หนุ่มกำแพงเพชร ซิ่งกระบะขนไข่เป็ดส่งขาย แต่ใช้มือไล่แมลงวันในรถ ทำให้เสียหลักพุ่งลงคูน้ำข้างทาง ไข่ 5 พันฟองแตกเละ เหลือเพียง 15 ฟอง
ร.ต.ท. คำรณค์ จันทิตย์ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองกำแพงเพชร ได้รับแจ้งเหตุรถกระบะพุ่งตกคูน้ำข้างทางถนนพหลโยธิน ขาขึ้น หมู่ 2 ต.ธำมรงค์ อ.เมืองกำแพงเพชร ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพบรถยนต์กระบะอีซูซุ 4 ประตู สีดำ ทะเบียน กง 698 กำแพงเพชร พลิกตะแคงขวา อยู่ในคูน้ำ สภาพด้านหน้าพังยับเยิน มี นายนเรนทร์ กิจจา อายุ 37 ปี อยู่บ้านเลขที่ 9 หมู่ที่ 2 ต.ธำมรงค์ อ.เมือง จ.กำแพงเพชร เป็นผู้ขับขี่ พร้อมด้วยญาติอีก 3 คน ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย
นายนเรนทร์ คนขับให้การว่ากำลังนำไข่เป็ดกว่า 5,000 ฟอง ไปส่งที่ จ.ตาก เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุมีแมลงวันบินอยู่ภายในรถตรงหน้าตน จึงเปิดกระจกพร้อมทั้งใช้มือปัดเพื่อที่จะไล่แมลงวันออกไป ปรากฏว่า รถของตนเกิดเสียหลักชนกับหลัก กม.ข้างทางเข้าอย่างจังจนหลัก กม.หลุดกระเด็น จากนั้นพุ่งตกลงไปพลิกตะแคงในคูน้ำ ส่วนไข่เป็ดกว่า 5,000 ฟอง แตกเละกระจายเต็มทั่วบริเวณ เหลือไข่เป็ดสภาพสมบูรณ์เพียง 15 ฟอง เท่านั้น
สำหรับบางคนที่มักเดินทางไกลหรือต้องเร่งรีบเดินทาง ก็มักจะเอาอาหารไปทานบนรถไปเลยจะได้ไม่ต้องเสียเวลา และเมื่อทำบ่อยๆ เข้าก็มักจะมีเหล่าบรรดามดมาแวะเวียน ครั้นจะไล่กลับไล่ยากซะนี่
มดนั้นจะอาศัยอยู่กันเป็นรังโดยช่วยเหลือกันทำรังและหาอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่มีส่วนผสมของน้ำตาลเป็นตัวล่อให้เจ้ามดพวกนี้ เข้ามาในรถของคุณอย่างดีเลยทีเดียว และเมื่อพบเห็นมดขึ้นรถควรรีบกำจัดไล่ไปเสียตั้งแต่พบเห็น ไม่ควรปล่อยปะละเลย เดี๋ยวมันจะสร้างรังแพร่พันธ์ในรถคุณ ทีนี้ละหาทางวิธีกำจัดได้ยากแล้ว วันนี้เราจะมาแนะนำวิธีกันครับ
1. การล้างรถ เมื่อพบมดกำลังวิ่งเล่นวุ่นวายอยู่ภายในรถของเรา ก็ต้องเอาไปล้างกันละครับ เพื่อเพิ่มความสะอาดให้แก่ตัวรถมันซักหน่อยทั้งในและนอกตัวรถ จะล้างรถเองหรือจะไปร้านล้างอัดฉีดก็แล้วแต่ ความพึงพอใจเลยครับ ถ้าล้างเองก็อย่าลืมเอาแผ่นรองฝุ่นมาเคาะล้างไปด้วยเลยก็ดีครับ
2. พวกยาฉีดฆ่าแมลง เริ่มด้วยฉีดยาเข้าไปในตัวรถแล้วปิดประตูปิดกระจกรถเราให้สนิท แล้วทิ้งไว้ซักประมาณ 30 นาที แล้วค่อยมาเปิดประตูเปิดกระจก ระบายกลิ่นยาฆ่าแมลงออกไป
3. เหยื่อกำจัดมด หรือที่เรารู้จักกันอีกชื่อว่า "ซันเจี่ย" จากดักซ้ำลงไป เผื่อมีมดที่มันซุกตัวอยู่ตามซอกมุม ที่มีชีวิตรอดจากยาฆ่าแมลงที่เราฉีดไปในหัวข้อที่ 2 แต่ควรอ่านคู่มือการใช้งานก่อนเริ่มการใช้ด้วยนะครับเพื่อความปลอดภัยต่อตัวเองด้วยนะครับ
แต่ถ้าท่านไม่ชอบใช้สารเคมีกลัวมีผลกระทบต่อร่างกาย เราก็มีวิธีแบบปลอดสารพิษมาบอกเหมือนกันครับ
ใช้น้ำตาลทราย 2 ถ้วย เอาไปผสมกับน้ำเปล่าน้ำสะอาด 1 ถ้วย และผสมกับกรดบอริก 2 ช้อนชา ทีนี้เราก็จะได้กับดักไว้ล่อมดแล้วครับ ใส่ถ้วยวางตั้งทิ้งไว้ในรถสักคืน
ถ้าไม่อยากเบียดเบียนฆ่าสิ่งมีชีวิตอื่น ก็ควรรักษาความสะอาดบนรถของท่านให้ดีละครับ ไม่ทิ้งอาหารหรือขยะเศษอาหารไว้บนรถ และถ้าชีวิตประจำวันจำเป็นต้องนำอาหารไปทานบนรถบ่อยๆ อยู่ลองตรวจเช็คให้ดีๆ ว่ามีมดมาเยี่ยมที่รถของท่านหรือยัง ปล่อยไว้นานมันก็จะแก้ได้ยาก
ขอขอบคุณ ภาพประกอบจาก melvyn yeo
ขอเสนอให้ นำขวดน้ำพลาสติกใสหรือขุ่นก็ได้เจาะรูประมาณมดผ่านได้ที่ด้านข้างแล้วเอาทิชชู่ยัดลงไป เสร็จแล้วเติมน้ำลงไปพอให้ทิชชู่มันแฉะแล้วปิดฝาเอาไปวางในรถ (ให้รูหงายขึ้นนะขอรับ) แล้วเอารถไปตากแดด ( จะขับไปจอด ลากไป เข็นไป แบกไป ยกไป ก็แล้วแต่วิจารณญาณ ) หลักการก็คืออากาศในรถมันร้อนมดจะหาที่เย็นอยู่ก็จะมาชุมนุมกันในขวดเพราะว่ามันเย็น
กว่าที่อื่นในรถ รวมถึงพวกที่เป็นมดงานด้วย ( ไอ้พวกนี้ซวยหน่อย ) จะขนไข่ มาด้วยถือเป็นการกำจัดที่สิ้นซากดีทีเดียว หลังจากที่ได้มดมาเต็มขวดแล้วจะนำไปทิ้ง ไปประหาร ไปปล่อยป่า ไปออกงานวัด ไปเลี้ยงดูต่อ หรือปล่อยกลับเข้าไปในรถอีกก็แล้วแต่จะพิจารณาครับ แต่ผมอยากเสนอว่า ไม่ควรใช้สารเคมีอย่างยิ่งนะครับ เพราะเกิดสารตกค้างแน่นอนครับพี่
อยากรู้ไหมครับว่า ทำธุรกิจอะไรกำไรได้ถึง 130 เท่า ??
มีหลายท่าน คงอยากจะทราบว่า มีธุรกิจอะไรบ้างไหมที่สามารถ
ทำกำไรได้มาก ยิ่งทำกำไรได้หลายเท่าตัวก็ยิ่งดีมากๆ เป็นที่
ปรารถนากันทั้งนั้น สำหรับผู้ประสงค์จะลงทุนน้อยๆ แต่ให้รวยไวๆ
สมมติว่า วันนี้เรามีเงินเริ่มทำธุรกิจเพียงแค่ 150 บาท หรือ
ประมาณ 5 เหรียญสหรัฐ เราจะทำอย่างไร จึงจะให้เกิดกำไร
สูงๆ เท่าที่จะทำได้
ศาสตราจารย์ Tina Seelig อาจารย์สอนวิชานวัตกรรมสร้างสรรค์
มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด แคลิฟอร์เนีย ได้ให้โจทย์ทางธุรกิจ
กับนักศึกษาว่า
สมมติคุณมีเงินเริ่มธุรกิจได้แค่ 5 เหรียญ คุณจะทำยังไงให้ได้
กำไรกลับมาสูงสุด
ให้โจทย์นี้กับนักศึกษาที่ถูกแบ่งเป็น 4 ทีม และให้เวลาเพียงแค่
1 สัปดาห์ ไปคิดหาวิธีมา และให้เวลา 2 ชั่วโมงสำหรับภาคปฏิบัติ
ในการทำเงินให้ได้กำไรกลับมาสูงสุด แล้วให้มารายงานหน้าชั้น
เรียนเป็นเวลา 3 นาที
ถ้าเป็นคุณผู้อ่านเจอโจทย์แบบนี้ จะคิดหาไอเดียอย่างไรดี
เราลองมาดูไอเดียที่นักศึกษามหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดแต่ละทีม
ได้เลือกทำกันจากเงิน 5 เหรียญนี้
กลุ่มที่หนึ่ง เอาเงินไปซื้อมะนาว น้ำตาล และมาทำน้ำมะนาวขาย
หน้ามหาวิทยาลัย อืม…ก็เข้าท่า
กลุ่มที่สอง ไปรับจ้างเติมลมยางรถจักรยานหน้ามหาวิทยาลัย
คิดเงินคันละ 1 เหรียญ จนกระทั่งพวกเขาค้นพบว่า ถ้าขอเป็นเงิน
บริจาคจะได้เยอะกว่า เลยเปลี่ยนเป็นเงินบริจาคแทน อันนี้ออก
แนวการกุศล
กลุ่มที่สาม ได้เงินมากกว่าทั้งสองกลุ่ม และมีคิดสร้างสรรค์ได้
ค่อนข้างดี คือ พวกเขาตัดสินใจเลือกทำงานในคืนวันศุกร์ และให้
เพื่อนผู้ชายขับรถพาสาว ๆ ไปทิ้งไว้หน้าร้านอาหารที่คนแน่น แล้ว
ให้ไปจองคิวตามร้านอร่อยที่ลูกค้าต้องยืนรอกันเกือบชั่วโมง พอ
ได้คิวแล้วก็เอาคิวไปขายให้ลูกค้าคนอื่นที่เพิ่งมา คิดเงินคิวละ 20
เหรียญ ได้ลัดคิวกันไปเลยไม่ต้องยืนรอ กลุ่มนี้หาเงินได้หลายร้อย
เหรียญในเวลา 2 ชั่วโมง เพราะใคร ๆ ก็อยากมาแล้วได้ทาน
อาหารเลย
กลุ่มที่สี่ กลุ่มที่ชนะเลิศในครั้งนี้ สามารถหาเงินได้ถึง 650
เหรียญ เป็นกำไรถึง 130 เท่าตัว และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ พวกเขา
ไม่ได้ใช้เงิน 5 เหรียญนั้นเลย เขาทำได้อย่างไรกัน
หลังจากที่พวกเขาประชุมกันนาน ทุกคนในกลุ่มโหวตว่า พวกเขา
จะขายเวลา นักศึกษากลุ่มนี้เฉลยว่า บางคนบอกไปซื้อล็อตเตอรี่
ดีกว่า ไปลาสเวกัส และอื่น ๆ
แต่ในที่สุดทุกคนสรุปว่า ต้นทุนที่ดีที่สุดที่พวกเขามีไม่ใช่เงิน
5 เหรียญ แต่เป็นเวลา 3 นาทีต่างหาก สำหรับการนำเสนอแผน
ธุรกิจหน้าห้องเรียนที่เต็มไปด้วยนักศึกษามหาวิทยาลัย
สแตนฟอร์ด จำนวนเป็นร้อย ๆ คน ที่ต้องการนั่งฟังรายงานโดย
ไม่ลุกไปไหน
นักศึกษากลุ่มนี้จึงหาบริษัทที่ต้องการขายสินค้า แล้วก็ได้ขาย
เวลา 3 นาทีที่ตัวเองต้องพรีเซ็นต์ ให้กับบริษัทที่ต้องการเวลา
3 นาที โฆษณาผลิตภัณฑ์ของตัวเองแทน (ไม่ต้องเหนื่อนกันเลย
ทีเดียว)
พอถึงวันที่ต้องรายงาน นักศึกษากลุ่มนี้ก็ไม่ต้องทำอะไร นอกจาก
ฟังเพื่อนพรีเซ็นต์และพอถึงเวลาของตัวเอง ก็ให้บริษัทที่ตกลงกัน
ไว้มาพรีเซ็นต์สินค้า เสร็จแล้วทางบริษัทได้จ่ายเงิน 650 เหรียญ
สำหรับเวลา 3 นาทีที่มีค่าให้กับทีมนักศึกษาที่ขายเวลาให้ เรียก
ได้ว่าไอเดียดีจริง ๆ ครับ
อาจารย์ปลื้มใจที่ลูกศิษย์คิดได้นอกกรอบอย่างเหลือเชื่อ !!
พลิกปูม เปิดประวัติ "เทียนฉาย กีระนันทน์" ยี่ห้อจุฬาฯ นั่งหัวขบวน ประธานสปช. ...... มติชนออนไลน์
นับแต่มีการประกาศแต่งตั้งสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. จำนวน 250 คนออกมา
ประชาชนคนไทยก็ได้เห็นโฉมหน้า ของผู้ที่จะเข้ามาชำระสะสาง สร้างบ้านแปงเมือง ด้วยการเดินหน้า
ชูแคมเปญใหญ่ การปฏิรูปประเทศไทย ก่อนจะให้มีการเลือกตั้ง
สปช. มีที่มาจากการคัดเลือก สรรหา แต่งตั้ง รวมทั้งหมด 11 ด้านด้วยกัน มีชื่อคนเล็ก คนใหญ่ ในแวดวง
ที่คุ้นเคย และ หลายคนผลิกโผ หลายคนมาตามคาด แบบไม่ต้องลุ้นให้เหนื่อย
อีกคนหนึ่งที่ถูกกล่าวถึง ตั้งแต่มีชื่อปรากฎ และไม่ตลาดวาย เลยสักวันนั่นคือ ชื่อของ "
ดร.เทียนฉาย กีระนันทน์"
ที่เป็น แคนดิเดต คว้าเก้าอี้ ประธาน สปช. แบบมาแรง แซงโค้ง "บวรศักดิ์ อุววรรณโณ"
ล่าสุด วันนี้ 21 ตุลาคม สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ โดยปู่ชัย นายชัย ชิดชอบ บิดา เนวิน ชิดชอบ เป็นผู้เสนอชื่อ
ดร.เทียนฉาย และแม้ว่าจะมีการเสนอชื่อ อลงกรณ์ พลบุตร แข่ง แต่ก็ได้ขอถอนตัวไป ทำให้ถือว่ามีการเสนอ
ชื่อเพียงคนเดียว ทำให้ถือว่า ที่ประชุม สปช.ได้มีมติเลือก
[url]"เทียนฉาย กีระนันทน์" เป็น ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ
แบบนอนมา ชนะใสๆ ไม่ต้องลุ้นกันให้ยาก ชนิดที่ไม่มีล็อค งานนี้ มีแต่เสียงสนับสนุนมาตั้งแต่ยังไม่นัดโหวตด้วยซ้ำ
แม้จะมีกระแสเซ็งแซ่ผ่านระบบไลน์มาด้วยก็ตาม
มติชนออนไลน์ ชวนประชาชนทุกท่าน มาติดตามประวัติ "ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.เทียนฉาย กีระนันทน์" ในฐานะ
ที่จะก้าวขึ้นมานำหัวขบวนประเทศชาติให้ เดินหน้าต่อไป ตามทิศทางที่ได้มองวางกันไว้บางแล้ว ว่าน่าสนใจขนาด
ไหน เหมือนที่สำนักข่าวฉบับหนึ่งพาดหัวตัวโตว่า "ยี่ห้อจุฬาฯ คุม สปช." นั่นเอง
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.เทียนฉาย กีระนันทน์ ปัจจุบัน สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ สรรหามาจากด้านอื่นๆ
และรองประธานกรรมการมูลนิธิสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก
รับราชการเป็นอาจารย์ เติบโตมาเรื่อยๆ จนกระทั่งขึ้นแท่นเป็น
อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รั้วจามจุรี
สีชมพู ต่อจากอาจารย์จรัส สุวรรณเวลา ที่ออกก่อนครบวาระ
กระทั่ง ก่อนเกษียณอายุราชการดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ ระดับ 11 ประจำคณะเศรษฐศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นี่เทียบเท่าตำแหน่ง ปลัดกระทรวงเลยทีเดียว
ประวัติการทำงานที่จุฬาฯ อาจารย์คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี 2510-2514, อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์
2514-2521, ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ 2521-2524, รองศาสตราจารย์ สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์
2524-2526, ศาสตราจารย์ สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ 2526-2539, ศาสตราจารย์ ระดับ 11 สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์
2539-2548, ศาสตราจารย์กิตติคุณ สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ 2550
[url]ในด้านการศึกษา ดร.เทียนฉาย จบการศึกษารัฐศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยม) จากคณะรัฐศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, M.A. (Economics & Demography) บินลัดฟ้าไปศึกษาต่อยัง มหาวิทยาลัยฮาวาย,
A.M. และ Ph.D. ด้านเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยดุ๊ก
เข้าเรียน หลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ว.ป.อ.รุ่น 37 มีเพื่อนร่วมรุ่นอย่าง ผาณิต นิติทัณฑ์ประภาส
สปช. - สมหาย ภาษี รมว.คลัง เป็นต้น
อยู่จุฬาฯ แต่เคยดำรงตำแหน่งรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, เป็นอดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์
จุฬาฯ, เป็นนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขาเศรษฐศาสตร์ ของ วช., บุคคลดีเด่นของชาติ คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ
พ.ศ. 2539 และดำรงตำแหน่งอื่น ๆ อีกมากมาย
หลายๆท่าน อาจคุ้นหูกับนามสกุล "กีระนันทน์"
ใช่แล้ว ภริยาของ ดร.เทียนฉาย คือ
คุณหญิงสุชาดา กีระนันทน์ ที่เป็นอดีตอธิการบดีจุฬาฯ เช่นกัน นี่ต้องนับว่า
ทั้งสามีและภรรยา เติบโต นั่งตำแหน่งบริหารในจุฬาฯ อย่างยิ่งใหญ่ทั้ง 2 ท่าน
ขณะที่ในปัจจุบัน คุณหญิงสุชาดา ยังนั่งเก้าอี้ เป็น นายกสภาจุฬาฯ อีกด้วย โดยมี
ศาสตราจารย์กิตติคุณ
ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ อุปนายกสภามหาวิทยาลัย และ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.วิษณุ เครืองาม กรรมการ
สภามหาวิทยาลัย ผู้ทรงคุณวุฒิ ร่วมคณะกรรมการ
คุณหญิงสุชาดา เป็น สนช. เมื่อรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
มาครั้งนี้ ดร.เทียนฉาย คู่สมรส เข้าป้าย เป็น สปช.
ที่มานี้ คงบอกได้ดี ว่าทำไมถึงมาเป็น ประธานสปช. ....
โปรดอย่าลืม คุณหญิง สุชาดา เป็นแกนนำกปปส.ฝ่ายจุฬา ...
รับผิดชอบ เวที กปปส. สีแยกปทุมวัน ....
เรื่องนี้ น่าจะสำคัญ กว่าประวัติ ดีเด่นด้านการศึกษา .... และการทำงาน
แต่ที่แน่นอนกว่า ก็คือ คุณหญิงสุชาดา นั่งแท่นเป็น เก้าอี้ กรรมการสรรหา สปช.ด้านสังคม
แม้ว่า ดร.เทียนฉาย จะมาเป็น สปช.ใน ด้านอื่นๆ
ส่วนการทำหน้าที่ นำหัวขบวนของ ดร.เทียนฉาย จะเป็นอย่างไรนั้น
ประชาชนคงต้องช่วยกันจับตาดู ฝีมือ และ ผลงานนั่นเอง
ที่มานี้ คงบอกได้ดี ว่าทำไมถึงมาเป็น ประธานสปช. ....
โปรดอย่าลืม คุณหญิง สุชาดา เป็นแกนนำกปปส.ฝ่ายจุฬา ...
รับผิดชอบ เวที กปปส. สีแยกปทุมวัน ....
เรื่องนี้ น่าจะสำคัญ กว่าประวัติ ดีเด่นด้านการศึกษา .... และการทำงาน
บาห์เรนเข้าใจสถานการณ์ไทย ร่วมมือแก้ศก.
'พล.ต.วีรชน' เผย บาห์เรน เข้าใจสถานการณ์ ชื่นชมไทยทุกด้าน ร่วมมือแก้ ศก. ปากท้อง พร้อมเชิญเยือนประเทศ
พล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค คณะทำงานทีมโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ให้การต้อนรับ นายกรัฐมนตรีบาห์เรน ที่ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ว่า บาห์เรน มีความเข้าใจต่อสถานการณ์การเมืองของไทย และเห็นการเปลี่ยนแปลงของประเทศไปในทิศทางที่ดีขึ้นโดยเฉพาะด้านความมั่นคง พร้อมชื่นชมประเทศไทย และศักยภาพของคนไทยในทุกเรื่อง ขณะเดียวกัน ไทยและบาห์เรน มีความใกล้ชิดและเป็นมิตรประเทศที่ดีต่อกัน โดยร่วมกันเร่งแก้ปัญหาโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจและเรื่องปากท้องของประชาชน พร้อมที่จะรับซื้อผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากประเทศไทย และให้ความร่วมมือในทุกมิติ
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีบาห์เรน ยังมีความสนใจที่จะซื้อข้าวจากประเทศไทย รวมถึงหารือร่วมกันในเรื่องข้าวและอุตสาหกรรม ซึ่งนายกรัฐมนตรี ได้ปรารภกับ นายกรัฐมนตรีบาห์เรน ในการผนึกกำลังดูแลภาคเกษตรกรให้มีความเข้มแข็ง ซึ่งนายกรัฐมนตรีบาห์เรน ได้เทียบเชิญนายกรัฐมนตรี ไปเยือนประเทศบาห์เรน อย่างเป็นทางการ และยินดีเป็นผู้ประสานงานประเทศในกลุ่มอาหรับให้กับประเทศไทย
บาห์เรน (อังกฤษ: Bahrain; อาหรับ: البحرين) หรือชื่อทางการ ราชอาณาจักรบาห์เรน (อังกฤษ: Kingdom of Bahrain; อาหรับ: مملكة البحرين) เป็นประเทศเกาะในอ่าวเปอร์เซีย โดยมีสะพานเชื่อมต่อกับซาอุดีอาระเบียที่อยู่ห่างจากเกาะประมาณ 28 กิโลเมตร คือ สะพานคิงฟะฮัด ซึ่งเปิดใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2529 ส่วนสะพานมิตรภาพกาตาร์-บาห์เรน ที่กำลังอยู่ในระหว่างวางแผนงานนั้น จะเชื่อมต่อบาห์เรนเข้ากับกาตาร์ ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ และจะเป็นสะพานขึงที่ยาวที่สุดในโลก
-
อันดับ 3 : จังหวัดนนทบุรี
จังหวัดนนทบุรี มีขนาดพื้นที่ 622 ตารางกิโลเมตร มีประชากร 1,101,743 คน (ข้อมูลปี 2553) เป็นจังหวัดหนึ่งทางภาคกลางของประเทศไทย โดยจัดเป็นพื้นที่ในเขตปริมณฑลของกรุงเทพมหานคร มีประชากรหนาแน่นที่สุดเป็นอันดับที่ 2 รองจากกรุงเทพมหานคร แหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจังหวัดนนทบุรี ได้แก่ เกาะเกร็ด วัดเล่งเน่ยยี่ ตลาดน้ำวัดแสงสิริธรรม
-
-
อันดับ 2 : จังหวัดภูเก็ต
จังหวัดภูเก็ต มีขนาดพื้นที่ 543 ตารางกิโลเมตร มีประชากร 345,067 คน (ข้อมูลปี 2553) เป็นจังหวัดหนึ่งทางภาคใต้ของประเทศไทย เป็นเกาะขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีลักษณะต่างจากจังหวัดอื่นอย่างสิ้นเชิง เพราะเป็นจังหวัดเดียวในประเทศไทยที่พื้นที่ของจังหวัดทั้งหมดเป็นเกาะกลางทะเลแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจังหวัดภูเก็ต ได้แก่ แหลมพรหมเทพ หาดป่าตอง ถนนบางลา
-
-
อันดับ 1 : จังหวัดสมุทรสงคราม
-
สมุทรสงคราม เป็นจังหวัดในภาคกลาง (หน่วยงานบางแห่งถือเป็นส่วนหนึ่งของภาคตะวันตก) มีขนาดพื้นที่เล็กที่สุดของประเทศ คือประมาณ 416.7 ตารางกิโลเมตร ทั้งยังมีจำนวนประชากรน้อยที่สุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศด้วย (จำนวนประชากร 194,057 คน : ข้อมูลปี 2553) นับเป็นจังหวัดที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมและมีชายฝั่งทะเลติดอ่าวไทยยาวประมาณ 23 กิโลเมตร ไม่มีภูเขาหรือเกาะ มีลักษณะเป็นที่ราบลุ่มโดยพื้นที่ฝั่งตะวันตกจะสูงกว่าฝั่งตะวันออกเล็กน้อยแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจังหวัดสมุทรสงคราม ได้แก่ ตลาดน้ำอัมพวา โบสถ์ปรกโพธิ์ ค่ายบางกุ้ง อาสวิหารพระแม่บังเกิด
วันที่ 17 สิงหาคม ที่ผ่านมา สื่อมวลชนรายงานข่าวผู้หญิงไทย 10 คน ถูกช่วยออกมาจากซ่องโสเภณีเมืองมานามา ประเทศบาห์เรน โดยการช่วยเหลือประสานงานจากตำรวจไทยและตำรวจสากล ความเป็นมาเบื้องหลังเกิดจากเหยื่อรายหนึ่งใช้โปรแกรม "กูเกิล เอิร์ธ 3 มิติ" สืบหาแผนที่จนรู้ว่าตัวเองถูกกักขังไว้ที่ใด ก่อนส่งเอสเอ็มเอสไปแจ้งนักข่าวขอความช่วยเหลือ "คม ชัด ลึก" เปิดใจสาวไทยใจกล้าที่ใช้นามสมมุติว่า "วาดี" ไปแล้ว แต่ปริศนาที่ยังไม่ได้ถูกเปิดเผยคือ
ทำไม "บาห์เรน" จึงกลายเป็นแหล่งขุดทองของแก๊งค้าหญิงไทย ?
"แม่แท็ก" (Contract) เป็นคำเรียกชื่อย่อของแม่เล้ากว่า 50 ราย ที่สร้างเครือข่ายซ่องหญิงไทยในบาห์เรนมานานกว่า 50 ปี เบื้องหลังสมาชิกกลุ่มแม่แท็ก หรือแม่เล้า มีที่มาที่ไปแตกต่างกัน แต่แบ่งได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ 1.กลุ่มหญิงไทยที่แต่งงานกับชาวบาห์เรนแล้วย้ายไปอยู่กับสามี พอเห็นลู่ทางทำมาหากินก็ชักชวน น้องๆ ญาติๆ ที่มีอาชีพนั่งดริงค์ หรือทำงานตามผับบาร์ในเมืองไทยให้มาขุดทอง 2.กลุ่มผู้หญิงกลางคืน เคยมาค้าบริการทางเพศในบาห์เรนอยู่แล้ว แต่ต้องการเพิ่มระดับตัวเอง จึงแยกตัวออกมาจากแม่แท็กคนเดิม แล้วสร้างกลุ่มใหม่ของตนขึ้นมา โดยชักชวนเพื่อนๆ มาจากเมืองไทย ส่วนกลุ่มสุดท้ายเป็นแม่เล้ามืออาชีพ ที่มีแฟนเป็นแมงดาและมีมาเฟียท้องถิ่นให้การสนับสนุน
แม่เล้าทั้ง 3 กลุ่มนี้ มีกลวิธีหลอกลวงสาวๆ จากเมืองไทยให้มาขายเซ็กส์หลากหลายรูปแบบ ทั้งเสาะหาเหยื่อเองหรือจ้างนายหน้าให้ช่วยหา บางรายจะบอกความจริงไปเลยว่า เธอต้องมาขายบริการทางเพศนะ แต่รายได้ดีกว่าเมืองไทย รายได้หลักแสนบาทต่อเดือน หรือ บางรายใช้วิธีหลอกลวงว่ามีงานที่เงินดี นวดไทยหรือร้านอาหารไทย เหยื่อก็ตาลุกวาวอยากมาขุดทองทันที
เมื่อเดินทางมาถึงจึงรู้ว่า สถานที่ทำงานนั้น เป็นห้องแคบๆ ในโรงแรมสองดาว หรืออพาร์ตเมนต์ราคาถูกเหมาเช่าเป็นรายปี แล้วยัดเยียดให้อยู่กันห้องละ 5-8 คน และห้ามออกไปไหน มีแมงดาท้องถิ่นร่างใหญ่คุมเข้ม
"มาบาห์เรนไม่ต้องขอวีซ่า 14 วัน ทำให้ใครก็กล้าเสี่ยงมา พวกแม่เล้าออกค่าตั๋วเครื่องบินกับค่ารถให้ อย่างมากไม่ถึง 5 หมื่นบาท แต่พอมาถึงต้องเป็นหนี้ทันที 3-5 แสนบาท เงินที่นี่คิดเป็นดีนาห์ 1 ดีนาห์เท่ากับ 80 บาท 125 ดีนาห์ประมาณ 1 หมื่นบาท ราคาขายบริการทางเพศจะคิดทีละครึ่งชั่วโมงหรือ 1 ครั้งได้ 1,500 บาท 1 ชั่วโมง 2 ครั้งได้ 3,000 บาท ถ้าประตูหลังด้วยจะได้ 50 ดีนาห์ หรือ 4,000 บาท"
แหล่งข่าวจากชมรมชาวไทยในบาห์เรนให้ข้อมูลอย่างละเอียด ก่อนย้ำเตือนว่า หญิงไทยส่วนใหญ่ที่มาขุดทอง ต้องทนทุกข์ทรมานหลายปีจึงจะหมดหนี้ การจ่ายหนี้แม่แท็กหมด 3-4 แสนบาท ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะแต่ละวันถูกบวกค่าใช้จ่ายมหาโหด ทั้งค่าห้องพักค่าอาหาร รวมกันประมาณเดือนละ 8 หมื่นบาท ดอกเบี้ยถูกทบต้นทบดอกไปเรื่อยๆ เหมือนไม่มีที่สิ้นสุด พอหมดหนี้สินก็เริ่มปีกกล้าขาแข็ง กลายเป็นแม่เล้ารุ่นใหม่หลอกเพื่อนมาขายตัว เหมือนอยากแก้แค้นชีวิตจนกลายเป็นแก๊งค้ามนุษย์ข้ามชาติ
"บาห์เรน" ชื่อทางการว่า "ราชอาณาจักรบาห์เรน" (Kingdom of Bahrain) เป็นเกาะเล็กๆ ในอ่าวเปอร์เซีย ประชากร 1.2 ล้านคน เนื่องจากอยู่ใต้อิทธิพลอังกฤษยาวนานถึง 150 ปี จึงผ่อนคลายกฎระเบียบต่างๆ ทางศาสนาอิสลามไปมาก โดยเฉพาะเรื่องแอลกอฮอล์ และสถานท่องเที่ยวยามค่ำคืน กลายเป็นศูนย์กลางความบันเทิงของกลุ่มประเทศอาหรับ ชาวซาอุดีอาระเบีย ชาวกาตาร์ และประเทศใกล้เคียงจะเดินทางมาช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ เพื่อดื่มและเที่ยวกลางคืน โดยเฉพาะบนถนนโลกีย์หรือถนนเอ็กซิบิชั่น (Exhibition Road) มีหญิงไทยบริการนั่งดริงค์กับแขกอยู่ตามบาร์และดิสโก้ของโรงแรม 2-3 ดาวกว่า 80 แห่ง เช่น รร.ซีเชล, รร.บาห์เรนอินเตอร์เนชั่นแนล, รร.อัลจาซีรา, รร.แคปปิตอล, รร.แมรี่แลนด์, รร.กัลฟ์เกท, รร.รอยัล, รร.ฟัลคอม, รร.พลาซ่า, รร.โอเอซิส ฯลฯ
นักธุรกิจไทยรายหนึ่งเล่าว่า นอกจากหญิงไทยแล้ว ยังมีหญิงจีนเข้ามาทำงานขายเซ็กส์ด้วย เฉพาะผู้หญิงไทยเดินทางเข้ามาวันละไม่ต่ำกว่า 3-4 คน เมื่อสิบปีที่แล้วมีประมาณพันกว่าคน ตอนนี้พุ่งสูงเกือบ 5,000 คนแล้ว แก๊งค้าหญิงข้ามชาติเหล่านี้มีระบบจ่ายเงินใต้โต๊ะให้ทั้งเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เช่น ตำรวจไทย ตำรวจบาห์เรน เจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองทั้ง 2 ประเทศ ฯลฯ รัฐบาลบาห์เรนรับทราบปัญหาขบวนการค้ามนุษย์จากเมืองไทยและจีนเป็นอย่างดี แต่ไม่ได้จริงจังในการแก้ปัญหา เหตุผลเบื้องลึกคือ หากไม่มีพวกเธอมาสร้างความคึกคักให้ชีวิตกลางคืน นักท่องเที่ยวจะหายไปทันที หมายถึงตัวเลขรายได้ลดลงมหาศาล
"ธาตรี เชาวชตา" หัวหน้าฝ่ายกงสุล สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมานามา ให้ข้อมูลว่า เมื่อปี 2553 เจ้าหน้าที่สถานทูตไทยช่วยเหลือหญิงไทยกลับประเทศได้ 205 คน ล่าสุดช่วงเดือนมิถุนายน 2554-กรกฎาคม 2555 จำนวน 202 คน สำหรับวิธีการนั้น เมื่อได้รับเรื่องร้องเรียนว่า หญิงไทยโดนกักขังหน่วงเหนี่ยว หรือบังคับค้าประเวณีที่ใด จะประสานตำรวจท้องที่เข้าช่วยทันที จากนั้นจัดหาบ้านพักฉุกเฉินให้อาศัยอยู่ชั่วคราวระหว่างรอเอกสารเดินทางกลับไทย ปัญหาที่พบคือ ส่วนใหญ่โดนแก๊งค้ามนุษย์ยึดพาสปอร์ตและตั๋วเครื่องบินไว้ ดังนั้นต้องประสานงานออกเอกสารเดินทางชั่วคราวให้ก่อน และสำรองเงินให้ยืมเงินเป็นค่าตั๋วเครื่องบิน
หัวหน้าฝ่ายกงสุลผู้คลุกคลีกับปัญหาหญิงไทยค้าประเวณีในบาห์เรนมานานหลายปี เสนอทางออกว่า มี 4 วิธีเบื้องต้น คือ 1.ต้องช่วยกันประชาสัมพันธ์ด้านลบและอันตรายต่างๆ ให้ผู้หญิงรับรู้ว่า กว่าจะได้เงินมาต้องเสียต้นทุนสูง ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ 2. ต้องจัดการเรื่องทุจริตคอรัปชั่นของขบวนการค้ามนุษย์ 3.หามาตรการป้องกันไม่ให้หญิงไทยที่เคยถูกจับข้อหาค้าประเวณีในต่างประเทศ เมื่อถูกส่งตัวกลับไทยแล้ว ยังพยายามกลับไปทำซ้ำคดีเดิมอีก และข้อสุดท้ายคือ เร่งแก้ไขปัญหาความยากจน เมื่อพวกเขาไม่ได้รับโอกาสทางเศรษฐกิจ ก็ต้องเลือกขายบริการทางเพศเป็นทางออก!!
วงอ๊าดนาน
เมื่อคืนนี้(19ต.ค.57) เวลา 22.00น. นายกฯปู ได้พาน้องไปป์ -ศุภเสกข์ อมรฉัตร บินไปพักผ่อนที่ญี่ปุ่น และจะอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น 3 วัน
และในวันที่ 24ต.ค.57 ท่าน ทักษิณ ชินวัตร จะเดินทางมารับไปทำบุญที่อินเดีย
โดย ส.ส.เพื่อไทยจะเดินทางไปร่วมทำบุญด้วยเป็นจำนวนมาก
และ นายกฯปู จะกลับไทย 26ต.ค.57
คงไปทอดกฐินที่พุทธคยา. อินเดีย
เหลิม จิตอาฆาต ชี้เป้าทำลายทักษิณ และยิ่งลักษณ์เท่านั้น
ทุกตัวอักษร อาบด้วยยาพิษ ถ้าดูเผินๆ ส่วนหนึ่งประหนึ่งเห็นใจ หรือเตือนสติ แต่ถ้าเพ่งดีๆ อย่างใจเป็นธรรม นี้คือกลยุทธที่อันตราย ชี้เป้าให้ทำลาย ให้หน่อย ที่แย่คือไปเดาในสิ่งที่ไม่เกิด เพื่อให้ฝ่ายที่เสียประโยชน์คุณต้องเร่งกำจัดเสีย
ถามว่า เหลิ่ม เก็บความแค้นอาฆาตร ทักษิณ ยิ่งลักษณ์ และเสื้อแดง อย่างเลียดเย็น จริงๆ
เคยจำได้ ยิ่งลักษณ์ ปลดเหลิม แบบเลือกคนตามสถานการณ์ มากกว่าเอามันส์ จึงปรับให้ เหลิม จาก มท.1 ไปนั่งตำแหน่ง แรงงานฯ
แทนที่ เหลิม จะมองสถานการณ์ออก แต่เหลิม อาฆาตรแค้นไว้ ลึกๆ
"คน ที่ได้กำไรที่สุดเป็นพรรคเพื่อไทย และ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ดูจะเป็นคนที่มีความสุขที่สุด เพราะช่วยแก้ปัญหาการเมืองในพรรคเพื่อไทยให้หลาย ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นภาวะที่แกนนำคนเสื้อแดงกำลังเคลื่อนไหวจนกระทบกระทั่งกับรัฐบาล เองในตอนนั้น ปัญหาความวุ่นวายหลายอย่างในปลายรัฐบาล ที่ทำอะไรลำบาก ปฏิวัติรอบนี้ พ.ต.ท. ทักษิณต้องส่ง Petrus (เปตรุส-ไวน์ราคาแพง) มาให้ พล.อ. ประยุทธ์สัก 12 ลัง" ...ทักษิณบอกมิงมาฆ่ากรูดีกว่าไหมเหลิมนี้คือการแส่ให้ คนเกลียดทักษิณ ทั้งสองฝ่าย และคนทั้งโลก คิดไปได้ว่า ทักษิณสั่งให้ยึดอำนาจน้องสาวตนเอง นั้นแหละ
(เข้าสู่ภาวะเตรียมเลือกตั้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มั่นใจเกิน 700 ล้านเปอร์เซ็นต์ว่า ถ้าไม่มีคดีร้ายแรงถึงขั้นโดนตัดสิทธิ์ ยังไงก็ยังเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ส่วนตระกูลชินวัตรคนอื่นจะทยอยลงมา ทั้งบุตรชาย หรือคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยา พ.ต.ท. ทักษิณ ดูแล้ว คุณหญิงอ้อไม่ใช่ทางที่จะมาเล่นการเมือง)..
นี้คือ เป็นการวางยาเพื่อฆ่า หรือส่งชิกให้ ฝ่ายเกลียด ทักษิณ ยิ่งลักษณ์ และตระกูลชินวัตร ฆ่าตระกูลนี้เสีย และเป็นเพิ่มความกลัวให้สังคม ให้คนที่เกลียดตระกูลนี้ขึ้นอย่างมากกว่าเดิมไปเอาเรือ่งเดา ที่ยังไม่ได้เกิด ไปเดาได้ว่า ตระกูลนี้จะลงเล่นการเมืองทุกคน นี้คือการฆ่าการบอกว่า นายกยิ่งลักษณ์ยังไงก็มา นี้คือบอกว่า พวกมิงแขวน ตัดสินลงโทษเท่านั้น จึงจะได้เกิด
เจอคนรอบสังหาร อยู่ใกล้ๆนี้เอง ยื่นน้ำผึ้งอาบยาพิษให้กินแท้ๆ
นรกไหมละ เหลิม
"จตุพร"ของขึ้นด่า"เหลิม"คล้ายหมาลอบกัด
เมื่อวันที่ 20 ต.ค. นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าว ในรายการ "มองไกล" ทางสถานีโทรทัศน์พีซทีวี ตอบโต้ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่พาดพิงคนเสื้อแดงมีความขัดแย้งกับพรรคเพื่อไทยในช่วงการชุมนุมทางการ เมือง ตอนหนึ่งว่า การพูดดังกล่าวเป็นการใส่ร้ายตน และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช. อีกทั้งยังทำลายความรู้สึกของประชาชนที่มีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และคนเสื้อแดง รวมถึงพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่าการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่ถนนอักษะ ไม่ได้มีความขัดแย้งกับรัฐบาลพรรคเพื่อไทยในช่วงนั้น
ดังนั้นการที่บอกว่าการยึดอำนาจเป็นการแก้ปัญหาเรื่องเสื่้อแดงมีปัญหากับรัฐบาลจึงถือว่า ร.ต.อ.เฉลิมโกหก และ ที่บอกว่าพรรคเพื่อไทย และพ.ต.ท.ทักษิณ ได้กำไรจากการยึดอำนาจในครั้งนี้ ก็ไม่เป็นความจริง เพราะตนไม่เคยได้ยินว่า พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่ามีความสุขจากการยึดอำนาจ การพูดอย่างนี้เท่ากับฆ่า พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะจะกระทบต่อความรักความศรัทธาที่ประชาชนมีให้ โดยอาจมองว่าเขามาปฏิวัติรัฐบาลตัวเอง แล้วยังมีความสุข
นาย จตุพร กล่าวอีกว่า ส่วนที่บอกว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้งที่จะถึง และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น เป็นการคิดเพียงชั้นเดียว
และชี้เป้าให้ สนช.เร่งดำเนินการกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะไม่จัดการ น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็จะได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ทราบว่าที่บ้าน ร.ต.อ.เฉลิม มีกระจกหรือไม่ เพราะเวลาต่อสู้เราไม่เคยได้ยินเสียง ร.ต.อ.เฉลิม แต่ในวันที่ชนะกลับได้ยินเสียง และเป็นความจริงที่คนเสื้อแดงจะไปคุมพรรคเพื่อไทยได้ หลังจากที่ ร.ต.อ.เฉลิมพูด ตนรอที่จะเจอในงานศพของ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย อดีตรองประธานสภาฯ โดยถ้าเจอหน้าจะไม่ยกมือไหว้ แต่สุดท้าย ร.ต.อ.เฉลิมก็ไม่ไป
ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ จะจัดการคนเสื้อแดงจริง ๆ แค่ยกหูโทรศัพท์มาบอก ผมก็จะลาออกจากสมาชิกพรรคเพื่อไทยให้ แต่ไม่เชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะจิตใจต่ำอย่างที่ ร.ต.อ.เฉลิมพูด ผมและนายณัฐวุฒิมีมือมีตีน ไม่กลัว ซัดมาก็ซัดไป เพราะไม่ใช่นักการเมืองงี่เง่า หน้าอย่าง หลังยาก ทำตัวเป็นหมาลอบกัด นิสัยขี้นินทาคล้ายหน้าตัวเมีย ไม่ใช่นิสัยของผม สถานการณ์อย่างนี้คุณมากระทืบผมโชว์ คสช.ทั้งที่ไม่เคยต่อสู้ร่วมกันมาเลย คุณประกาศผีไม่เผาเงาไม่เหยียบได้ ผมก็ประกาศได้ ผมไม่สนใจ ไม่ต้องคบกัน อย่ามาเสียงดังกับผม เพราะผมจะสวนทุกกรณี บางคนเสียงดัง แต่หัวใจเท่าขามด"นายจตุพร กล่าว
ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า ได้พยายามโทรศัพท์สอบถามเรื่องดังกล่าวกับ ร.ต.อ.เฉลิม แต่ร.ต.อ.เฉลิมบอกผ่านคนใกล้ชิดว่า ไม่ซีเรียส ขออยู่เฉย ๆ ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด.
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
วัฒนธรรมคนเกาหลี
ชาวเกาหลีใต้ได้สร้างวัฒนธรรมที่โดดเด่นผ่านช่วงประวัติศาสตร์อันยาวนาน วัฒนธรรมหลายๆอย่าง
เกิดขึ้นมาจากอิทธิพลของหลากหลายศาสนาซึ่งมีอิทธิพลมากต่อการดำรงชีวิตความเป็นอยู่ของ
ชาวเกาหลีมาจวบจนปัจจุบันนี้
การทักทาย
Korean DO (คนเกาหลีทำ)
การกล่าวคำทักทาย และคำขอบคุณต้องก้มหัวคำนับเสมอการโค้งต่ำระดับไหนนั้นขึ้นอยู่กับความ
อาวุโสของอีกฝ่าย
Korean DON? T (คนเกาหลีไม่ทำ)
ทักทายด้วยการโอบกอดในที่สาธารณะ นอกเสียจากเพื่อการร่ำลา
การเรียกผู้อื่น
Korean DO (คนเกาหลี ทำ)
? การเรียกคนที่ไม่รู้จักกัน หรือไม่รู้จักชื่อบางคนจะใช้คำพูดที่เป็นการเกริ่นนำขึ้นมาก่อนไม่ได้มีคำ
เรียกบุคคลนั้นตายตัว (เช่น ขอโทษนะคะ,ไม่ทราบว่า) แต่บางคนจะมีคำสรรพนามที่สามารถ
ใช้เรียกได้เลย (เช่น คุณลุง, คุณป้า)?
???
? การเรียกคนที่มีอายุมากกว่า จะไม่เรียกชื่อเขา แต่จะใช้สรรพนามให้?เหมาะสมกับเขาคนนั้น (ซึ่ง
แบ่งตามเพศและสถานภาพ) แต่ถ้าเรียกคนที่มีอายุน้อยกว่า หรือเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน สามารถเรียก
ชื่อได้ หรืออาจใช้สรรพนามแทนก็ได้เช่นกัน
???
?? เรียกชื่อจริงเฉพาะกับเพื่อนสนิท หรือคนในครอบครัวเท่านั้น?
???
? การเรียกผู้อาวุโสในสำนักงาน อาจเติมคำว่า ?นิม ? ต่อท้ายตำแหน่ง
หน้าที่การงานของบุคคลนั้นหรือเติมคำว่า ?ชี ? ต่อท้ายชื่อเต็มของเพื่อนร่วมงาน เพื่อความสุภาพ
มากขึ้น
Korean DON?T (คนเกาหลี ไม่ทำ)
? เรียกคนที่ไม่รู้จักกัน หรือไม่รู้จักชื่อ ว่า ?นอ ? ที่แปลว่า You ในภาษาอังกฤษเพราะเป็นคำที่ใช้
เรียกกันเฉพาะในหมู่เพื่อนหรือคนสนิทเท่านั้น
???
? เรียกผู้อาวุโสกว่าด้วยชื่อจริง หรือ นอ???
???
? เรียกชื่อจริงของบุคคลผู้ที่เราไม่ได้รู้จักกันเป็นอย่างดี เช่นเพื่อนร่วมงาน,?หัวหน้า ฯลฯ
การรับประทานอาหาร
Korean DO
? ใช้ตะเกียบโลหะกับช้อนยาวโดยใช้ช้อนรับประทานข้าวซุป และสตูว์ และใช้ตะเกียบกับเครื่อง
เคียงแบบอาหารแห้ง?
???
? เคี้ยวอาหารเสียงดังๆ เพื่อแสดงความอร่อย (คล้ายวัฒนธรรมจีนและญี่ปุ่น)??
???
? วางช้อนและตะเกียบลงบนโต๊ะเมื่อทานเสร็จแล้ว
???
? น้อมรับคำชมเกี่ยวกับรสชาติอาหารและบริการ
???
? ผู้น้อยต้องรอให้ผู้อาวุโสที่สุดเป็นฝ่ายบอกเริ่มการรับประทานอาหารเสมอ
?เมื่อมีคนรินเครื่องดื่มให้ก็ควรรินกลับเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ
???
? ผู้ที่มีอายุน้อยที่สุดต้องเป็นคนรินเครื่องดื่มให้ผู้อาวุโส กว่าเสมอและต้องรินด้วยสองมือ
Korean DON?T
? ใช้ช้อนและตะเกียบพร้อมกัน
???
? ปักตะเกียบไว้ในชามข้าว เพราะถือว่าเป็นการเซ่นไหว้คนตาย?
? ยกจานหรือชามขึ้นมาขณะรับประทานอาหาร?
? การพูดคุยระหว่างมื้ออาหารที่มากเกินไป?
? แชร์ค่าอาหาร (ยกเว้นในกรณีพิเศษ)?
? การสั่งน้ำมูกในโต๊ะอาหาร?
??ลุกจากโต๊ะอาหารก่อนที่ผู้อาวุโสที่สุดจะรับประทานเสร็จ?
? รินเครื่องดื่มให้ผู้อื่นขณะที่เครื่องดื่มในแก้วยังไม่หมด?
*****
ครอบครัวเกาหลีนิยมรับประทานข้าว ซุปและเครื่องเคียงอีกสามสี่อย่างรวมทั้งกิมจิมีการจัดเรียงจาก
ซ้ายไปขวาของผู้รับประทาน ดังนี้ ข้าว ซุป ช้อน และตะเกียบส่วนสตูและเครื่องเคียงอื่นๆ จะวาง
กลางโต๊ะ รับประทานกับผู้อื่น ชาวเกาหลีเชื่อว่าการรับประทานอาหารร่วมจานกันจะเป็นการกระชับ
ความสัมพันธ์ แต่หากต้องการจานชามส่วนตัวก็สามารถขอได้และทุกวันนี้ร้านอาหารเกาหลีก็จะ
จัดชุดจานเฉพาะบุคคลให้
การแสดงออก
Korean DO
? การจับมือทักทายกันอย่างสุภาพ
???
? โอบกอดในที่สาธารณะะทำเฉพาะกรณีเพื่อการร่ำลา
???
? แสดงออกอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน
???
? ชาวเกาหลีจะแสดงแสดงความคิดเห็นด้วยความระมัดระวังรอบคอบเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นเกิดการ
เข้าใจหรือตีความหมายผิด?
Korean DON?T??
??การแสดงความรักระหว่างเพศในที่สาธารณะ (เช่น กอด, จูบ)?
???
? ถูกเนื้อต้องตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณศีรษะ?นอกจากจะแสดงความเอ็นดูต่อเด็กเล็กๆ เท่านั้น?
???
? คุยโวโอ้อวดความสามารถของตนเอง?
???
? แสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา
???
? ทิ้งขยะบนท้องถนนเพราะค่าปรับแพง
?
การใช้มือ
Korean DO
? สิ่งของจากผู้ใหญ่ ด้วยสองมือ
???
? มอบสิ่งของให้ผู้ใหญ่ ด้วยสองมือ
Korean DON?T
?? รับสิ่งของจากผู้ใหญ่ ด้วยมือเดียว?
???
? มอบสิ่งของให้ผู้ใหญ่ ด้วยมือเดียว?
?
การไปเยี่ยมบ้านผู้อื่น
Korean DO
? ถอดรองเท้าก่อนเข้าบ้าน เนื่องจากตามประเพณีดั้งเดิมคนเกาหลีนั่งรับประทานอาหาร และนอน
บนพื้น
? สวมถุงเท้า หรือถุงน่อง?
Korean DON?T
? ใส่รองเท้าเข้าบ้าน
???
? เดินหรือนั่งเท้าเปล่าต่อหน้าผู้ใหญ่ หรือผู้อาวุโส
การปฏิเสธ
Korean DO
ใช้วิธีการพูดแบบอ้อมๆ (พูดอ้อมค้อม)
Korean DON?T
ใช้วิธีการพูดแบบตรงไปตรงมา
อื่นๆ
Korean DO
? ในเกาหลี การให้ทิป ไม่ใช่สิ่งจำเป็น เพราะตามโรงแรม และร้านอาหารจะบวกค่าบริการ
(Service Charge) ไว้แล้ว 5 ? 10% ของค่าอาหาร หรือห้องพัก?
???
? ค่าเลี้ยงสุนัขที่เกาหลีใต้ค่อนข้างแพง ถ้าหากจูงสุนัขไปเดินเล่นตามถนน แล้วสุนัขอึเราต้องทำการ
เก็บทำความสะอาด มิฉะนั้นต้องเสียค่าปรับ
???
? ตามร้านมินิมาร์ทที่เกาหลีใต้ เวลาซื้อของ เขาจะไม่ใส่ถุงให้ ทั้งนี้เพื่อรณรงค์ลดการใช้ถุง
พลาสติก หากต้องการถุง เขาจะคิดเงินเพิ่ม 100 วอน แต่ก็มีบางร้านที่ให้ถุงโดยไม่ต้องจ่ายเงิน
???
? ประเทศเกาหลีใต้ มีระบบตรวจจับคนที่ขับรถผิดกฎจราจร ซึ่งทางตำรวจจะส่งหลักฐานมาถึงบ้าน
เพื่อแจ้งเรื่อง ความเร็ว, เวลา, ทะเบียนรถยนต์ และผู้ทำผิดกฎจราจรต้องไปเสียค่าปรับที่โรงพักเอง
???
? ผู้หญิงเมื่อแต่งงานแล้ว จะไม่เปลี่ยนไปใช้นามสกุลของสามี แต่จะยังคงใช้นามสกุลของตนตาม
เดิม ส่วนบุตรธิดา จะใช้ชื่อสกุลของบิดา
???
? ชาวเกาหลี มีความคิดที่ว่าการถามคำถามอย่าง ?คุณอายุเท่าไร ??? ?คุณแต่งงานแล้วหรือยัง ??
หรือ ?ทำไมคุณถึงมาที่เกาหลี ?? จะช่วยให้เกิดความใกล้ชิดและมิตรภาพที่ดีขึ้น ดังนั้น จึงไม่
แปลก หากชาวเกาหลีจะถามอายุของเรา เพราะเขาจะได้รู้ว่าควรจะใช้คำพูด ในการคุยกับเราอย่าง
ไร
เอเอฟพี – เจ้าหน้าที่ซึ่งดูแลความปลอดภัยในงานคอนเสิร์ตที่เมืองซองนัมของเกาหลีใต้ได้ฆ่าตัวตายเมื่อวานนี้(17) เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากเกิดเหตุตะแกรงที่กั้นช่องระบายอากาศพังถล่ม คร่าชีวิตแฟนเพลงวัยรุ่น 16 ศพ ทางการเกาหลีใต้แถลงวันนี้(18)
การเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่รัฐวัย 37 ปี ซึ่งมีนามสกุลว่า โอห์ ถูกประกาศออกมา ในขณะที่ตำรวจโสมขาวเริ่มสืบสวนเหตุโศกนาฏกรรมที่ลานแสดงคอนเสิร์ตกลางแจ้ง ณ เมืองซองนัม
เหยื่อซึ่งเป็นกลุ่มวัยรุ่นได้ขึ้นไปยืนบนตะแกรงกั้นช่องระบายอากาศ เพราะต้องการมองเห็นเวทีคอนเสิร์ตชัดๆ ทำให้โครงสร้างตะแกรงรับน้ำหนักไม่ไหวและพังถล่ม ส่งผลให้วัยรุ่นกว่า 20 คนร่วงลงไปยังลานจอดรถใต้ดินซึ่งอยู่ต่ำลงไป 18.7 เมตร
19ต.ค.57
นายกฯปู เป็นประธานในพิธีพระราชทานเพลิงศพ พ.อ.ดร.อภิวันท์ วิริยะชัย อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง
และอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ณ วัดบางไผ่ อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี
คดีที่ค้างคาอยู่ใน ป.ป.ช. แต่แทบไม่มีความเคลื่อนไหวหรือดำเนินการใดๆทั้งสิ้น
๑.) การทุจริตโครงการประกันราคาข้าว สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ ผ่านมา 5 ปีแล้ว ไม่มีความคืบหน้าใดๆ
๒.) คดีทุจริตการจัดสร้างโรงพักร้าง 396 แห่งทั่วประเทศ
๓.) คดี ปรส. 800,000 ล้านบาท รัฐบาลขณะนั้นนำสถาบันการเงินไปขายให้กับต่างชาติในช่วงเศรษฐกิจฟองสบู่แตก คดีนี้ค่าเสียหายรวมดอกเบี้ยแล้วมากกว่า 2.2 ล้านล้านบาท ปัจจุบันคดีหมดอายุความแล้ว
๔.) การกักตุนน้ำมันปาล์มเพื่อให้ราคาแพง จนประชาชนต้องออกมาทะเลาะกันเพื่อแย่งชิงน้ำมันปาล์ม
๕.) การทุจริตโครงการจัดซื้อคุรุภัณฑ์อาชีวะ (คนที่ ป.ป.ช. ตั้งไปสอบการทุจริตในกระทรวงศึกษาธิการ กลับมีส่วนเกี่ยวข้องเสียเอง)
๖.) คดีทุจริตโครงการถนนปลอดฝุ่น สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์
๗.) การทุจริตในโครงการชุมชนพอเพียง สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์
๘.) คดีทุจริตเลี่ยงภาษีนำเข้าไวน์จากประเทศฝรั่งเศส ของนาย "เอกชัย มหาคุณ" หลานของนาย "วิชา มหาคุณ" กรรมการ ป.ป.ช.
และอีกหลายๆคดีที่ไม่มีความคืบหน้าเลย
ถามจริงๆครับ ป.ป.ช. มีความเป็นกลางบ้างไหม?
หน้าด้านจริงๆ โดยเฉพาะ "วิชา มหาคุณ"
คดีประชาธิปัตย์ ดองไว้จนหมดอายุความ
กล่าวหาใส่ร้ายเค้าว่าโกงอย่างโง้นงี้ พอถึงเวลาส่งสำนวนฟ้องดันมีแค่ปกรายงาน .........
ทางแก้หนี้นอกระบบ ต้องปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างจริงจัง
ปัญหาหนี้นอกระบบ เป็นข่าวดังครึกโครมขึ้นมาอีกครั้งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเมื่อเกิดกรณี การเผาตัวเองของนางสังเวียน รักษาเพ็ชร อายุ 52 ปี ชาว จ.ลพบุรี ที่กลางศูนย์บริการประชาชน (ชั่วคราว) ฝั่งตรงข้ามทำเนียบรัฐบาลจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะนี้ยังพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล
สำหรับสาเหตุและข้อเท็จจริงของปัญหา ขณะนี้มีข้อมูลออกมาจากทั้งสองฝ่าย โดยฝ่ายลูกหนี้คือนางสังเวียน ชี้ประเด็นไปว่า สาเหตุเกิดจากแรงกดดันจากเจ้าหนี้ที่ให้กู้และเรียกดอกเบี้ยสูงจนทำให้ไม่สามารถใช้หนี้ได้หมดสิ้น แม้จะมีการประนอมหนี้มาแล้วก็ตาม
แต่ขณะฝ่ายเจ้าหนี้ ซึ่งหลานสาวของเจ้าหนี้ได้ออกมาแจงข้อเท็จจริงผ่าน เฟซบุ๊กส่วนตัว ขอความเป็นธรรม โดยชี้ประเด็นว่า ทางฝ่ายลูกหนี้เองที่ไม่มีวินัยและผิดสัญญาต่างๆนานาจนสร้างความเสียหายให้เจ้าหนี้ ทำให้ไม่ได้รับหนี้คืนอย่างที่ควรจะได้
อย่างไรก็ตามในประเด็นข้อเท็จจริงเหล่านั้นสุดท้ายคืออะไร คงจะมีการติดตามสืบข่าวกันต่อ แต่สิ่งที่น่าสนใจในประเด็นหนี้นอกระบบประเด็นหนึ่งก็คือ ปัญหาหนี้นอกระบบเป็นปัญหาของสังคมไทย ที่มีมานาน สั่งสมมานาน และรอวันแก้ไขอย่างเป็นระบบเพื่อให้ปัญหาดังกล่าวทุเลาลดน้อยลงไปในอนาคต
หนี้นอกระบบ ในปัจจุบันจากการรายงานของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเมื่อวันที่ 15 ต.ค.ที่ผ่านมาพบว่า ปัญหาหนี้สินครัวเรือน ในปี 2557 มีสัดส่วนสูงสุดในรอบ 9 ปี โดยสูงถึง 9.8 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 82 ของจีดี และ มีจำนวนหนี้สินเฉลี่ย 2.19 แสนบาทต่อครัวเรือน เพิ่มขึ้น จากปี 2556 ที่มีหนี้สินเฉลี่ย 1.88 แสนบาทต่อครัวเรือน ที่สำคัญพบว่า เป็นหนี้นอกระบบถึง 49%
ปัญหาหนี้นอกระบบนอกจากเป็นปัญหาในด้านเศรษฐกิจ และยังเกิดปัญหาต่อเนื่องไปยังปัญหาสังคมอีกด้วย ในช่วงหนึ่ง เรามักได้ยินข่าว แก๊งทวงหนี้โหดทำร้ายลูกหนี้บ่อยครั้ง และในช่วงการบริหารงานของ คสช.ก็มีนโยบายสำคัญคือมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอยู่ด้วยมาตรการหนึ่ง
สำหรับปัญหาของหนี้นอกระบบ ส่วนหนึ่ง ที่ลูกหนี้เมื่อไปกู้นอกระบบจากนายทุนนอกระบบแล้วไม่สามารถชำระหนี้คืนได้ หรือใช้หนี้เท่าไรก็ไม่หมดสิ้น ก็เพราะ การกำหนดดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ในอัตราสูง อย่างที่เราเคยได้ยินคุ้นหูอยู่ประจำก็คือ ดอกเบี้ยร้อยละ 20 ต่อเดือน ต้องย้ำว่า ต่อเดือน ซึ่งเท่ากับดอกเบี้ยเงินกู้นอกระบบต่อปี (ซึ่งปรกติสถาบันการเงินคิดดอกเบี้ยเป็นอัตราต่อปี) อยู่ที่ ร้อยละ 240 ต่อปี เท่ากับดอกเบี้ยมากกว่าเงินต้นถึงเกือบสองเท่าครึ่ง
แต่ทราบหรือไม่ว่า การกำหนดดอกเบี้ยเงินกู้นั้น แท้จริงมีกฎหมายกำหนดเพดานห้ามไม่ให้มีการคิดอัตราดอกเบี้ยเกินกว่าที่กำหนด และหากใครทำเกินกว่ากฎหมายกำหนดจะมีความผิด อีกด้วย
โดย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 บัญญัติว่า "ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละ สิบห้าต่อปี ถ้าในสัญญากำหนดดอกเบี้ยเกินกว่านั้น ก็ให้ลดลงมาเป็นร้อยละสิบห้าต่อปี" ซึ่ง มาตรา 654 นี้ อยู่ในบรรพ 3 ได้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2474
แต่ต่อมาในปี พ.ศ. 2475 ได้มีพระราชบัญญัติ ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 ประกาศใช้บังคับ ซึ่ง มาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว บัญญัติว่า “บุคคลใดให้บุคคลอื่นยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ มีความผิดฐานเรียก ดอกเบี้ยเกินอัตรา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
ดังนั้นการปล่อยกู้ของนายทุนเงินกู้ใดๆก็ตาม ที่คิดดอกเบี้ยเงินกู้เกินกว่ากฎหมายกำหนดถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย และยังมีความผิดทางอาญาอีกด้วย ซึ่งลูกหนี้สามารถใช้เป็นข้อต่อสู้ในทางคดีได้
ทั้งๆที่การปล่อยกู้เกินกว่ากฎหมายกำหนดไม่ชอบด้วยกฎหมายและมีความผิดทางอาญา แต่ทำไม่ปัญหาหนี้นอกระบบ จึงไม่หมดสิ้นและมีสัดส่วนสูงเกือบครึ่งของมูลหนี้ครัวเรือนดังที่ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้รายงานไว้ดังที่ยกมาข้างต้น ?
ใช่หรือไม่ ลูกหนี้จำยอมเพราะไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินในระบบอย่างสถาบันการเงินปรกติได้ ? การกู้เงินจากสถาบันการเงินปรกติต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน หลักประกัน ยุ่งยากจนคนจนไม่สามารถเข้าถึงได้จริงหรือไม่.?
ธนาคารรัฐที่หลายรัฐบาลพยายามผลักดันให้เข้ามามีบทบาทในการแก้หนี้นอกระบบ อย่างธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. มีข้อบกพร่องหรือไม่ ?
ในขณะที่ การกระทำหรือการปล่อยกู้ดอกเบี้ยสูงกว่ากฎหมายกำหนด เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายมีความผิดทั้งแพ่งและอาญา แต่ ทำไม ยังมีเงินกู้นอกระบบจำนวนมากเกิดขึ้น ? ใช่หรือไม่เพราะนายทุนบางรายเป็นผู้มีอิทธิพล และใกล้ชิดกับเส้นสายอำนาจของคนมีสี..?
ยังมีปัญหาอีกมากมายเกี่ยวกับปัญหาหนี้นอกระบบที่ดูเหมือนไม่จบไม่สิ้นและต้องการการแก้ไขในเชิงระบบเชิงโครงสร้าง แต่ประเด็นหนึ่งที่ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ชี้ประเด็นก็น่าจะช่วยแก้ไขในระยาวได้บ้าง คือ
“ปัญหาหนี้นอกระบบ เป็นปัญหาค่อนข้างหนัก และสะท้อนว่าประชาชนไม่มีรายได้เพียงพอกับรายจ่าย จึงไปกู้หนี้นอกระบบ ซึ่งการแก้ปัญหาเรื่องหนี้นอกระบบ ต้องแก้ด้วยการสร้างรายได้ให้ประชาชน พยายามขยายศักยภาพในการสร้างโอกาสทำมาหากิน และ ประชาชนต้องรู้จักการแบ่งรายได้ เก็บออมให้สอดคล้องกับรายจ่าย ซึ่งทุกหน่วยงานต้องร่วมมือกันในการให้ความรู้กับประชาชน โดยให้ยึดหลัก “รู้จักแบ่งรายได้ ก็ไม่ต้องแบกหนี้”
ทั้งนี้เฉพาะประเด็น การสร้างรายได้ให้ประชาชน พยายามขยายศักยภาพในการสร้างโอกาสทำมาหากิน เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องระดมสรรพกำลังและแก้ไขอีกมากมายและมีรายละเอียดที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง แต่ก็เป็นหน้าที่ของผู้บริหารประเทศที่ต้องเดินหน้าเพื่อทำให้การแก้ปัญหาเหล่านั้นบรรลุให้ได้ เพราะนั้นหมายถึง การสร้างรายได้ การอยู่ดีกินดี และมีออม ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ต้องดำเนินการต่อไป หากไม่สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ ปัญหาหนี้นอกระบบก็ยากที่จะแก้ไขให้ทุเลาเบาบางลงได้
และหากจะแก้ไขให้ได้ผล ก็ต้องอาศัยการปฏิรูปด้านเศรษฐกิจในหลายเรื่อง ตั้งแต่เรื่องพื้นฐาน คือที่ดินทำกิน โอกาสในการทำงาน การค้าขายอย่างเป็นธรรม การสร้างอาชีพอย่างยั่งยืน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้น่าจับตาว่า แนวทางปฏิรูปประเทศที่กำลังเดินหน้ากันอยู่นี้จะสามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้มากน้อยเพียงใด.........
ใครบอกว่าท่านเป็นคนดุ!!!
คะแนนนิยม “โอบามา” ร่วงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ครองอำนาจ โพลล์ชี้ เหลือแค่ “40%”
เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์-ผลโพลล์ล่าสุดยืนยัน บารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯมีคะแนนนิยมลดลง จนร่วงสู่ระดับ “ต่ำสุด” นับตั้งแต่ก้าวขึ้นครองอำนาจอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมกราคมปี 2009
ผลโพลล์ซึ่งจัดทำโดยสื่อดังอย่าง “เอบีซี นิวส์” และ “วอชิงตัน โพสต์” ที่มีการเผยแพร่ในวันพุธ (15 ต.ค.) ระบุว่าในเวลานี้มีชาวอเมริกันเพียงร้อยละ 40 เท่านั้นที่ระบุว่าตนเองพอใจกับการทำหน้าที่ประธานาธิบดีของโอบามา ถือเป็นระดับความนิยมที่ต่ำที่สุด นับตั้งแต่ที่โอบามาก้าวขึ้นครองตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 44 ในประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกันเมื่อปี 2009
ผลสำรวจครั้งนี้ถูกเผยแพร่ออกมาในช่วงก่อนถึง “การเลือกตั้งกลางเทอม” ของสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายน และถือเป็น “ปัจจัยเชิงลบ” ที่ส่งผลต่อการหาเสียงของบรรดาสมาชิกสภาคองเกรสส์สังกัดพรรคเดโมแครต ตลอดจนบรรดาผู้ว่าการรัฐต่างๆ ที่เป็นสมาชิกพรรคเช่นเดียวกัน
โพลล์ล่าสุดยังพบข้อมูลว่า ในความเป็นจริงแล้วคะแนนนิยมของบารัค โอบามาในวัย 53 ปี ได้ลดต่ำลงเหลือเพียงร้อยละ 33 ด้วยซ้ำ หากคิดเฉพาะกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ออกเสียงอิสระ ที่มิได้เป็นผู้สนับสนุนทั้งพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน
ทั้งนี้ ผลสำรวจล่าสุดพบว่า กลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้มีสิทธิ์ออกเสียงชาวอเมริกันร้อยละ 51 ให้โอบามา “สอบตก” ในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและการว่างงาน ขณะเดียวกันยังพบข้อมูลว่ามีชาวอเมริกันเพียงร้อยละ 35 เท่านั้นที่เห็นว่าโอบามา “สอบผ่าน” ในการรับมือภัยคุกคามของกลุ่มนักรบหัวรุนแรงรัฐอิสลาม (ไอเอส)
ผิดหวังโอบาม่า ผิดหวังยิ่งลักษณ์??
|
ภาพจาก www.bbc.co.uk |
เราไม่เคยหลงเชื่อว่าพรรคเดโมแครดของโอบาม่าเป็นพรรค “ซ้าย” ของคนจน หรือเป็นพรรคของขบวนการแรงงาน เพราะในสหรัฐอเมริกาสองพรรคการเมืองหลักเป็นพรรคของกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่อย่างชัดเจน มีการใช้เงินมหาศาลในการหาเสียง และมีการร่วมกันเสนอนโยบาย “โดยนายทุนเพื่อนายทุน” เช่น นโยบายลดภาษีให้คนรวย หรือนโยบายจักรวรรดินิยมที่ก้าวร้าวไปทั่ว
โดย ใจ อึ๊งภากรณ์
เราไม่น่าจะผิดหวังอะไรกับผลงานในรอบ 4 ปีที่แล้วของประธานาธิบดีโอบาม่า และไม่น่าจะผิดหวังอะไรกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ด้วย เพราะเราไม่ควรจะมีความหวังกับนักการเมืองฝ่ายนายทุนเหล่านี้ตั้งแต่แรก เราควรมั่นใจมานานแล้วว่าเขาจะหักหลังพวกเราแน่นอน
ในการเลือกตั้งที่สหรัฐ ทั้งๆ ที่ โอบาม่าชนะ แต่เราก็เห็นชัดว่าคนส่วนใหญ่ที่เคยตั้งความหวังกับโอบาม่า ผิดหวังจนคะแนนเสียงของโอบาม่าตกต่ำลง คือโอบาม่าได้คะแนนมากกว่ารอมนี้แค่ 2% เอง เทียบกับปี 2008 เขาได้มากกว่ามะเคน 7% และคนที่ลงคะแนนให้โอบาม่าลดจาก 70 ล้านเสียงเหลือแค่ 60 ล้าน เป็นเพราะอะไร?
สำหรับนักสังคมนิยม เราไม่เคยหลงเชื่อว่าพรรคเดโมแครดของโอบาม่าเป็นพรรค “ซ้าย” ของคนจน หรือเป็นพรรคของขบวนการแรงงาน เพราะในสหรัฐอเมริกาสองพรรคการเมืองหลักเป็นพรรคของกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่อย่างชัดเจน มีการใช้เงินมหาศาลในการหาเสียง และมีการร่วมกันเสนอนโยบาย “โดยนายทุนเพื่อนายทุน” เช่น นโยบายลดภาษีให้คนรวย หรือนโยบายจักรวรรดินิยมที่ก้าวร้าวไปทั่ว นอกจากนี้เราก็จะปฏิเสธด้วยว่ารัฐบาลพรรคเดโมแครดจะเป็นรัฐบาลที่ “แย่น้อยกว่า” รัฐบาลพรรคริพับลิแคนทั้งๆ ที่นักการเมืองพรรคริพับลิแคนมักใช้วาจาของพวกอนุรักษ์นิยมสุดขั้วก็ตาม ถ้าไม่เชื่อก็ต้องดูรูปธรรมของนโยบายทั้งสองพรรคเมื่อเป็นรัฐบาล
โอบาม่าชนะการเลือกตั้งในปี 2008 และเข้ามาเป็นประธานาธิบดีท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่ร้ายแรงที่สุดตั้งแต่ยุค 1930 แต่แทนที่โอบาม่าจะปฏิรูปโครงสร้างระบบทุนนิยมเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในลักษณะการปรองดองระหว่างทุนกับคนงานกรรมาชีพ อย่างที่ประธานาธิบดีรุสเวลท์เคยทำในยุค 1930 โดยการใช้รัฐสร้างงานและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของสหภาพแรงงาน โอบาม่ากลับเลือกข้างนายทุนฝ่ายเดียว และให้คนทำงานธรรมดาต้องแบกภาระจากวิกฤตที่ตนเองไม่ได้สร้าง
นโยบายเศรษฐกิจของโอบาม่าเป็นการต่อยอดนโยบายของรัฐบาลบุชที่มาก่อนหน้านั้น โดยเฉพาะในเรื่องการปล่อยให้ธนาคารดำเนินกิจการและกอบโกยอย่างเสรี อันนี้เป็นการเลือกของโอบาม่า ไม่ใช่ว่าถูกบังคับแต่อย่างใด
หลังจากที่กระตุ้นเศราฐกิจเล็กน้อย โอบาม่าหันมาใช้ลัทธิเสรีนิยมกลไกตลาดตามเคย ซึ่งเน้นการตัดสวัสดิการและแปรรูปภาครัฐให้เป็นเอกชน
เราเข้าใจได้ดีว่าทำไมโอบาม่าเลือกข้างนายทุน ซึ่งไม่ต่างจากพรรคริพับลิแคนเพราะในหนังสือของโอบาม่าที่ออกมาในปี 2007 เขาเล่าว่าตอนที่เขาเป็นวุฒิสมาชิกในสภา เขาเริ่มคลุกคลีกับพวกนายทุนและคนรวยที่สุด 1% ของประเทศจนตัวเขาเองเริ่มเคารพและคิดเหมือนพวกนั้น
เมื่อเราพิจารณาความเดือดร้อนของคนงานสหรัฐ โดยเฉพาะคนงานประกอบรถยนต์ที่เป็นสมาชิกสหภาพ United Auto Workers (UAW) ซึ่งกำลังตกงานจากวิกฤตที่เริ่มในระบบธนาคาร เราจะเห็นว่าหัวหน้าทีมงานของประธานาธิบดีโอบาม่าเคยพูดในทำเนียบขาวว่า “สหภาพนี้ไปตายห่าก็ได้” (“Fuck the UAW”) ซึ่งผลของนโยบายดังกล่าวบวกกับความขี้ขลาดของผู้นำแรงงานระดับชาติ แปลว่าคนงานสหรัฐต้องแบกภาระการตกงานและการถูกตัดเงินเดือน เพื่อให้มีการฟื้นฟูกำไรสำหรับกลุ่มทุน ต่อมาท่าทีของนายกเทศมนตรีเมืองชิคาโก ซึ่งเป็นนักการเมืองพรรคเดโมแครดก็ไม่ต่าง เพราะพยายามแข็งข้อกับครูทั่วเมืองที่นัดหยุดงานในปีนี้ เพื่อเรียกร้องให้มีการพัฒนาสภาพโรงเรียนและสภาพการจ้างงาน
โดยรวมแล้วในสหรัฐตอนนี้มีตำแหน่งงานน้อยกว่าก่อนวิกฤตระเบิดขึ้นในปี 2007 ถึง 4.2 ล้านตำแหน่ง ปัจจุบันครึ่งหนึ่งของคนทำงานในสหรัฐ(75 ล้านคน) อยู่ในสภาพยากจนมีรายได้ไม่พอ คือต่ำกว่า $26,000 และถ้าเรารวมรายได้ทั้งหมดของคนงานทุกคนทั่วประเทศที่กินเงินเดือนเท่ากับหรือต่ำกว่า $50,000 มันยังน้อยกว่ารายได้ทั้งหมดของคนรวยที่สุด 1%
ในแง่ของการมีประธานาธิบดีผิวดำคนแรกในประวัติศาสตร์สหรัฐ คนทำงานผิวดำไม่ได้ประโยชน์เลย เพราะระดับการตกงานของคนผิวดำเพิ่มขึ้น 11% ในยุคโอบาม่า และความแตกต่างระหว่างรายได้เฉลี่ยของคนผิวขาวกับคนผิวดำก็เพิ่มขึ้นอีกด้วย คือตอนนี้ 22 เท่า
แม้แต่ในเรื่องระบบประกันสุขภาพ ซึ่งระบบสหรัฐแย่กว่าของไทยอีก เพราะพลเมืองจำนวนมากไม่มีการประกันเลย โอบาม่าก็ขี้ขลาดลังเลใจ และในที่สุดก็สนับสนุนกฏหมายประกันสุขภาพที่ไม่ต่างจากระบบที่ มิต รอมนี้ คู่แข่งพรรคริพับลิแคนนำมาใช้ก่อนหน้านั้นในรัฐแมแซชูเซทส์ คือยังแย่กว่าของไทยหรือของรัฐสวัสดิการในยุโรป
ในเรื่องนโยบายต่างประเทศ หลายคนเคยหวังว่ารัฐบาลโอบาม่าจะเปลี่ยนจุดยืน จากความก้าวร้าวเบ่งอำนาจของรัฐบาลบุช หลายคนคิดว่าโอบาม่าจะพยายามปรึกษาหารือกับประเทศอื่นๆ ก่อนที่จะทำอะไร แต่ที่ไหนได้ ในคำปราศัยหลังชัยชนะครั้งที่สอง โอบาม่าพูดว่าเขาภูมิใจในการที่สหรัฐอเมริกามีกองทัพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
โอบาม่าเป็นผู้นำร่องในการเข้นฆ่าพลเรือนในตะวันออกกลางและในปากีสถาน ด้วยเครื่องบินไร้นักบิน(Drone) เป็นผู้นำร่องในการตามฆ่าบินลาเดน เป็นผู้ที่สนับสนุนการใช้อำนาจทหารในลิบเบียเพื่อแทรกแซง “ไฮแจก” การปฏิวัติ
เป็นผู้ที่เพิ่มกำลังทหารในเอเชียเพื่อค้านจีน และโอบาม่าก็สนับสนุนหมารับใช้ของสหรัฐในตะวันออกกลางอย่างเต็มที่ คือเป็นเพื่อนที่ดีของอิสราเอลในการที่อิสราเอลกดขี่ปราบปรามชาวปาเลสไตน์
นอกจากนี้โอบาม่าผิดสัญญาว่าจะปิดคุกทหารกวานทานาโมเบย์ ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง และผิดสัญญาว่าจะยุติสงครามในอัฟกานิสถาน แต่เราไม่ควรแปลกใจเลย เพราะในอดีต รัฐบาลพรรคเดโมแครดกับพรรคริพับลิแคนมีนโยบายจักรวรรดินิยมพอๆ กัน อย่าลืมว่าประธานาธิบดีเคเนดีและจอห์นสัน จากพรรคเดโมแครด เป็นผู้ที่เพิ่มจำนวนทหารและการทิ้งระเบิดมหาศาลในสงครามเวียดนาม
ถ้าพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างพรรคเดโมแครดกับสหภาพแรงงาน เราต้องเข้าใจว่าตั้งแต่ยุค 1930 พรรคคอมมิวนิสต์สหรัฐ ซึ่งมีอิทธิพลในหมู่นักเคลื่อนไหวแรงงานยุคนั้น ใช้นโยบายสร้าง “แนวร่วมข้ามชนชั้น” กับพรรคนายทุนอย่างเดโมแครด และมีบทบาทสำคัญในการห้ามไม่ให้เกิด “พรรคแรงงาน” อย่างแท้จริง อย่างที่เราเห็นในยุโรป เช่นพรรคสังคมนิยมปฏิรูปทั้งหลาย และต่อมาในสมัยสงครามเย็น รัฐอเมริกาใช้ “การล่าแม่มด” ในการปราบคอมมิวนิสต์อย่างหนักจนพรรคไม่เหลือซาก ในขณะเดียวกันยุคนั้นเป็นยุคที่เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวและฐานะของคนงานดีขึ้นชั่วคราว ผลในระยะยาวคือในการเลือกตั้งที่สหรัฐไม่มีพรรคทางเลือกเลย มีแต่พรรคนายทุนทีม A กับพรรคนายทุนทีม B แต่พวกผู้นำแรงงานน้ำเน่าก็ได้แต่เกาะพรรคเดโมแครดต่อไป
ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้ ฝ่ายที่ได้เสียงมากที่สุดคือฝ่ายที่ไม่เลือกใคร คาดว่าประชาชนสหรัฐที่มีสิทธิ์เลือกตั้งแต่ไม่ไปใช้สิทธิ์มีประมาณ 48% ของประชาชนทั้งหมด ซึ่งมากกว่าคนที่ลงคะแนนเสียงให้โอบาม่าหรือรอมนี้และปีนี้คนที่ไปใช้สิทธิ์ลดลงจากปี 2008 ประมาณ 10%
ดังนั้นเราสรุปได้ไหมว่าการเมืองในระบบเลือกตั้งของสหรัฐไม่มีความหมายสำหรับคนทำงานธรรมดา? ในแง่หนึ่งเราพูดได้ แต่ในอีกแง่ก็ไม่ถูก
ชัยชนะของโอบาม่าในการเลือกตั้งครั้งแรกเมื่อ 4 ปีก่อน มีความสำคัญที่ผู้ลงคะแนนเสียงให้โอบาม่า เพราะมันสะท้อนว่าคนสหรัฐจำนวนมากต้องการการเปลี่ยนแปลง และมันสะท้อนว่าคนสหรัฐจำนวนมากไม่เหยียดสีผิวของโอบาม่าด้วยแน่นอนคนที่ไปเลือกโอบาม่ารอบแรกจำนวนมากผิดหวังไปแล้ว แต่ก็ยังมีคนที่มองว่าการมีโอบาม่าเป็นประธานาธิบดีจะดีกว่าการมีคนอย่างรอมนี้และพรรคพวก
เหตุผลที่คนเหล่านี้จะใช้คือ ฝ่ายรอมนี้ประกอบไปด้วยนักการเมืองยุคไดโนเสาร์ที่คลั่งศาสนา ดูถูกสิทธิสตรี และปฏิเสธปัญหา “โลกร้อน” ซึ่งเป็นความจริง แต่ในภาพรวมมันเป็นการมองข้ามนโยบายรูปธรรมของฝ่ายเดโมแครดเมื่อเป็นรัฐบาล และเป็นการให้ความสำคัญกับการเลือกตั้งในระบบรัฐสภาสหรัฐมากไป
อย่างไรก็ตามนักสังคมนิยมต้องเข้าใจคนที่ลงคะแนนให้โอบาม่า และพยายามแลกเปลี่ยนกับคนเหล่านี้ให้ทำกิจกรรมร่วมกันในรูปธรรม เช่นการสู้ผ่านสหภาพแรงงาน อย่างที่เกิดขึ้นกับการนัดหยุดงานของครูทั่วเมืองชิคาโกซึ่งได้รับชัยชนะหรือการรณรงค์ยึดพื้นที่กลางเมืองของขบวนการ Occupy และขบวนการเคลื่อนไหวอื่นๆ เช่นการต้านโลกร้อน หรือการต้านจักรวรรดินิยม เป็นต้น เพราะขบวนการเหล่านี้จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมสหรัฐได้มากกว่าการไปเลือกตั้ง ทั้งๆ ที่มันอาจเป็นการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยเท่านั้น แต่มันก็เป็นก้าวแรกที่สำคัญ
ในอดีตการเปลี่ยนแปลงของสังคมสหรัฐมาจากการต่อสู้นอกรัฐสภาทั้งนั้น เช่นการลุกฮือนัดหยุดงานในยุค 1930 การเรียกร้องสิทธิของคนผิวดำ สตรี และเกย์ทอมดี้ การต่อต้านสงครามเวียดนาม หรือแม้แต่การเผาเมืองท่ามกลางการก่อจลาจล เป็นต้น
การเลือกตั้งในสหรัฐอาจไม่มีความหมายในตัวมันเอง และถ้าเราเป็นนักสังคมนิยมในสหรัฐ เราจะไม่เสียเวลาหรือสร้างความหวังเท็จด้วยการไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งหรือหาเสียงให้โอบาม่า แต่มันเป็นโอกาสที่จะพบประชาชนธรรมดาที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลง ส่วนพวกที่นั่งอยู่บ้านและไม่ไปใช้เสียงก็น่าเห็นใจ แต่คนเหล่านั้นมีแนวโน้มจะไม่มีกำลังใจพอที่จะเคลื่อนไหวนอกระบบรัฐสภาเลย เขาจึงไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของนักเคลื่อนไหว
เวลาเราพิจารณาการเลือกตั้งที่สหรัฐ เราควรคิดกลับมาที่ไทย การเลือกตั้งในเดือนกรกฏาคมปี ๒๕๕๔ สำคัญที่เราสามารถแสดงให้สังคมเห็นว่าคนส่วนใหญ่ไม่เอาทหารและไม่เอาพรรคประชาธิปัตย์ คือเราต่อต้านรัฐประหารและการฆ่าประชาชน แต่มันไม่ได้สำคัญตรงที่เราได้พรรคเพื่อไทยขึ้นมาเป็นรัฐบาลแต่อย่างใด เพราะพรรคเพื่อไทยประกอบไปด้วยนักการเมืองฝ่ายทุนบวกกับโจรทางการเมืองด้วย
และถ้าเราพิจารณาตัวนโยบายของรัฐบาล โดยไม่พิจารณาที่มาที่ไปของรัฐบาลนี้ หรือความหลังของพรรคต่างๆ เราสามารถฟันธงได้ว่านโยบายพรรคเพื่อไทยจะไม่ต่างและไม่ดีกว่าพรรคประชาธิปัตย์ในรูปธรรมมากนัก และทั้งสองพรรคก็เลวพอๆ กันในเรื่องกฏหมาย 112 การขังลืมนักโทษทางการเมือง การไม่ปฏิรูประบบยุติธรรม การไม่ลดอำนาจกองทัพ และการไม่นำฆาตกรที่สั่งฆ่าเสื้อแดงมาขึ้นศาล และคงเลวพอๆ กันในเรื่องการต่อต้านการสร้างรัฐสวัสดิการผ่านการเก็บภาษีก้าวหน้าจากคนรวย หรือการแก้ปัญหาสงครามกลางเมืองในภาคใต้ผ่านการให้สิทธิคนในพื้นที่ที่จะกำหนดอนาคตของตนเองโดยไม่ต้องคำนึงถังแนวคิดชาตินิยมสุดขั้วของรัฐไทยอีกด้วย
สรุปแล้วในการเลือกตั้งข้างหน้าเราไม่ควรไปเลือกพรรคเพื่อไทย เราควรกาช่องไม่เลือกใคร แต่ที่สำคัญกว่าหลายร้อยเท่า เราต้องเน้นการเคลื่อนไหวของขบวนการต่างๆ เป็นหลัก เช่นสหภาพแรงงาน การรณรงค์ต่อต้านกฏหมายเผด็จการ 112 การรณรงค์ให้ปล่อยนักโทษการเมืองและนำฆาตกรมาขึ้นศาล และการต่อสู้เพื่อรัฐสวัสดิการ และแน่นนอนถ้าเราจะทำสิ่งเหล่านี้ด้วยประสิทธิภาพ เราต้องมีองค์กรหรือพรรคการเมืองสังคมนิยมของเราเอง ที่อิสระจากพรรคเพื่อไทยและแกนนำ นปช.
ประชาธิปไตยและสิทธิที่จะลงคะแนนเสียงเป็นสิ่งสำคัญ แต่มันสำคัญตรงที่มันช่วยสร้างพื้นที่ในการเคลื่อนไหว และเปิดโอกาสให้เราสร้างพรรคทางเลือกได้ แต่ในสหรัฐกับไทย พรรคทางเลือกที่แท้จริงยังไม่เกิด
ฟังชัดๆ ... ป้ายุ
ปวศ ต้องจารึก นักข่าวไล่นายกฯ
“ยุวดี”นักข่าวอาวุโสทำเนียบวิจารณ์ “ประยุทธ์”ไม่เหมาะเป็นนายกฯ อคติ –อาฆาต เผด็จการกว่ายุค 14 ตุลา เตือนระวัง“พัง”พร้อมเสนอ ปฎิรูปกองทัพก่อนปฎิรูปประเทศ
.
นางยุวดี ธัญญศิริ นักข่าวอาวุโส หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ประจำทำเนียบรัฐบาล ให้สัมภาษณ์ “Thaivoicemedia.com” กรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่พอใจเกี่ยวกับการซักถามและการทำข่าว ที่ทำเนียบรัฐบาลว่า โดยส่วนตัวไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองอะไร กับ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะตลอดเวลาการทำงานข่าวมา 40 ปี จะให้เกียรติกับแหล่งข่าวเสมอ ไม่ว่า นายกรัฐมนตรี จะมาจากการเลือกตั้ง หรือ มาจากการรัฐประหาร ซึ่ง นักข่าวทุกคน จะต้องศึกษา ประวัติความเป็นมา ลักษณะอุปนิสัยของนายกรัฐมนตรีแต่ละคนอยู่แล้ว จะถามอย่างไร ถึงจะได้คำตอบ หรือได้ข่าว ถามแนวไหน แบบไหนถึงจะได้ประเด็นข่าว เพื่อให้ความกระจ่างชัดในประเด็นที่ถามได้
.
นางยุวดีกล่าวว่า กรณีของ พล.อ.ประยุทธ์ นั้น คิดว่า ยังไม่เข้าใจการทำหน้าที่ของนักข่าวดีพอ นักข่าวไม่ได้มีหน้าที่เสนอข่าวด้านรัฐบาลเพียงอย่างเดียว ต้องมีแง่มุมอื่น หรือความคิดเห็นอื่น ๆ ที่จะต้องนำเสนอให้รอบด้านครบถ้วน ไม่ใช่หลับหูหลับตาฟัง โดยไม่ตั้งคำถาม หรือถามอะไรที่ไร้สาละ หน่อมแน่ม ไม่ใช่
“อย่างเรื่อง คดีนักท่องเที่ยวอังกฤษถูกฆ่าที่เกาะเต่า คุณประยุทธ์ก็หาว่าพวกเราเดินตามตูดฝรั่ง ที่กล่าวหาว่า การสอบสวนของตำรวจไทยหลงทาง เราก็ถามไปตามหน้าที่ นายกฯก็ชี้แจงมาสิว่า หลงทางหรือไม่ หลงทาง เอาข้อเท็จจริงมาพูดกัน ไม่ใช่มาต่อว่า ว่าตามตูดฝรั่ง ซึ่งผู้นำที่ดี เขาไม่พูดอย่างนี้ มาด่าพวกเราว่า ไม่รักชาติบ้านเมือง นักข่าวก็เป็นคนไทย รักบ้านเมืองด้วยเหมือนกัน ไม่ใช่มีแต่คุณประยุทธ์ คนเดียวเสียเมื่อไหร่ ที่รักบ้านรักเมืองมากกว่าคนอื่น พูดอย่างนี้ไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำ” นางยุวดีกล่าว
.
นักข่าวอาวุโสประจำทำเนียบรัฐบาล ยังกล่าวด้วยว่า การแถลงข่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ แต่ละครั้ง แทนที่จะเอาข้อเท็จจริงที่นักข่าวสงสัยมาอธิบาย หรือมาชี้แจง กลับมาสอน มาอบรมนักข่าว บางทีพูดอบรมข่มขู่นักข่าว เป็นชั่วโมง แล้วมาต่อว่าอีกว่า ปล่อยให้พูดเป็นชั่วโมง ซึ่งก็แนะนำไปว่า ให้พูดข้อเท็จจริง กระชับ สั้น ๆ ก็พอ เพราะมีหลายเรื่องหลายประเด็น แต่กลับมาตำหนิอีกว่า ให้พูดสั้น ๆ แล้วไม่รู้เรื่อง ปัญหาบ้านเมืองจึงไม่จบ นี่ไม่ใช่วิสัยของผู้นำที่มีพฤติกรรมแบบนี้
“จะบอกว่าเมื่อลงข่าวไปแล้ว เกิดความเสียหายขึ้น ใครรับผิดชอบ นักข่าวและต้นสังกัดของนักข่าวฉบับนั้น ๆ เขารับผิดชอบของเขาอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วงเขาหรอก ห่วงตัวเองให้รอดก่อนดีกว่าเถอะ” นางยุวดีกล่าว
.
นางยุวดีกล่าว คนที่เป็นนายกรัฐมนตรี จะต้องมีจิตใจที่เมตตา มีความยุติธรรม เป็นกลาง แต่รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ ดูเหมือนจะดำเนินนโยบาย ของกลุ่ม กปปส.มาปฎิบัติเป็นส่วนใหญ่ และกลุ่มบุคคลที่อยู่ฝั่ง กปปส.ทำอะไรก็ไม่ผิด แต่ถ้าเป็นฝ่าย นปช.พรรคเพื่อไทย คอยคิดที่จะจองล้างจองผญาญไม่จบ ไม่สิ้น
“คณะกรรมการ หรือ สมาชิก สนช. หรือ สปช.อะไรทั้งหลายทั้งปวงที่ตั้งกันขึ้นมาก็เห็นตั้งเฉพาะพวกเดียวกันเข้ามาทั้งนั้น ขณะที่ ฝ่ายตรงกันข้ามอย่าง พวกเสื้อแดง พวก นปช. ก็เอาเขาไปขังไว้เป็นปี ๆ ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีที่มาจากการทำรัฐประหาร เมื่อเข้ามาแล้วจะต้องนิรโทษกรรมให้กับฝ่ายต่าง ๆ ทั้งหมด เพื่อให้ บ้านเมืองมันเกิดความสว่าง ไม่ต้องมาขัดข้องหมองใจ ให้อภัยกันไปเสียบ้าง ยุคเผด็จการสมัยก่อน เมื่อยึดอำนาจมาแล้วสิ่งที่นายกรัฐมนตรีจะต้องทำคือ 1. จะต้องนิรโทษกรรมนักโทษทางการเมือง หากคนไหนไม่มีคดีอาญาก็ต้องปล่อยไป ไม่ใช่ขังเขาไว้เป็นเวลา 2-3ปีแบบนี้ เราเคยถามว่าทำไมไม่ทำ รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ยังมีหน้ามาบอกว่า ไม่เห็นมีนักโทษทางการเมือง ถ้าคิดอย่างนี้ ก็เลิกพูดกัน แล้วไอ้ที่ขังเขาอยู่นั่นนะ มันเป็น หมา เป็น แมว หรือไงวะ จะอาฆาตกันไปถึงไหน แค่มีความเห็นต่างทางการเมืองกันก็เท่านั้น จะเอาเป็นเอาตายกันเลยหรือ คนไทยด้วยกันทั้งนั้น” นางยุวดีกล่าว
.
นางยุวดีกล่าวต่อไปว่า สมัย 14 ตุลา เมื่อ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี ยังเสนอให้มีการนิรโทษกรรมให้นักศึกษาที่หนีเข้าป่า ให้กลับออกมาด้วยซ้ำ เพราะเห็นว่า ประเทศชาติจะขาดปัญญาชนไม่ได้ เพราะยุคนั้นปัญญาชนที่มีความรู้ ความสามารถ เข้าป่ากันไปเป็นจำนวนมากทีเดียว อีกอย่าง พ่อแม่ ครอบครัวเขาที่อยู่ข้างหลัง จะได้รู้สึกสบายใจ บรรยากาศทางการเมืองที่เคยคับแค้นใจกัน หรือมีแต่ความมืดก็จะสว่างขึ้น แต่ ตรงกันข้ามกับเผด็จการสมัยนี้ ที่มี นายกรัฐมนตรี ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พยายามสร้างแต่พระเดช แต่ไม่ได้สร้างพระคุณ ดังนั้นเมื่อพูดอะไรไป ก็ไม่มีใครฟัง ไม่มีใครเชื่อ ไม่มีใครศรัทธา
.
“เวลาที่คุณประยุทธ์ต่อว่า หรือดุด่าอย่างมีอารมณ์กับเรานั้นนะ เรารู้สึกสงสารเขานะ คือคนที่เข้ามานั่งในระดับสูงสุดของประเทศแบบนี้ ถ้าไม่รู้จักปรับตัว ใครพูดอะไรก็ไม่ฟัง เคยชินกับการสั่งแต่คนอื่นตลอดเวลาแบบนี้ รับรองว่า พัง นายกฯคนนี้ทำอะไรไม่ฉลาด ต้องรู้จักผ่อนหนัก ผ่อนเบาบ้าง อย่าลืมว่า นายกรัฐมนตรีนั้นมีหน้าที่ดูแลแก้ปัญหาให้กับประชาชน ต้องเข้าใจประชาชน ไม่ใช่ให้ประชาชนมาเข้าใจตัวเอง เราว่า เผด็จการในอดีตสมัย จอมพลถนอม จอมพลประภาส ไม่มีปัญหากับนักข่าวเหมือนคุณประยุทธ์ ผู้นำเผด็จการเมื่อก่อนยังพร้อมที่จะรับฟัง ทำข่าวง่ายกว่ายุคนี้เยอะ” นักข่าวอาวุโส ประจำทำเนียบรัฐบาลกล่าว
.
ผู้สื่อข่าวถามว่า คิดอย่างไรกับการที่ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังจะปฎิรูปประเทศซึ่งรวมถึงการปฎิรูปสื่อด้วย นางยุวดีกล่าวว่า คณะกรรมการปฎิรูปทั้ง 11 ด้าน กลับไปปฎิรูปตัวเองก่อนดีกว่า สื่อมวลชนจำเป็นต้องปฎิรูปและปรับตัวอยู่แล้ว ไม่งั้นจะอยู่ไม่ได้ และกลุ่มบุคคลที่จะเข้ามาทำหน้าที่ปฎิรูปก็พวกเดียวกันทั้งนั้น คิดไปในทำนองเดียวกัน เป็นทหารเสียมากกว่าครึ่งด้วยซ้ำ อย่างนี้แล้วมันจะปฎิรูปสำเร็จได้อย่างไร
.
“กองทัพเองต่างหากละ ที่จะต้องเร่งปฎิรูปก่อนใครเพื่อน คิดดู นายพล ในกองทัพไทย มีจำนวนเป็นพันแล้วตอนนี้ ทำไมตั้งกันเยอะแยะ เดินกร่างเต็มไปหมด จะเหยียบกันตายอยู่แล้ว ขนาดนายกสมาคมกีฬา สมาคมมวยสมัครเล่น อะไรต่อมิอะไร ก็เป็นนายพลทั้งนั้น มันอะไรกัน และเมื่อเข้ามารับตำแหน่งด้านการบริหารต่าง ๆ โอกาสที่จะเกิดการทุจริต โดยการเรียกเปอร์เซ็นต์จากโครงการนั้น โครงการนี้ก็มีเหมือนกัน เรื่องนี้ จะไม่ให้ตรวจสอบ ไม่ให้ตั้งคำถามไม่ได้” นางยุวดีกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ พูดขอความเห็นใจว่าไม่อยากที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง บังคับให้ทหารต้องออกมารับผิดชอบ นางยุวดีกล่าวว่า พูดแบบนี้ เขาเรียกว่า พูดแบบปากกับใจไม่ตรงกัน ก็คอยดูกันต่อไปแล้วกัน
.
ผู้สื่อข่าวถามว่า คิดว่า รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จะอยู่เพียง 1 ปี จริงหรือไม่ นางยุวดีกล่าวว่า ก็คงจะตะแบงไปเรื่อย หากรัฐธรรมนูญร่างไม่เสร็จ ก็ยืดไปเรื่อย เปิดทางไว้แล้ว ไม่แน่อาจจะเลือกตั้งในปี 2559 ก็ได้
เราทุกคนรักบ้านเมืองกันทั้งนั้นแหละ อะไรที่ไม่ถูกไม่ต้องก็ต้องวิพากษ์วิจารณ์กัน
ไป ผู้บริหารประเทศก็ต้องรับฟัง จะเชื่อไม่เชื่อ จะทำไม่ได้ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ไม่ใช่มองคนอื่นที่วิพากษ์วิจารณ์เป็นศัตรูไปเสียหมด” นางยุวดีกล่าว. http://goo.gl/651Bh0
https://www.facebook.com/sopon.pornchokchai/posts/10204303325719043:0
ประโยชน์ของน้ำอัดลมกับงานบ้าน จะนำมาใช้ทำอะไรได้บ้าง รับรองเลยว่า เมื่อคุณรู้ประโยชน์ของน้ำอัดลมกับงานบ้านเหล่านี้แล้วจะต้องอึ้ง !
น้ำอัดลมมีกรดอะไรต่อมิอะไรอีกมากที่ให้ความหวานและความสดชื่นกับร่างกายของเราได้ทันที แต่รู้ไหมว่าน้ำอัด ลมแสนอร่อยที่หลายคนชอบกินนั้น แท้จริงสามารถนำมาใช้ทำงานบ้านได้ชนิดที่ต้องยกนิ้วให้เลย แถมประสิทธิภาพคับแน่นไม่แพ้น้ำยาทำความสะอาดแพง ๆ ด้วย ไม่เชื่อก็ลองมาดูประโยชน์ของน้ำอัดลมกับงานบ้านตามนี้กันจ้า
1. ทำความสะอาดโถส้วม
โถส้วมอันไหนมีคราบเหลืองหรือคราบสกปรกฝังแน่น ลองเทน้ำอัดลมลงไปในโถส้วม ทิ้งไว้สัก 1 ชั่วโมง แล้วใช้แปรงขัดทำความสะอาดตามปกติได้เลย แค่นี้คุณก็ได้พิสูจน์แล้วว่า น้ำอัดลมขจัดคราบสกปรกได้เก่งแค่ไหน
2. ซักผ้าได้สะอาดพร้อมหอมฟุ้ง
น้ำอัดลมเปื้อนเสื้อผ้าก็เป็นเรื่องที่ควรหนักใจ แต่ใครเลยจะรู้ว่า เมื่อน้ำอัดลมมาผสมกับน้ำยาซักผ้าแล้ว กรดคาร์บอนิกกับกรดฟอสฟอริกในน้ำอัดลมจะแปรสภาพเป็นน้ำยาขจัดคราบชั้นยอด พร้อมคืนความหอมสะอาดให้ผ้าได้หมดจดจริง ๆ
3. เช็ดกระจกใสปิ๊ง
ในน้ำอัดลมก็แอบมีกรดซิตริกที่เป็นตระกูลเดียวกับกรดซิตริกในน้ำผลไม้ (ที่มักจะเป็นส่วนผสมในน้ำยาเช็ดกระจก) เหมือนกัน ดังนั้นก็หมายความว่า เราสามารถใช้น้ำอัดลมเช็ดกระจกให้ใสปิ๊งแทนน้ำยาเช็ดกระจกตามท้องตลาดได้เลย
4. กำจัดมด
หลายคนเริ่มงงว่าน้ำอัดลมจะไล่มดได้ยังไง ก็ในเมื่อมดเป็นแฟนคลับตัวยงของน้ำอัดลมเหมือนเรา ๆ เหมือนกันนี่นา แต่จริง ๆ แล้วกรดต่าง ๆ ในน้ำอัดลมจะช่วยทำร้ายร่างกายมดและแมลงให้ตายได้ เรียกได้ว่าเป็นความหอมหวานที่แฝงไปด้วยอันตรายสำหรับเจ้ามดตัวจิ๋ว ๆ เลยล่ะ ส่วนวิธีก็ง่าย ๆ แค่คุณเทน้ำอัดลมใส่กระบอกสเปรย์ จากนั้นก็ฉีดไปที่รังของมดหรือตัวมดโดยตรง มดเจอละอองโซดาเข้าไปก็จอดทุกราย
5. ขัดหม้อและกระทะให้เหมือนใหม่
หม้อหรือกระทะที่ก้นดำปิ๊ดปี๋ สามารถทำความสะอาดได้ง่าย ๆ โดยเทน้ำอัดลมเปิดใหม่ลงไปแช่สัก 5 นาที จากนั้นค่อยล้างหม้อตามปกติ คราบดำก็จะหลุดอย่างง่ายดาย
6. ขจัดคราบสนิม
สนิมที่เกาะอยู่ตามเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ สามารถแก้ปัญหาได้ง่าย ๆ ด้วยการจับไปแช่ในน้ำอัดลมประมาณ 1 ชั่วโมง ให้กรดฟอสฟอริกช่วยคลายคราบสนิมให้อ่อนแอลง คราวนี้ก็ล้างสนิมออกได้ง่าย ๆ แล้ว
7. ปราบศัตรูพืช
เกษตรกรชาวอินเดียใช้น้ำอัดลมพ่นกันแมลงและศัตรูพืชให้พืชผักมานานหลายปี โดยที่เขาอ้างว่า ปริมาณน้ำตาลที่สูงมากในน้ำอัดลมเป็นอาวุธร้ายที่คอยกำจัดศัตรูพืชให้เขาได้อย่างมีประสิทธิภาพเทียบเท่ายาฆ่าแมลงราคาแพงเชียวล่ะ
8. ล่อแมลงในสวน
หากตามสวนของคุณมีมดและแมลงอื่น ๆ กระจัดกระจาย กำจัดก็ลำบาก ไล่จับไปทิ้งก็คงไม่ไหว ให้เทน้ำอัดลมใส่แก้วแล้วตั้งตามจุดต่าง ๆ ที่มักจะมีแมลงเดินเพ่นพ่าน พอแมลงหลงกลมาตอมกับดักน้ำอัดลมของเราก็จับไปทิ้งทีละเป็นโขยงได้เลย
9. เพิ่มคุณค่าทางสารอาหารให้ปุ๋ยหมัก
สำหรับคนที่หมักปุ๋ยชีวภาพดูแลสวนและแปลงดอกไม้เอง ต่อไปนี้ลองเทน้ำอัดลมผสมลงไปในปุ๋ยหมักของคุณดูสิคะ น้ำตาลในน้ำอัดลมจะเข้าไปช่วยย่อยจุลินทรีย์ในปุ๋ยหมักให้มีคุณภาพดียิ่งขึ้น บำรุงต้นไม้ดอกไม้ให้สวยสดงดงามได้ง่าย ๆ
10. คืนความเงางามให้เหรียญ
เหรียญกี่บาทก็แล้วแต่ที่ดำและมีคราบสกปรกติดฝังแน่น แค่นำไปแช่น้ำอัดลมประมาณ 3 ชั่วโมงหรือนานกว่านั้น หยิบเหรียญขึ้นมาอีกทีก็จะพบกับเหรียญเงาวับเหมือนผลิตออกมาใหม่ ๆ
11. ล้างคราบสีติดเฟอร์นิเจอร์
คราบสีที่ติดอยู่กับเฟอร์นิเจอร์ทั้งหลาย สามารถเช็ดออกได้ด้วยการใช้ผ้าขนหนูจุ่มน้ำอัดลมพอชุ่ม แล้วค่อย ๆ เช็ดคราบสีที่ติดอยู่เบา ๆ จนออกหมดจด ตามด้วยผ้าขนหนูชุบน้ำสบู่เช็ดตามเพื่อล้างความเหนียวเหนอะของน้ำอัดลมอีกครั้ง
12. คลายลูกบิดและกลอนประตู
ถ้าเจอลูกบิดหรือกลอนประตูที่ขยับยากเหลือเกิน จัดการเทน้ำอัดลมใส่ลงไปในกลอนและลูกบิดเลยค่ะ แล้วรอประมาณ 5 นาที จึงค่อยล้างน้ำอัดลมด้วยน้ำสะอาด แค่นี้กลอนและลูกบิดประตูที่ไม่ขยับก็จะคลายตัวลง ใช้ได้คล่องเหมือนใหม่
13. ศัตรูของน้ำมัน
คราบน้ำมันที่กำจัดยากก็ต้องแพ้ให้น้ำอัดลมแบบหมดท่า โดยแค่เทน้ำอัดลมลงไปบริเวณที่มีคราบน้ำมันเลอะอยู่ ปล่อยทิ้งไว้สักระยะแล้วค่อยทำความสะอาดพื้นด้วยวิธีปกติ
14. ทำความสะอาดสระว่ายน้ำ
สระว่ายน้ำที่มีสนิมหรือตะกรันเกาะอยู่ตามพื้นสระ หลังจากสูบน้ำออกจากสระแล้วให้เทน้ำอัดลมลงไปประมาณ 2-3 ลิตร ทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง ให้กรดในน้ำอัดลมช่วยกำจัดคราบฝังแน่นตามพื้นสระว่ายน้ำ คราวนี้ก็จัดการล้างสระได้เลย
15. กำจัดคราบเลือด
คุณสมบัติโดดเด่นของน้ำอัดลมที่ลืมไม่ลงจริง ๆ ก็คงไม่พ้นประสิทธิภาพในการกำจัดคราบเลือดนั่นเองนะคะ โดยที่ไม่ว่าจะเป็นคราบเลือดบนพื้น บนเสื้อผ้า หรือบนโซฟา เจ้าน้ำอัดลมก็ทำความสะอาดคราบเลือดได้หมดจด
ผิดหวังโอบาม่า ผิดหวังยิ่งลักษณ์??
|
ภาพจาก www.bbc.co.uk |
เราไม่เคยหลงเชื่อว่าพรรคเดโมแครดของโอบาม่าเป็นพรรค “ซ้าย” ของคนจน หรือเป็นพรรคของขบวนการแรงงาน เพราะในสหรัฐอเมริกาสองพรรคการเมืองหลักเป็นพรรคของกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่อย่างชัดเจน มีการใช้เงินมหาศาลในการหาเสียง และมีการร่วมกันเสนอนโยบาย “โดยนายทุนเพื่อนายทุน” เช่น นโยบายลดภาษีให้คนรวย หรือนโยบายจักรวรรดินิยมที่ก้าวร้าวไปทั่ว
โดย ใจ อึ๊งภากรณ์
เราไม่น่าจะผิดหวังอะไรกับผลงานในรอบ 4 ปีที่แล้วของประธานาธิบดีโอบาม่า และไม่น่าจะผิดหวังอะไรกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ด้วย เพราะเราไม่ควรจะมีความหวังกับนักการเมืองฝ่ายนายทุนเหล่านี้ตั้งแต่แรก เราควรมั่นใจมานานแล้วว่าเขาจะหักหลังพวกเราแน่นอน
ในการเลือกตั้งที่สหรัฐ ทั้งๆ ที่ โอบาม่าชนะ แต่เราก็เห็นชัดว่าคนส่วนใหญ่ที่เคยตั้งความหวังกับโอบาม่า ผิดหวังจนคะแนนเสียงของโอบาม่าตกต่ำลง คือโอบาม่าได้คะแนนมากกว่ารอมนี้แค่ 2% เอง เทียบกับปี 2008 เขาได้มากกว่ามะเคน 7% และคนที่ลงคะแนนให้โอบาม่าลดจาก 70 ล้านเสียงเหลือแค่ 60 ล้าน เป็นเพราะอะไร?
สำหรับนักสังคมนิยม เราไม่เคยหลงเชื่อว่าพรรคเดโมแครดของโอบาม่าเป็นพรรค “ซ้าย” ของคนจน หรือเป็นพรรคของขบวนการแรงงาน เพราะในสหรัฐอเมริกาสองพรรคการเมืองหลักเป็นพรรคของกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่อย่างชัดเจน มีการใช้เงินมหาศาลในการหาเสียง และมีการร่วมกันเสนอนโยบาย “โดยนายทุนเพื่อนายทุน” เช่น นโยบายลดภาษีให้คนรวย หรือนโยบายจักรวรรดินิยมที่ก้าวร้าวไปทั่ว นอกจากนี้เราก็จะปฏิเสธด้วยว่ารัฐบาลพรรคเดโมแครดจะเป็นรัฐบาลที่ “แย่น้อยกว่า” รัฐบาลพรรคริพับลิแคนทั้งๆ ที่นักการเมืองพรรคริพับลิแคนมักใช้วาจาของพวกอนุรักษ์นิยมสุดขั้วก็ตาม ถ้าไม่เชื่อก็ต้องดูรูปธรรมของนโยบายทั้งสองพรรคเมื่อเป็นรัฐบาล
โอบาม่าชนะการเลือกตั้งในปี 2008 และเข้ามาเป็นประธานาธิบดีท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่ร้ายแรงที่สุดตั้งแต่ยุค 1930 แต่แทนที่โอบาม่าจะปฏิรูปโครงสร้างระบบทุนนิยมเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในลักษณะการปรองดองระหว่างทุนกับคนงานกรรมาชีพ อย่างที่ประธานาธิบดีรุสเวลท์เคยทำในยุค 1930 โดยการใช้รัฐสร้างงานและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของสหภาพแรงงาน โอบาม่ากลับเลือกข้างนายทุนฝ่ายเดียว และให้คนทำงานธรรมดาต้องแบกภาระจากวิกฤตที่ตนเองไม่ได้สร้าง
นโยบายเศรษฐกิจของโอบาม่าเป็นการต่อยอดนโยบายของรัฐบาลบุชที่มาก่อนหน้านั้น โดยเฉพาะในเรื่องการปล่อยให้ธนาคารดำเนินกิจการและกอบโกยอย่างเสรี อันนี้เป็นการเลือกของโอบาม่า ไม่ใช่ว่าถูกบังคับแต่อย่างใด
หลังจากที่กระตุ้นเศราฐกิจเล็กน้อย โอบาม่าหันมาใช้ลัทธิเสรีนิยมกลไกตลาดตามเคย ซึ่งเน้นการตัดสวัสดิการและแปรรูปภาครัฐให้เป็นเอกชน
เราเข้าใจได้ดีว่าทำไมโอบาม่าเลือกข้างนายทุน ซึ่งไม่ต่างจากพรรคริพับลิแคนเพราะในหนังสือของโอบาม่าที่ออกมาในปี 2007 เขาเล่าว่าตอนที่เขาเป็นวุฒิสมาชิกในสภา เขาเริ่มคลุกคลีกับพวกนายทุนและคนรวยที่สุด 1% ของประเทศจนตัวเขาเองเริ่มเคารพและคิดเหมือนพวกนั้น
เมื่อเราพิจารณาความเดือดร้อนของคนงานสหรัฐ โดยเฉพาะคนงานประกอบรถยนต์ที่เป็นสมาชิกสหภาพ United Auto Workers (UAW) ซึ่งกำลังตกงานจากวิกฤตที่เริ่มในระบบธนาคาร เราจะเห็นว่าหัวหน้าทีมงานของประธานาธิบดีโอบาม่าเคยพูดในทำเนียบขาวว่า “สหภาพนี้ไปตายห่าก็ได้” (“Fuck the UAW”) ซึ่งผลของนโยบายดังกล่าวบวกกับความขี้ขลาดของผู้นำแรงงานระดับชาติ แปลว่าคนงานสหรัฐต้องแบกภาระการตกงานและการถูกตัดเงินเดือน เพื่อให้มีการฟื้นฟูกำไรสำหรับกลุ่มทุน ต่อมาท่าทีของนายกเทศมนตรีเมืองชิคาโก ซึ่งเป็นนักการเมืองพรรคเดโมแครดก็ไม่ต่าง เพราะพยายามแข็งข้อกับครูทั่วเมืองที่นัดหยุดงานในปีนี้ เพื่อเรียกร้องให้มีการพัฒนาสภาพโรงเรียนและสภาพการจ้างงาน
โดยรวมแล้วในสหรัฐตอนนี้มีตำแหน่งงานน้อยกว่าก่อนวิกฤตระเบิดขึ้นในปี 2007 ถึง 4.2 ล้านตำแหน่ง ปัจจุบันครึ่งหนึ่งของคนทำงานในสหรัฐ(75 ล้านคน) อยู่ในสภาพยากจนมีรายได้ไม่พอ คือต่ำกว่า $26,000 และถ้าเรารวมรายได้ทั้งหมดของคนงานทุกคนทั่วประเทศที่กินเงินเดือนเท่ากับหรือต่ำกว่า $50,000 มันยังน้อยกว่ารายได้ทั้งหมดของคนรวยที่สุด 1%
ในแง่ของการมีประธานาธิบดีผิวดำคนแรกในประวัติศาสตร์สหรัฐ คนทำงานผิวดำไม่ได้ประโยชน์เลย เพราะระดับการตกงานของคนผิวดำเพิ่มขึ้น 11% ในยุคโอบาม่า และความแตกต่างระหว่างรายได้เฉลี่ยของคนผิวขาวกับคนผิวดำก็เพิ่มขึ้นอีกด้วย คือตอนนี้ 22 เท่า
แม้แต่ในเรื่องระบบประกันสุขภาพ ซึ่งระบบสหรัฐแย่กว่าของไทยอีก เพราะพลเมืองจำนวนมากไม่มีการประกันเลย โอบาม่าก็ขี้ขลาดลังเลใจ และในที่สุดก็สนับสนุนกฏหมายประกันสุขภาพที่ไม่ต่างจากระบบที่ มิต รอมนี้ คู่แข่งพรรคริพับลิแคนนำมาใช้ก่อนหน้านั้นในรัฐแมแซชูเซทส์ คือยังแย่กว่าของไทยหรือของรัฐสวัสดิการในยุโรป
ในเรื่องนโยบายต่างประเทศ หลายคนเคยหวังว่ารัฐบาลโอบาม่าจะเปลี่ยนจุดยืน จากความก้าวร้าวเบ่งอำนาจของรัฐบาลบุช หลายคนคิดว่าโอบาม่าจะพยายามปรึกษาหารือกับประเทศอื่นๆ ก่อนที่จะทำอะไร แต่ที่ไหนได้ ในคำปราศัยหลังชัยชนะครั้งที่สอง โอบาม่าพูดว่าเขาภูมิใจในการที่สหรัฐอเมริกามีกองทัพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
โอบาม่าเป็นผู้นำร่องในการเข้นฆ่าพลเรือนในตะวันออกกลางและในปากีสถาน ด้วยเครื่องบินไร้นักบิน(Drone) เป็นผู้นำร่องในการตามฆ่าบินลาเดน เป็นผู้ที่สนับสนุนการใช้อำนาจทหารในลิบเบียเพื่อแทรกแซง “ไฮแจก” การปฏิวัติ
เป็นผู้ที่เพิ่มกำลังทหารในเอเชียเพื่อค้านจีน และโอบาม่าก็สนับสนุนหมารับใช้ของสหรัฐในตะวันออกกลางอย่างเต็มที่ คือเป็นเพื่อนที่ดีของอิสราเอลในการที่อิสราเอลกดขี่ปราบปรามชาวปาเลสไตน์
นอกจากนี้โอบาม่าผิดสัญญาว่าจะปิดคุกทหารกวานทานาโมเบย์ ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง และผิดสัญญาว่าจะยุติสงครามในอัฟกานิสถาน แต่เราไม่ควรแปลกใจเลย เพราะในอดีต รัฐบาลพรรคเดโมแครดกับพรรคริพับลิแคนมีนโยบายจักรวรรดินิยมพอๆ กัน อย่าลืมว่าประธานาธิบดีเคเนดีและจอห์นสัน จากพรรคเดโมแครด เป็นผู้ที่เพิ่มจำนวนทหารและการทิ้งระเบิดมหาศาลในสงครามเวียดนาม
ถ้าพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างพรรคเดโมแครดกับสหภาพแรงงาน เราต้องเข้าใจว่าตั้งแต่ยุค 1930 พรรคคอมมิวนิสต์สหรัฐ ซึ่งมีอิทธิพลในหมู่นักเคลื่อนไหวแรงงานยุคนั้น ใช้นโยบายสร้าง “แนวร่วมข้ามชนชั้น” กับพรรคนายทุนอย่างเดโมแครด และมีบทบาทสำคัญในการห้ามไม่ให้เกิด “พรรคแรงงาน” อย่างแท้จริง อย่างที่เราเห็นในยุโรป เช่นพรรคสังคมนิยมปฏิรูปทั้งหลาย และต่อมาในสมัยสงครามเย็น รัฐอเมริกาใช้ “การล่าแม่มด” ในการปราบคอมมิวนิสต์อย่างหนักจนพรรคไม่เหลือซาก ในขณะเดียวกันยุคนั้นเป็นยุคที่เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวและฐานะของคนงานดีขึ้นชั่วคราว ผลในระยะยาวคือในการเลือกตั้งที่สหรัฐไม่มีพรรคทางเลือกเลย มีแต่พรรคนายทุนทีม A กับพรรคนายทุนทีม B แต่พวกผู้นำแรงงานน้ำเน่าก็ได้แต่เกาะพรรคเดโมแครดต่อไป
ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้ ฝ่ายที่ได้เสียงมากที่สุดคือฝ่ายที่ไม่เลือกใคร คาดว่าประชาชนสหรัฐที่มีสิทธิ์เลือกตั้งแต่ไม่ไปใช้สิทธิ์มีประมาณ 48% ของประชาชนทั้งหมด ซึ่งมากกว่าคนที่ลงคะแนนเสียงให้โอบาม่าหรือรอมนี้และปีนี้คนที่ไปใช้สิทธิ์ลดลงจากปี 2008 ประมาณ 10%
ดังนั้นเราสรุปได้ไหมว่าการเมืองในระบบเลือกตั้งของสหรัฐไม่มีความหมายสำหรับคนทำงานธรรมดา? ในแง่หนึ่งเราพูดได้ แต่ในอีกแง่ก็ไม่ถูก
ชัยชนะของโอบาม่าในการเลือกตั้งครั้งแรกเมื่อ 4 ปีก่อน มีความสำคัญที่ผู้ลงคะแนนเสียงให้โอบาม่า เพราะมันสะท้อนว่าคนสหรัฐจำนวนมากต้องการการเปลี่ยนแปลง และมันสะท้อนว่าคนสหรัฐจำนวนมากไม่เหยียดสีผิวของโอบาม่าด้วยแน่นอนคนที่ไปเลือกโอบาม่ารอบแรกจำนวนมากผิดหวังไปแล้ว แต่ก็ยังมีคนที่มองว่าการมีโอบาม่าเป็นประธานาธิบดีจะดีกว่าการมีคนอย่างรอมนี้และพรรคพวก
เหตุผลที่คนเหล่านี้จะใช้คือ ฝ่ายรอมนี้ประกอบไปด้วยนักการเมืองยุคไดโนเสาร์ที่คลั่งศาสนา ดูถูกสิทธิสตรี และปฏิเสธปัญหา “โลกร้อน” ซึ่งเป็นความจริง แต่ในภาพรวมมันเป็นการมองข้ามนโยบายรูปธรรมของฝ่ายเดโมแครดเมื่อเป็นรัฐบาล และเป็นการให้ความสำคัญกับการเลือกตั้งในระบบรัฐสภาสหรัฐมากไป
อย่างไรก็ตามนักสังคมนิยมต้องเข้าใจคนที่ลงคะแนนให้โอบาม่า และพยายามแลกเปลี่ยนกับคนเหล่านี้ให้ทำกิจกรรมร่วมกันในรูปธรรม เช่นการสู้ผ่านสหภาพแรงงาน อย่างที่เกิดขึ้นกับการนัดหยุดงานของครูทั่วเมืองชิคาโกซึ่งได้รับชัยชนะหรือการรณรงค์ยึดพื้นที่กลางเมืองของขบวนการ Occupy และขบวนการเคลื่อนไหวอื่นๆ เช่นการต้านโลกร้อน หรือการต้านจักรวรรดินิยม เป็นต้น เพราะขบวนการเหล่านี้จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมสหรัฐได้มากกว่าการไปเลือกตั้ง ทั้งๆ ที่มันอาจเป็นการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยเท่านั้น แต่มันก็เป็นก้าวแรกที่สำคัญ
ในอดีตการเปลี่ยนแปลงของสังคมสหรัฐมาจากการต่อสู้นอกรัฐสภาทั้งนั้น เช่นการลุกฮือนัดหยุดงานในยุค 1930 การเรียกร้องสิทธิของคนผิวดำ สตรี และเกย์ทอมดี้ การต่อต้านสงครามเวียดนาม หรือแม้แต่การเผาเมืองท่ามกลางการก่อจลาจล เป็นต้น
การเลือกตั้งในสหรัฐอาจไม่มีความหมายในตัวมันเอง และถ้าเราเป็นนักสังคมนิยมในสหรัฐ เราจะไม่เสียเวลาหรือสร้างความหวังเท็จด้วยการไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งหรือหาเสียงให้โอบาม่า แต่มันเป็นโอกาสที่จะพบประชาชนธรรมดาที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลง ส่วนพวกที่นั่งอยู่บ้านและไม่ไปใช้เสียงก็น่าเห็นใจ แต่คนเหล่านั้นมีแนวโน้มจะไม่มีกำลังใจพอที่จะเคลื่อนไหวนอกระบบรัฐสภาเลย เขาจึงไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของนักเคลื่อนไหว
เวลาเราพิจารณาการเลือกตั้งที่สหรัฐ เราควรคิดกลับมาที่ไทย การเลือกตั้งในเดือนกรกฏาคมปี ๒๕๕๔ สำคัญที่เราสามารถแสดงให้สังคมเห็นว่าคนส่วนใหญ่ไม่เอาทหารและไม่เอาพรรคประชาธิปัตย์ คือเราต่อต้านรัฐประหารและการฆ่าประชาชน แต่มันไม่ได้สำคัญตรงที่เราได้พรรคเพื่อไทยขึ้นมาเป็นรัฐบาลแต่อย่างใด เพราะพรรคเพื่อไทยประกอบไปด้วยนักการเมืองฝ่ายทุนบวกกับโจรทางการเมืองด้วย
และถ้าเราพิจารณาตัวนโยบายของรัฐบาล โดยไม่พิจารณาที่มาที่ไปของรัฐบาลนี้ หรือความหลังของพรรคต่างๆ เราสามารถฟันธงได้ว่านโยบายพรรคเพื่อไทยจะไม่ต่างและไม่ดีกว่าพรรคประชาธิปัตย์ในรูปธรรมมากนัก และทั้งสองพรรคก็เลวพอๆ กันในเรื่องกฏหมาย 112 การขังลืมนักโทษทางการเมือง การไม่ปฏิรูประบบยุติธรรม การไม่ลดอำนาจกองทัพ และการไม่นำฆาตกรที่สั่งฆ่าเสื้อแดงมาขึ้นศาล และคงเลวพอๆ กันในเรื่องการต่อต้านการสร้างรัฐสวัสดิการผ่านการเก็บภาษีก้าวหน้าจากคนรวย หรือการแก้ปัญหาสงครามกลางเมืองในภาคใต้ผ่านการให้สิทธิคนในพื้นที่ที่จะกำหนดอนาคตของตนเองโดยไม่ต้องคำนึงถังแนวคิดชาตินิยมสุดขั้วของรัฐไทยอีกด้วย
สรุปแล้วในการเลือกตั้งข้างหน้าเราไม่ควรไปเลือกพรรคเพื่อไทย เราควรกาช่องไม่เลือกใคร แต่ที่สำคัญกว่าหลายร้อยเท่า เราต้องเน้นการเคลื่อนไหวของขบวนการต่างๆ เป็นหลัก เช่นสหภาพแรงงาน การรณรงค์ต่อต้านกฏหมายเผด็จการ 112 การรณรงค์ให้ปล่อยนักโทษการเมืองและนำฆาตกรมาขึ้นศาล และการต่อสู้เพื่อรัฐสวัสดิการ และแน่นนอนถ้าเราจะทำสิ่งเหล่านี้ด้วยประสิทธิภาพ เราต้องมีองค์กรหรือพรรคการเมืองสังคมนิยมของเราเอง ที่อิสระจากพรรคเพื่อไทยและแกนนำ นปช.
ประชาธิปไตยและสิทธิที่จะลงคะแนนเสียงเป็นสิ่งสำคัญ แต่มันสำคัญตรงที่มันช่วยสร้างพื้นที่ในการเคลื่อนไหว และเปิดโอกาสให้เราสร้างพรรคทางเลือกได้ แต่ในสหรัฐกับไทย พรรคทางเลือกที่แท้จริงยังไม่เกิด