พัดเข้าถึงฝั่งคืนวันที่ 7 ธ.ค. ซึ่งจะทำให้เกิดฝนตกหนักครอบคลุมเกือบทั้งประเทศ ตั้งแต่ 1 วันก่อนหน้านั้น
“ฮากูปี๊ต” เป็นชื่อภาษาตากาล็อก อันเป็นภาษาท้องถิ่นของฟิลิปปินส์เอง มีความหมายว่า “โบย” หรือ “กระหน่ำตี” “ลงแส้อย่างหนัก” หรือ “ตัดขาด” เมื่อเดือน ก.ย.2551 หรือ 6 ปีที่แล้ว ไต้ฝุ่นอีกลูกหนึ่งที่ใช้ชื่อเดียวกันนี้ได้พัดถล่มเกาะภาคเหนือของฟิลิปปินส์ ก่อนจะพัดเข้าทะเลจีนใต้ เงยหัวขึ้นสู่ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ก่อนจะหักมุมลงทิศตะวันตกเฉียงใต้อีกครั้งหนึ่งในนาทีสุดท้าย ซัดเข้าเวียดนามแบบหักปากกาเซียน พยากรณ์
ครั้งนั้นพายุโซนร้อนฮากูปี๊ต เข้าถล่มภาคเหนือเวียดนาม ซึ่ง ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 32 คน ก่อนจะพัดเลยเข้าภาคเหนือลาว ทำให้เกิดฝนตกหนัก และเกิดอุทกภัยรุนแรงในหลายแขวง
ศูนย์อุตุนิยมวิทยาและอุทกศาสตร์ในกรุงฮานอย ได้ออกคำเตือนในค่ำวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามการพยากรณ์อากาศในช่วง 24-28 ชั่วโมงข้างหน้าอย่างใกล้ชิด เนื่องจากซูเปอร์ไต้ฝุ่นลูกล่าสุดนี้มี “กระสวน” การพัฒนาที่สลับซับซ้อน ยังไม่สามารถที่จะตัดความเป็นไปได้ สำหรับโอกาสที่ฮากูปี๊ต จะพัดเลยเข้าสู่ทะเลจีนใต้ต้นสัปดาห์หน้า ซึ่งแม้ว่าจะลดระดับความรุนแรงลงเป็นพายุโซนร้อนลูกหนึ่ง เหมือนเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ก็ยังแรงพอที่จะสร้างความเสียหายให้แก่กองทัพเรือหาปลาของเวียดนามได้
แผนภูมิพยากรณ์ของสำนักอุตุนิยมวิทยาหลักๆ ที่ออกตอนค่ำวันพฤหัสบดีนี้ คือ ทั้ง JMT แห่งญี่ปุ่น หอสังเกตการณ์แห่งฮ่องกง และศูนย์ร่วมเตือนภัยไต้ฝุ่น หรือ Joint Typhoon Warning Center ที่เป็นหน่วยงานหนึ่งของกองทัพเรือสหรัฐฯ ในนครโฮโนลูลู รัฐฮาวาย ต่างแสดงให้เห็นซูเปอร์ไต้ฝุ่นฮากูปิต พุ่งเข้าถล่มเขตวิซายาส (Visayas) หรือ “หมู่เกาะภาคกลาง” ของฟิลิปปินส์ ปลายทางของพายุ หยุดอยู่แค่เกาะซีบู (Cebu) ซึ่งเป็นศูนย์กลางแห่งภูมิภาค ในขณะเป็นไต้ฝุ่นระดับ 2
อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายสิบปีมานี้ยังไม่เคยมี่ไต้ฝุ่นลูกใดที่สลายตัวไปทันทีทันใดขณะยังเป็นไต้ฝุ่นที่มีความเร็วลมใกล้ศูนย์กลางถึงระดับ 2 ซึ่งในระดับนั้นพายุยังมีโอกาสที่จะปั่นตัวเองรุนแรงขึ้นได้อีก ภายใต้สภาพการณ์เกี่ยวกับลมฟ้าอากาศที่เหมาะสม หรืออาจจะค่อยอ่อนกำลังลงจนมลายไปในที่สุดอีก 1 หรือ 2 วันหลังจากนั้น
ศูนย์อุตุนิยมวิทยาฯ เวียดนาม ที่มีประสบการณ์อย่างโชกโชนในการ “ไล่จับพายุ” กล่าวว่า จะต้องติดตามพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงของพายุรุนแรงลูกนี้อย่างใกล้ชิดต่อไป.
1.ประเทศฟิลิปปินส์เล็กกว่าประเทศไทย 2.5 เท่า แต่มีประชากรมากกว่าไทยเรา ราวๆ 82 ล้านคน
2.มีเกาะเยอะที่สุดในโลก บางคนอาจจะเถียงว่าเป็น อินโดนีเซีย
3.ประเทศฟิลิปปินส์ยากจน
4.สภาพบ้านเมืองก็ไม่สวยงาม ไม่สะอาดตา
5.ที่กรุง"มะนิลา"เป็นเมืองหลวงที่มี "สลัม" เยอะอันดับต้นๆของโลก
6.ย่านธุรกิจQuiapo วุ่นวายมาก
7.จากข้อ^ มีสลัมที่พวกลักเล็กขโขยน้อยเยอะด้วย
8.คนที่เมืองหลวง มะนิลา จะอาศัยอยู่ตาม อพาร์ตเม้นต์เป็นหลัก
9.แต่...อพาร์ตเม้นต์เหล่านั้นก็มักรกรุงรัง ไม่สะอาด เสียงดัง และคับแคบราวกะรังหนู
10.ฟิลิปปินส์มีความห่างของฐานะเยอะมาก คนรวยรวยอักโข คนจน จนมากมาย
11.คนฟิลิปปินส์ไม่มีศูนย์รวมใจ เมื่อมีเหตุการณ์รุนแรง รัฐบาลจะใช้กำลังปราบปรามอย่างรุนแรงถึงเลือดเนื้อโดยไม่แคร์ชีวิตประชาชน
12.คนฟิลิปปินส์บริโภคข้าวเป็นอาหารหลักเหมือนคนไทย แต่...ก็ปลูกได้น้อย จึงต้องทำนาแบบขั้นบันไดเสียดายภูเขาดีๆ
13.ในเมืองไทยหากวิกฤตข้าวแพงขึ้นราคายังไม่สาหัสอะไร...แต่หากเป็นฟิลิปปินส์จะเดือดร้อนอย่างเว่อร์มากๆ
14.จนต้องนำเข้าหักๆมาหุงเพื่อรับประทานกัน
15.ข้าวหักๆ คือข้าวคุณภาพต่ำที่คนไทยนำไปหุงเลี้ยงหมานั่นแหละ
16."แกง" ของฟิลิปปินส์นิยมตำข้าวลงไปเป็นส่วนผสมหนึ่งด้วย น้ำแกงจะได้ข้นๆ
17.พระเจ้า! คนฟิลิปปินส์ไม่มีมะนาวนะครับ มีแต่ส้มจี๊ด เค้าเรียกมันว่า กาละมังซี่ ไม่เปรี้ยวเท่าไหร่ ไม่หอมด้วย
18.สิ่งที่เถียงไม่ได้ คือ คนฟิลิปปินส์รูปร่างหน้าตาเหมือนคนไทยมากจริงๆ
19.แต่ คนฟิลิปปินส์ผิวจะคล้าเกรียมว่าคนไทย เพราะเป็นประเทศที่เป็นหมู่เกาะ อิทธิพลทางทะเลเต็มที่
20.คนฟิลิปปินส์เหมาะมากกับความเป็นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพราะผิวสีน้ำตาลจะดูดีมากกว่าผิวขาวๆ ดังนั้น คนฟิลิปปินส์จึงใส่เสื้อเกาะอก สายเดี่ยว หรือ ผู้ชาย ใส่เสื้อกล้าม จะดูเหมาะ และดูดี
21. ชาวฟิลิปปินส์มีสไตล์ลูกครึ่งเยอะมาก หลายชาติเสียด้วย ประกอบกับในอดีตเคยเป็นประเทศอาณานิคมของทั้ง สเปน อังกฤษ อเมริกัน ฝรั่งเศส เราพบว่าคนฟิลิปปินส์หน้าเหมือนคนไทยแล้ว จำนวนมากมีหน้าตาผิวพรรณแบบฝรั่ง ตะวันตกเป๊ะ หรือบางส่วนหน้าตาแบบแขกๆก็มีอยู่มาก ..ทั้งความเป็นปินอยด์มีเชื้อทางอินโดมาผสมทางตอนใต้และทางจีนทางเกาะไต้หวันผสมในตอนเหนือ
จึงไม่แปลกที่หลายคนมองว่านายแบบและนักแสดงชายฟิลิปปินส์นั้นดูหล่อเข้มกว่าไทย...สังเกตุดีๆ นายแบบ นักแสดงชาย ของฟิลิปปินส์มองลึกๆที่นัยน์ตา มองภาพรวมของใบหน้าหันซ้ายหันขวาจะดูอมๆ จะปินอยด์ก็ไม่ใช่ จะหน้าตะวันตกก็ไม่เชิง...
22. สาวฟิลิปปินส์มองว่า สาวไทย นั้น"สวย" แต่ สาวฟิลิปปินส์เอง"ไม่สวย"
23. แต่ความ sexy เค้ามองว่า สาวปินอยด์ "Sexy" แต่ สาวไทย "ไม่Sexy"
24. ลูกค้าชาวฟิลิปปินส์ในไทยมักซื้อของและต่อรองราคาอย่างน่ารำคาญและและโคตรน่าเบื่อจนเคยตัว
25. แต่..นิสัยของคนฟิลิปปินส์ส่วนใหญ่จะเป็นมิตร ภาษาอังกฤษดี ชอบทำตัวสบายๆและผูกมิตรกับคนอื่นได้ง่าย
24.แต่ข้อเสียก็มี คนฟิลิปปินส์ส่วนใหญ่ชอบนินทา ไม่ชอบเห็นคนอื่นดีกว่าตัวเอง
25.ประเทศฟิลิปปินส์อาจไม่น่าอยู่น่าชื่นชมนักสำหรับคนไทย คอรัปชั่นเยอะ พวกลักเล็กขโมยน้อยก็เยอะด้วย เพราะเค้ายากจน ระวังไว้
26. ทะเล ชายหาด รีสอร์ทของฟิลิปปินส์สวยงามไม่แพ้เมืองไทยเลย
27. ตามชนบทบ้านนอกก็มีทุ่งนา ต้นไม้ เหมือนกับไทย แต่...มีภูเขาไฟตั้งเด่นอย่างน่าเกรงขาม
28. จากการพูดคุยกับชาวฟิลิปปินส์ (รวมถึงนั่งดูรายการทีวีและฟังจากสถานีวิทยุ) ทราบว่า ปัจจุบัน ชาวฟิลิปปินส์ มีการใช้ภาษาที่เรียกว่า ทากรีส (Tagalog + English) คือพูดตากาล็อกคำอังกฤษคำ ผสมกันไปในประโยคสนทนา แต่เป็นที่เข้าใจกันในหมู่ของประชาชน แม้แต่ในรายการทีวีและรายการวิทยุ
29. คนฟิลิปปินส์สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดี ก็เพราะค่านิยม
30. ใครสามารถพูดภาษาอังกฤษได้เขาจะยกให้เป็นพลเมืองชั้นหนึ่ง แต่ถ้าใครพูดอังกฤษไม่ได้แต่พูดกาตาล้อคได้ก็จะถูกถีบให้ไปเป็นพลเมืองชั้นสอง แต่ถ้าพูดไม่ได้ทั้งอังกฤษและกาตาล้อคจะกลายเป็นพลเมืองชั้นสามไปเลย เขาแบ่งกันอย่างนี้จริงๆ
31. ภาษาอังกฤษสำหรับคนไทยเราก็ถือว่าเป็นเพียงเครื่องมือการสื่อสารเท่านั้น ใครพูดได้ก็ดี พูดไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่เสียหายอะไรมากเพราะประเทศเราไม่มีความจำเป็นใดใดที่จะต้องใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารระหว่างคนในชาติ
32. แต่สำหรับคนฟิลิปปินส์ภาษาอังกฤษเป็นยิ่งกว่าเครื่องมือการสื่อสาร เพราะมันหมายถึงการได้รับการศึกษาที่ดีและที่สำคัญที่สุดคือ การมีโอกาสได้ไปทำงานต่างประเทศ
33. ด้วยค่านิยมและสภาพการณ์ที่บีบบังคับแบบนี้ทำให้คนฟิลิปปินส์ต้องขวนขวายหาทางเรียนภาษาอังกฤษ ฝึกพูดภาษาอังกฤษให้คล่องที่สุดเพื่อชีวิตที่ดีกว่าของตัวเองและครอบครัว
35. คนฟิลิปปินส์ร้อยละ 90 อยากออกไปทำงานที่ต่างประเทศเพื่อต้องการหลุดพ้นจากขุมนรกในประเทศตัวเอง
36. เพราะพวกเค้าอยากอพยพออกจากประเทศตัวเองเพื่อไปอยู่ประเทศอื่น เพื่อมีชีวิตที่ดีกว่า มีเงินเดือนที่ดีกว่า
37. จึงมีคนฟิลิปปินส์อยู่ต่างประเทศมากมายเต็มไปหมด
38. มีชาวฟิลิปปินส์อยู่ในฮ่องกงราวๆสามแสนคน
39. แต่ชาวฮ่องกงมีทัศนคติด้านลบต่อชาวฟิลิปปินส์นานกว่า10ปี เพราะที่ผ่านมาคนฟิลิปปินส์ไปเป็นคนรับใช้,แม่บ้านให้เค้า(ขี้ค่านั่นแหละ)
40. ในเมืองไทยก็มีชุมชนชาวฟิลิปปินส์ พวกนั้นมาอยู่โดยการเป็นครูสอนภาษา และพวกนักแสดงและนักกายกรรม
41. หากเป็นไปได้ชาวฟิลิปปินส์อยากได้สัญชาติของประเทศที่ตัวเองไปอยู่เลยทีเดียว เพื่อจะได้ไม่ต้องกลับไปที่บ้านเกิดเมืองนอนอีก
42. คนไทยหลายๆคนไม่ชอบคนฟิลิปปินส์ในหลายๆเรื่อง
43. เรื่องที่เราคนไทยไม่ชอบคนฟิลิปปินส์ มาจากสภาพแวดล้อมของเค้าที่เป็นอย่างนั้น พวกเค้ายากจน บ้านเมืองมีปัญหามากกว่าไทย
44. แต่กระนั้น คนดีๆในฟิลิปปินส์ก็พอจะมีอยู่เช่นกัน...ดังนั้นหากเราเจอเรื่องร้ายๆแย่ๆจากการไปอยู่ในฟิลิปปินส์หรือจากคนฟิลิปปินส์ที่อยู่ในไทย ...มองโลกสองด้านไว้ อย่าเหมารวมคิดว่าคนฟิลิปปินส์สันดารเหมือนกันไปหมดทุกคน
45. และหากเราได้มีเพื่อน หรือคนรู้จักที่เป็นคนฟิลิปปินส์ หากเราถูกใจคนฟิลิปปินส์ เราอาจจะหลงรักพวกเค้าขั้นมาได้เช่นกัน....เรียนรู้ไว้เยอะๆ
...............................................................................................................
**เดชบักหำ** *****
บักหำเป็นคนขับรถของผู้ว่าแห่งนึง ขึ้นชื่อว่าเป็นเสือ ผู้หญิงคนนึงของจังหวัด จนผู้ว่าสงสัยเรียกตัวมาสอบถาม ผู้ว่า ...เฮ้ย ไอ้หำ เอ็งมีทีเด็ดไรมั่งวะ สาว ๆ ถึงไดีติดกันตรึม บักหำ...ง่าย ๆ เจ้านาย ก่อนที่ผมจะมีอะไรกับผู้หญิง ผมก้อควักไอ้นั่น ของผม ฟาดหัวเตึยงสามครั้ง รับรอง ติดหนึบ
*****คืนนั้นหลังจากที่ผู้ว่ากลับบ้าน อาบน้ำ ย่องเข้าห้องนอนที่ปิดไฟมืด คุณนายผู้ว่านอนหลับอยู่บนเตียง เสียงดังขึ้นที่หัวเตียง "ปั้ก ๆ ๆ" คุณนาย ผู้ว่างัวเงียครึ่งหลับครึ่งตื่น ร้องทักว่า "นั่น..หำ เหรอจ๊ะ"
ในงานแต่งงาน ขณะที่ดื่มกินกันไปสักพัก พิธีกรก็เชิญบ่าวสาวขึ้นเวทีขอบคุณแขกที่มาร่วมงาน เจ้าบ่าวกำลังเมาได้ที่ ก็กล่าวขอบคุณเป็นกลอนว่า
"วันนี้ดีใจจะได้ เมีย หลังจากได้เสียกันหลายหน วันนี้ดีใจ มีเมีย เป็นตัวตน ขอบใจ ทุกคน ที่มางาน" พูดจบเพื่อนเจ้าบ่าว ก็ตบมือกันเกรียว เรียกให้เจ้าสาวพูดบ้าง
เจ้าสาว ขึ้นกล่าวตอบว่า "วันนี้ดีใจจะได้ผัว หลังจากเสียตัวมาหลายหน วันนี้ดีใจ มีผัว เป็นตัวตน ขอบคุณผัว ทุกคนที่มางาน "
**สาวยุค AEC**
*****หลานสาวกำลังจะออกไปเที่ยวกับเพื่อนชายฝรั่งครั้งแรก แต่ด้วยความอ่อนทางภาษาอังกฤษ จึงมาปรึกษากับยาย ยาย.....เอางี้ ถ้ามันพูดอะไรมาเอ็งก้อ no no yes yes มั่ว ๆ ไป สาว.....แล้วถ่ามันลวนลามหนูละ จะพูดยังไง ยาย.....
ฮี่โท่ ของกล้วย ๆ ถ้ามันจับข้างบน เอ็งบอก Don ' t
สาว.....แล้วถ้ามันจับข้างล่างละ พูดไง ยาย.....
จะยากอาไร้ ก็บอกว่า Stop แค่นี้เองเว้ย
*****หลานสาวรับคำสอนของยายใส่หัวแล้วออกจากบ้านไป จนกระทั่งเกือบสว่าง หลานสาวก็เดินโซซัดโซเซเข้าบ้านด้วย หน้าตาอิดโรย แต่แววตาเปล่งประกายอย่างมีความสุข เสื่อผ้า ยับยู่ยี่ เมื่อเห็นยายรออยู่ ก็รีบโผเข้ากอดยายแกล้งสะอึกสะอื้น
ยาย.....เป็นไงนังหนู ร้องไห้ทำไม แล้วทำตามที่ยายสอนป่าว
สาว.....หนูพูดตามที่ยายสอนทุกอย่าง แต่นี่มันเล่นจับทั้งบนกะ ล่างพร้อม ๆ กัน หนูเลยพูดว่า ...........don't stop ...........don't stop ...........don't stop -
อุโบสถมหาอุดวัดหันตรา
อุโบสถมหาอุดวัดหันตราตั้งอยู่ภายในวัดหันตรา หมู่ที่ 2 ตำบลหันตรา อำเภอพระนคร
ศรีอยุธยาจังหวัดพระนครศรีอยุธยาที่เรียกว่า "โบสถ์แบบมหาอุด" เพราะว่า เป็นพระอุโบสถ
ที่สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งไม่มีประตูด้านหลังและไม่เจาะช่องหน้าต่าง เชื่อกันว่าใช้
พระอุโบสถ์แห่งนี้เป็นสถานที่ประกอบพิธีปลุกเสกเครื่องรางของขลังที่ศักดิืสิทธิ์ยิ่ง
โดย
เฉพาะบริเวณที่ทุ่งหันตราแห่งนี้เป็นสถานที่ตั้งทัพรับศึก และเป็นที่ประชุมทัพสมเด็จ
พระบรมราชาธิราชที่ 2เจ้าสามพระยา และสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเมื่อไปตีเมืองละแวก
การสร้างพระเครื่องจึงเป็นมิ่งขวัญและกำลังใจของเหล่าทหารกล้ากรุงศรีอยุธยา ดังที่เคย
ได้ยินชื่อติดปากมาจนถึงปัจจุบันว่า"พระยอดธง"ภายในอุโบสถ์มหาอุดแห่งนี้ มีพระประธาน
ปางมารวิชัย ชื่อว่า"พระพุทธอนันตชินราช" และนอกจากนี้ยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง ที่บอก
เล่าเรื่องราวความเป็นมาเกี่ยวกับพุทธประวัติให้แก่พุทธศาสนิกชน
โดย…วัฒนธรรมอำเภอพระนครศรีอยุธยา
สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
วัดหันตราเป็นอีกวัดที่มีพระพุทธฉายประดิษฐานในซุ้มเพิงผาที่สร้างจากการนำโอ่งไหมาเรียงซ้อนแล้วโบกปูนให้เป็นโขดหินผสมกันการก่ออิฐถือปูนให้เป็นซุ้มคล้ายเพิงผา ปัจจุบันหลังคาส่วนบนที่ปูนหลุดออกจะเห็นร่องรอยการให้เหล็กเส้นเป็นโครงควบคุมเนื้อปูนให้เป็นซุ้มเพิงผา1 รูปร่างลักษณะคล้ายกับพระพุทธฉายในวัดท่าทรายที่อยู่ในวัดราชประดิษฐานดังกล่าวถึงมาแล้วแต่งต่างที่ที่วัดท่าทรายก่อด้วยหินภูเขา และมีขนาดใหญ่กว่า วัดหันตรานี้นับว่าเป็นพระอารามที่สมเด็จพระเจ้าบรมโกศทรงปฏิสังขรณ์ทั้งวัดเมื่อสำเร็จบริบูรณ์แล้วโปรดเกล้าให้จัดการฉลองขึ้นเมื่อเดือน ๖ ปีมะเมียสัมฤทธิศก จุลศักราช๑๑๐๐ หรือพ.ศ. ๒๒๘๑
ด้วยพื้นที่ตั้งวัดเป็นนาหลวงอยุธยามาแต่ต้นกรุงสืบมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์แม้ป้จจุบันก็ถือเป็นพื้นที่ในการดูแลของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และยังเป็นนาทดลองพันธุ์ข้าวของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นานกว่า๕๐ ปีมาแล้ว เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จวัดหันตราเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๔๔๒ มีข้อความยืนยันในราชกิจจานุเบกษาว่า ที่วัดนี้มีซากพระที่นั่ง1สร้างในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศอยู่ข้างพระอุโบสถ และแนวถนนที่สมเด็จพระเจ้าบรมโกศเสด็จมาเกี่ยวข้าวในทุ่งหันตรา แต่ไม่ปรากฏในเอกสารว่าทรงกล่าวถึงพระพุทธฉาย ทั้งๆที่บริเวณพระพุทธฉายตั้งอยู่ใกล้ท่าที่เสด็จขึ้นจากเรือพระที่นั่ง ( ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ ๑๖ ร.ศ.๑๑๘ หน้าที่ ๙๖๗ ) จึงไม่อาจลงความเห็นให้ชัดเจนได้ว่าพระพุทธฉายวัดหันตราสร้างขึ้นเมื่อไร ใครเป็นผู้สร้างแต่ก็ต้องไม่น้อยกว่า๔-๕ ช่วงอายุคนแน่
ในช่วงชีวิตของชาวหันตรานับขึ้นไป ๔-๕ ชั่วคนต่างเคยเห็นพระพุทธฉายนี้ เช่นคุณยายแจง สุขเกตุ ขณะนั้นอายุ ๕๒ ปีซึ่งมีบ้านอยู่ริมคลองฝั่งตรงข้ามกับวัดหันตรา ได้เล่าไว้เมื่อราว เดือนกุมภาพันธ์
๒๕๐๕ ที่บ้านของคุณยายว่า เห็นพระพุทธฉายนี้มาแต่เด็ก บิดาของคุณยายเล่าว่ามีพระภิกษุวัดหันตรารูปหนึ่งไปทำความสะอาดพระพุทธฉายพบว่าโอ่งที่นำมาพอกปูนเป็นโขดหินกระเทาะออกมา ภิกษุรูปนั้นได้พบสร้อยทองคำ แต่เรื่องราวต่อจากนั้นผู้เล่าไม่ได้บอกไว้ และยังเล่าถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธฉายว่าคุณยายฟังผู้ใหญ่เล่ากันว่าเคยเห็นไฟพะเนียงลุกเป็นเปลวสูงที่บริเวณพระพุทธฉาย แล้วก็ดับไป จึงมีคำร่ำลือกันว่าที่พระพุทธฉายนี้มีสมบัติโบราณฝังไว้ ซึ่งความเชื่อเช่นนี้มีเล่าสืบกันมานานแล้ว แม้ที่วัดใหญ่ชัยมงคลก็เคยมีผู้เล่าว่าเห็นไฟพะเนียงลุกที่บริเวณพระอุโบสถ เมื่อลุกขึ้นระยะหนึ่งแล้วก็ค่อยๆมอดลง
ที่เล่ากันมานี้น่าจะเกิดจากกรุงศรีอยุธยาเมื่อจะเสียกรุงนั้นคนที่เสียดายอาลัยเครื่องทองแก้วแหวนที่สะสมมาก็พากันฝังทรัพย์เหล่านั้นฝากแม่พระธรณีไว้ใกล้เรือนที่อาศัยบ้างซ่อนในที่ที่คิดว่าปลอดภัยอื่นๆสุดแต่จะเลือกหากันไป จากนั้นก็ทำลายแทงบอกที่ซ่อนทรัพย์ไว้กันลืม ที่ล้มหายตายจากในช่วงหลบหนีข้าศึก คนพบลายแทงก็มาขออนุญาตทางการขุดทรัพย์กันต่อมาในช่วงแผ่นดินกรุงธนบุรีและต้นรัตนโกสินทร์ ที่รอดตายก็พากันมาขุดทรัพย์นั้นด้วยตนเองดังเรื่องเล่าเจ้าพระยาอัครมหาเสนา (บุนนาค) ต้นสกุลบุนนาค พาภริยากับบ่าวและลูกชายคนโตมาขุดทรัพย์แต่ขากลับถูกโจรปล้นเรือที่นนทบุรีภริยาและลูกชายเสียชีวิต เหลือแต่บุตรสาวที่ฝากท่านผู้หญิงนาก ภริยาของสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก
ต่อมาท่านผู้หญิงเห็นใจ ทนายข้าหลวงเดิมของสามีจึงยกคุณนวลน้องสาวให้ ด้วยเห็นว่าเป็นหม้ายและลูกก็ยังเล็กนักนี่ก็เป็นเรื่องเล่าที่มีเค้าความจริงของการขุดหาลายแทงหลังเสียกรุง แต่สำหรับไฟพะเนียงนี้คุณยายแจงเให้ความเห็นว่าอาจเป็นของมีค่าที่นิยมใส่ไว้เป็นพุทธบูชาของคนโบราณมากกว่าเป็นทรัพย์ฝังหนีพม่า ประจักษ์พยานความศรัทธาเช่นนี้ก็มีให้เห็นจริงดังที่คุณยายให้ความเห็น ดังการขุดกรุศาสนสถานหลายแห่งโดยเฉพาะในวัดที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้าง เช่นวัดพระศรีสรรเพชญ วัดมหาธาตุ วัดราชบูระ วัดสบสวรรค์เป็นต้น
กาลเวลาย่อมทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เมื่อถนนเอเซียถูกตัดผ่านพื้นที่ตำบลหันตรามีปัญหาพื้นที่ทำนาขาดน้ำเพราะคูคลองตื้นเขินแม้แต่นาทดลองก็ต้องมีการสูบน้ำจากคลอง ชาวบ้านที่ยากจนสู้ปัญหาต้นทุนสูงไม่ได้ก็เลิกอาชีพชาวนาหันมาเป็นลูกจ้างทำนาของสถานีทดลองข้าวกันเกือบหมด เมื่อมีนิคมโรงงานอุตสาหกรรมเกิดขึ้น ชุมชนที่เคยมีวิถีชีวิตสงบร่มเย็นผันแปรไปบ้างเป็นธรรมดา การใช้เรือพายมาทำบุญโดยขึ้นท่าหน้าวัดเปลี่ยนเป็นการใช้รถรถยนต์ขับมาทำบุญเพราะถนนลูกรังเมื่อ๔๐ปีที่แล้วพัฒนามาโดยลำดับจนกลายเป็นถนนกว้างขวางกว่าเดิม คนก็เลิกใช้เรือ ท่าน้ำเริ่มลดประโยชน์ ชาวหันตราหลายคนก็ลืมๆกันไปบ้างว่าชายคลองหันตราที่เรียกว่าหลังวัดเพราะการสลับทิศสลับที่ทางเข้าวัดมามาเป็นทางด้านถนน ตรงหลังวัดปัจจุบันนี้ยังมีพระพุทธฉายอยู่โดยเฉพาะเด็กๆรุ่นหลังที่ไม่รู้ประวัติของวัดมาก่อน
พระพุทธฉายวัดหันตราแต่เดิมเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นแบบนูนสูงจากผนังคูหามีประภามณฑล รอบพระเศียร แต่สีที่ระบายบนองค์พระพุทธรูปจางลงมาก จึงมีการเขียนซ่อมใหม่เมื่อราว พ.ศ. ๒๕๔๗ องค์พระพุทธฉายยังเหมือนเดิมแต่การให้สีมีแสงเงาต่างไปจากเดิมที่เป็นการวาดและระบายสีแบบ๒ มิติ ส่วนพระสาวกที่อนุมานว่าผู้สร้างต้องการให้เป็นพระปัญจวัคคีย์ คือพระอัญญาโกณฑัญญะ พระภัทริยะพระวัปปะ พระมหานามะ และพระอัสสชิจึงเขียนเป็นพระภิกษุ ๕ รูป ทุกรูปรวมทั้งพระพุทธฉายต่างอุ้มบาตรในลักษณะเสด็จออกบิณฑบาตรโปรดชาวโลก พระพุทธฉายจึงอยู่ในปางอุ้มบาตร เป็นพระประจำวันพุธไปโดยปริยาย
การบำรุงรักษาพระพุทธฉายนี้มีอยู่พอประมาณแล้วแต่ประชาชนยังเข้าใจและสนใจน้อยเกินไป หากมีการประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้านได้ตระหนักว่าชุมชนชาวหันตรามีโอกาสเป็นเจ้าของวัดสำคัญและเป็นเพียงหนึ่งในสองวัดเท่านั้นที่มีพระพุทธฉายที่มีมาเก่าแก่นับร้อยปี คุณค่าก็จะส่งเสริมให้เกิดจิตสำนึกอนุรักษ์อันเป็นสิ่งควรสร้างให้เกิดในจิตใจคนไทยทั้งปวงแม้เกิดได้ในวันนี้ก็อาจสายไปเสียแล้ว
วันเสาร์ที่ 6 ธันวาคม 2557 เป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 1
อริยสัจสี่โดยสังเขป (ทรงแสดงด้วยความยึดในขันธ์ห้า)
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! ความจริงอันประเสริฐ มีสี่อย่างเหล่านี้,
สี่อย่างเหล่าไหนเล่า ? สี่อย่างคือ ความจริงอันประเสริฐ
คือทุกข์,
ความจริงอันประเสริฐคือเหตุให้เกิดทุกข์,
ความจริงอันประเสริฐคือความดับไม่เหลือของทุกข์,
และความจริงอันประเสริฐคือทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! ความจริงอันประเสริฐคือทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า ? คือ :-
ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นถือมั่นห้าอย่าง.
ห้าอย่างนั้นอะไรเล่า ? คือ :-
รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! อันนี้เรากล่าวว่า ความจริงอันประเสริฐคือทุกข์.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! ความจริงอันประเสริฐคือเหตุให้เกิดทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า ?
คือตัณหาอันใดนี้ ที่เป็นเครื่องนำให้มีการเกิดอีก
อันประกอบด้วยความกำหนัด เพราะอำนาจความเพลิน
มักทำให้เพลินอย่างยิ่งในอารมณ์นั้น ๆ ได้แก่
ตัณหาในกาม,
ตัณหาในความมีความเป็น,
ตัณหาในความไม่มีไม่เป็น.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! อันนี้เรากล่าวว่า ความจริงอันประเสริฐคือเหตุให้เกิดทุกข์.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! ความจริงอันประเสริฐคือความดับไม่เหลือของทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า ?
คือความดับสนิท เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลือของตัณหานั้น
ความสละลงเสีย ความสลัดทิ้งไป ความปล่อยวาง
ความไม่อาลัยถึงซึ่งตัณหานั้นเอง อันใด.
ภิกษุ ท. ! อันนี้เรากล่าวว่า ความจริงอันประเสริฐคือความดับไม่เหลือของทุกข์.
ภิกษุ ทั้งหลาย.
! ความจริงอันประเสริฐคือทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า ?
คือหนทางอันประเสริฐ ประกอบด้วยองค์แปดนั่นเอง,
ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ :-
ความเห็นชอบ,
ความดำริชอบ,
การพูดจาชอบ,
การงานชอบ,
การเลี้ยงชีพชอบ,
ความเพียรชอบ,
ความระลึกชอบ,
ความตั้งใจมั่นชอบ.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! อันนี้เรากล่าวว่า ความจริงอันประเสริฐ
คือทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! เหล่านี้แล คือความจริงอันประเสริฐสี่อย่าง.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! เพราะเหตุนั้นในกรณีนี้ พวกเธอ
พึงทำความเพียร เพื่อให้รู้ตามเป็นจริงว่า
“นี้เป็นทุกข์,
นี้เป็นเหตุให้เกิดทุกข์,
นี้เป็นความดับไม่เหลือของทุกข์,
นี้เป็นทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์,” ดังนี้เถิด.
มหาวาร. ส°. ๑๙/๕๓๔-๕/๑๖๗๘-๑๖๘๓.
พุทธวจน
อานนท์ ! ธรรมก็ดี วินัยก็ดี
ที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้ว แก่พวกเธอทั้งหลาย
ธรรมวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย
โดยกาลล่วงไปแห่งเรา......
มหา. ที. ๑๐/๑๕๙/๑๒๘.
ปธ.คตง.ตั้งหลานช่วยงานผู้ช่วยเลขาฯ จบออกแบบนิเทศฯ เงินเดือน2.1หมื่น
พวกคนดีนี่มันสุดยอดจริงๆ มาเหมือนกันหมด
ถ้าเป็นทักกี่หล่ะก็ จะพากันดาหน้าออกมาป่าวประกาศว่า เอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง
ประเทศไทย มันทุเรศก็ตรงนี้แหละ
พวกตัวเองทำได้ทุกอย่าง
ปล.หญิงเป็ดก็เคยทำแบบนีมาแล้ว
ปธ.คตง.ตั้งหลานช่วยงานผู้ช่วยเลขาฯ จบออกแบบนิเทศฯ เงินเดือน2.1หมื่น
พบประธาน คตง. ตั้งหลานชาย ช่วยงานตำแหน่งผู้ช่วยเลขาฯ จบออกแบบนิเทศศิลป์ กินเงินเดือนละ 2.1 หมื่นบาท
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า ในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2557 ที่ผ่านมา ศาสตราจารย์พิเศษชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม ประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) ได้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้ง นายภคพงศ์ วงศ์ศรีภูมิเทศ ดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน โดยให้ได้รับค่าตอบแทนเดือนละ 51,200 บาท ตั้งแต่วันที่ 29 กันยายน 2557 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ ศาสตราจารย์พิเศษชัยสิทธิ์ ยังได้ลงนามคำสั่งแต่งตั้งนายจุฬา ตราชูธรรม ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการประธาน คตง. โดยได้รับอัตราเงินเดือนละ 21,765 บาท ตั้งแต่วันที่ 29 กันยายน 2557 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ นายจุฬา ตราชูธรรม เป็นหลานของศาสตราจารย์พิเศษชัยสิทธิ์ จบการศึกษาศิลปกรรมศาสตรบัณฑิต (การออกแบบนิเทศศิลป์) จากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
แหล่งข่าวจาก สตง. กล่าวว่า เหตุผลที่ทำให้ผู้บริหารหน่วยงานต่างๆ ตั้งคนใกล้ชิด หรือเข้ามาช่วยงานในตำแหน่งเลขานุการ หรือผู้ช่วยเลขานุการ เป็นเพราะต้องการคนที่ไว้ใจด้วยมาทำงานให้ ขณะที่ตำแหน่งประธานคตง. มีวาระการดำรงตำแหน่ง 3 ปี ถ้าศาสตราจารย์พิเศษชัยสิทธิ์ พ้นตำแหน่งไปเลขานุการหรือผู้ช่วยเลขานุการ ก็จะพ้นตำแหน่งตามไปด้วย
สำนักข่าวอิศรา
http://isranews.org/isranews-news/item/34915-news02_34915.
คนดี - เอาญาติพี่น้องมาทำงาน เพราะต้องการคนที่ไว้ใจได้มาทำงานด้วย
นักการเมือง (พรรคอื่นที่ไม่ใช่ประชาธิปัตย์) - การเอาญาติพี่น้องมาลงรับเลือกตั้งเป็น สส. สว. เป็นสภาผัวเมีย ห้ามทำเพราะมีเจตนาคอรัปชั่น
เฮ้ยยยยยยยยยยยยยย..........
ถ้าจีนจะมาสร้างรถไฟให้ไทย ใครจะได้ประโยชน์กันแน่? {แตกประเด็นจาก 32941799}
สนช. เพิ่งจะให้ความเห็นชอบ MOU รถไฟไทย-จีน โดยใช้รางกว้าง 1.435 เมตรเส้นทาง หนองคาย-โคราช-มาบตพุต เพื่อจะเชื่อมเส้นทาง คุนหมิง-หลวงพระบาง-เวียงจันทน์ ที่หนองคาย โดยใช้ความเร็ว 160 กม/ชม
จริงๆแล้วในปัจจุบันทางรถไฟในประเทศไทยเป็นทางขนาด 1.0 เมตร (มิเตอร์เกจ) มีระยะทางประมาณ 4,000 กม. เป็นทางคู่ประมาณ 300 กม. ที่เหลือเป็นทางเดี่ยวครับ
ซึ่งแผนยุทธศาสตร์ของกระทรวงคมนาคมเดิม จะพัฒนารถไฟในสองระบบคือ
1. ระบบรถไฟทางคู่เดิม (มิเตอร์เกจ) เน้นขนสินค้าหนัก ผู้โดยสารที่ไม่ต้องการความเร็วมากนัก (ประมาณ 120 กม.ต่อ ชม.) ทำเป็นทางคู่ทั้งประเทศ และ เพิ่มเส้นทางใหม่ เช่น เด่นชัย-เชียงราย ขอนแก่น-นครพนม
2. ระบบรถไฟความเร็วสูง (วางรางใหม่ ขนาด 1.435 เมตร หรือ แสตนดาร์ดเกจ) เน้นขนผู้โดยสารที่ต้องการความรวดเร็ว สินค้ามูลค่าสูง ความเร็วไม่ต่ำกว่า 250 กม.ต่อชม ทำสี่เส้นทาง เหนือ อีสาน ตะวันออก ใต้
เป็นระบบคล้ายๆกับที่ญี่ปุ่นมีคือ ญึ่ปุ่นมีระบบรถไฟสองระบบ รางขนาด 1 เมตร สำหรับ รถช้า รถสินค้า และ รางขนาด 1.435 เมตร สำหรับ รถไฟชินคันเซ็น
สำหรับโครงการนี้ของรัฐบาล เหมือนกับเอาสองระบบมายำรวมกัน คือ วางรางใหม่ใช้แสตนดาร์ดเกจ แต่เน้นเพื่อขนสินค้า (ขนคนด้วยความเร็ว 160 กม/ชม ไม่มี Economy of Speed แข่งกับ Low Cost ไม่ได้)
ถ้าจะทำจริง ก็คงจะมีประเด็นที่ต้องศึกษาให้ละเอียดดังนี้ครับ
1. หัวรถจักร แคร่ โบกี้ โรงซ่อม ของการรถไฟที่มีอยู่เดิมสำหรับทาง 1 เมตร ไม่สามารถใช้กับทางใหม่ 1.435 เมตรได้ ต้องจัดหาใหม่ และ ในอนาคตต้องจัดหาเป็นสองชุด ชุดหนึ่งสำหรับทางเดิม และ อีกชุดหนึ่ง สำหรับทางใหม่ หรือ สุดท้ายอาจจะมีแต่รถไฟจีนเข้ามาวิ่งในเส้นทางนี้
2. การเน้นขนสินค้าจะเกิดประโยชน์กับไทยมากน้อยเพียงไร คงต้องศึกษาให้ดี ประโยชน์กับจีนมีแน่ เพราะทางมณฑลยูนานทางตะวันตกของจีนนั้น ยังมีต้นทุน Logistics ค่อนข้างสูง ต้องขนออกทะเลทางเมืองท่าตะวันออก ถ้าลัดลงมาทางใต้ได้ จีนอาจจะประหยัดต้นทุนขนส่งได้ รวมทั้งการนำเข้าสินค้า วัตถุดิบเข้าจีนจะสะดวกขึ้น แต่ประโยชน์ที่ไทยได้ ต้องศึกษาให้ดีว่าจะมีสินค้าไทยไปจีนทางเส้นทางนี้เท่าไร เพราะส่วนใหญ่สินค้าเราน่าจะไปทางเรือ ไม่ใช่ว่าสุดท้ายแล้วเรากลายเป็น Transit Country ที่มีแต่สินค้าผ่าน (เหมือนที่ สปป ลาว กังวลอยู่) ค่าผ่านทาง เราเก็บแพงไม่ได้เพราะถ้าเก็บแพงเขาก็ไม่มาใช้
3. การก่อสร้างรถไฟความเร็ว 160 กม ต่อ ชม (กท-หนองคาย 4-5 ชม) ไม่มีแรงจูงใจให้ผู้โดยสารใช้ ดังนั้น ความฝันที่จะเห็นการกระจายความเจริญสู่ชนบทโดยรถไฟความเร็วสูงจะไม่เกิดขึ้น ส่วนที่มีคนพยายามอธิบายว่า อนาคตจะ upgrade ให้มีความเร็ว 250 กม ต่อ ชม ก็น่าจะยากและต้องลงทุนเพิ่มอีกมาก เพราะความเร็วสูงสุดต่างกัน มาตรฐานในการก่อสร้างก็ต่างกัน (เช่น รัศมีความโค้ง การทรุดตัว) ถ้าจะ upgrade ในอนาคต ก็ต้องสร้างเผื่อไว้เลย
4. ความร่วมมือ G-to-G ในกรณีนี้ ความหมายคืออะไร เพราะเท่าที่ฟัง สุดท้ายแล้ว ไทยก็ต้องจ่ายเงินคืน การก่อสร้างรถไฟทางคู่ แสตนดาร์ดเกจ ความเร็ว 160 กม/ชม ไม่ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ถ้าเปิดประมูลให้แข่งขัน น่าจะได้ราคาที่เป็นธรรมกว่า ส่วนที่คาดว่าจะจ่ายค่าก่อสร้างเป็นสินค้าเกษตร เช่น ข้าว ยางพารา ในทางปฏิบัติคงจะยาก เพราะติดเงื่อนไขด้านราคา การส่งของ จีนเขาเอาเงินสดและไปซื้อสินค้าเองง่ายกว่า (ที่ผ่านมา ผมยังไม่เห็นโครงการขนาดใหญ่ทำ Barter Trade สำเร็จสักโครงการ)
5. การเชื่อมมาบตาพุดมีประโยชน์อย่างไร เพราะท่าเรือหลักของเราคือแหลมฉบัง มาบตาพุดมีท่าเรือสำหรับขนวัถตุดิบของนิคมอุตสาหกรรมเป็นหลัก แต่ปริมาณตู้คอนเทนเนอร์น้อยมาก และไม่มีสายเดินเรือแวะ ถ้าเชือมมาบตาพุด อนาคตต้องมีการขยายท่าเรือมาบตาพุดเพื่อรองรับการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์หรือไม่ ผลกระทบต่างๆในการสร้างท่าเรือขนาดใหญ่เพื่อ รับส่งสินค้าให้จีน จะคุ้มกับประเทศไทยหรือไม่ และถ้าท่าเรือเราแออัดเพิ่มจากสินค้าจีน จะมีผลกับสินค้าไทยอย่างไร
6. เขตทางรถไฟมีจำกัด ถ้าไทยเลือกที่จะทำรถไฟแบบนี้จากหนองคาย ลงมากรุงเทพแล้ว ก็จะไม่มีเขตทางเหลือสำหรับทำรถไฟความเร็วสูงสำหรับขนผู้โดยสาร กระจายความเจริญสู่ต่างจังหวัดอีกแล้ว
7. เส้นทางรถไฟนี้ คงไม่ได้ช่วยให้จีนมาลงทุนไนไทยหรอกครับ เพราะถ้าลงทุนในไทย เขาส่งออกทางแหลมฉบังไปทั่วโลกได้เลย ไม่ต้องส่งสินค้าย้อนเข้าไปในจีนอีกที
โครงการพัฒนาต่างๆ รวมทั้งกับความร่วมมือกับต่างประเทศเป็นสิ่งที่ดี จีนเองก็เป็นมิตรประเทศที่ดีของเราเสมอมา แต่ในการตกลงในความร่วมมือต่างๆ แต่ละฝ่ายก็มีหน้าที่จะต้องดูแลผลประโยชน์ของฝ่ายตนเอง และ หาข้อสรุปที่ได้ประโยชน์ร่วมกันอย่างเหมาะสมทั้งสองฝ่าย ที่ผมกังวลคือ ฝ่ายไทยเอง เรายังไม่เข้าใจประโยชน์ของโครงการนี้อย่างชัดเจนเลยครับ เราเอาตามจีนเป็นหลัก ก็ต้องฝากช่วยกันดูรายละเอียด รวมทั้งศึกษาประเด็นต่างๆให้รอบคอบด้วย เพื่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันอย่างเหมาะสมทั้งสองฝ่าย
โดยคุณ...พิเภกInter
ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมชที่ ตอนอายุได้ 74 ปี เขียน "ชรากถา" น่าคิด---------------
กฏของการใช้ชีวิตในวัยทองอย่างมีความสุข
1.อาศัยอยู่ในบ้านของตัวเองอย่างเป็นส่วนตัวและเป็นอิสระ
2.ถือครองเงินฝากธนาคารและทรัพย์ไว้กับตัวเอง
3.อย่าไปคาดหวังว่าลูกเต้าจะดูแลตอนแก่
4.หาเพื่อนเพิ่มคบทุกวัย
5.อย่าเปรียบตัวเองกับคนอื่น
6.อย่าไปยุ่งวุ่นวายกับชีวิตลูก
7.อย่าเอาความชรามาเป็นข้ออ้าง เพื่อเรียกร้องความเคารพนับถือและความสนใจ
8.ให้ฟังเสียงผู้อื่นแต่ให้วิเคราะห์และปฏิบัติตามที่คิดอย่างอิสระ
9.ให้สวดมนต์แต่อย่าร้องขอจากพระ
10.ข้อสุดท้าย "อย่าเพิ่งตาย"
ชายหนุ่มเลิกงานและกลับเข้าบ้านช้า ด้วยความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า และพบว่าลูกชายวัย 5 ขวบรอคุณพ่ออยู่ที่หน้าประตู
ลูก พ่อครับ พ่อผมมีคำถามถามพ่อข้อนึง
พ่อ ว่ามาสิลูก,อะไรเหรอ
ลูก พ่อทำงานได้เงินชั่วโมงละเท่าไหร่
พ่อ ไม่ใช่โกงการอะไรของลูกนี่, ทำไมถามอย่างนี้ล่ะ พ่อตอบด้วยความโมโห
ลูก ผมอยากรู้จริง ๆ โปรดบอกผมเถอะ พ่อทำงานได้เงินชั่วโมงละเท่าไหร่
ลูกพูดร้องขอ
พ่อ ถ้าจำเป็นจะต้องรู้ละก็ พ่อได้ชั่วโมงละ 20 เหรียญ
ลูก โอ.. ลูกอุทาน แล้วคอตก พูดกับพ่ออีกครั้ง
ลูก พ่อครับ ผมอยากขอยืมเงิน 10เหรียญ
พ่อกล่าวด้วยอารมณ์
พ่อ นี่เป็นเหตุผลที่แกถาม เพื่อจะขอเงิน แล้วไปซื้อของเล่นโง่ ๆ หรืออะไรที่ไม่เข้าท่าหรอกเหรอ รีบขึ้นไปนอนเลยนะ แล้วลองคิดดูว่าแกน่ะ เห็นแก่ตัวมาก ชั้นทำงานหนักหลาย ๆ ชั่วโมงทุกวัน และไม่มีเวลาสำหรับเรื่องเด็กๆ ไร้สาระอย่างนี้หรอก"
เด็กน้อยเงียบลง เดินไปที่ห้องแล้วปิดประตู ชายหนุ่มนั่งลงและยังโกรธอยู่ กับคำถามของลูกชาย เค้ากล้าที่จะถามคำถามนั้น เพื่อจะขอเงินได้อย่างไร หลังจากนั้นเกือบชั่วโมง อารมณ์ชายหนุ่มก็เริ่มสงบลง และเริ่มคิดถึงสิ่งที่ทำลงไปกับลูกชายตัวน้อย บางทีเขาอาจจำเป็น ต้องใช้เงิน 10 เหรียญนั้นจริงๆ และลูกก็ไม่ได้ขอเงินเขาบ่อยนัก ชายหนุ่มจึงเดินขึ้นไปบนห้อง แล้วเปิดประตู
พ่อ หลับหรือยังลูก
ลูก ยังครับ
พ่อ พ่อมาคิดดู เมื่อกี้พ่ออาจทำรุนแรงกับลูกเกินไป นานแล้วนะที่พ่อไม่ได้คลุกคลีกับลูก , เอ้า นี่เงิน 10 เหรียญที่ลูกขอ
เด็กน้อยลุกขึ้นนั่ง
ลูก ขอบคุณครับพ่อ
ว่าแล้วก็ล้วงลงไปใต้หมอนหยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมา แล้วนับช้าๆ ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็โกรธขึ้นอีกครั้ง
พ่อ ก็มีเงินแล้วนี่ แล้วมาขออีกทำไม
ลูก เพราะผมมีไม่พอครับ แต่ตอนนี้ผมมีครบแล้ว.....
พ่อครับ ตอนนี้ผมมีเงินครบ 20 เหรียญแล้ว ผมขอซื้อเวลาพ่อชั่วโมงนึง
.พรุ่งนี้พ่อกลับบ้านเร็ว ๆ นะครับ ผมอยากกินข้าวเย็นกับพ่อ..........
เค้าสนุกอะไรกันครับ ผมไม่เข้าใจ?