สื่ออังกฤษตีข่าว 3 แรงงานพม่า เพื่อนผู้ต้องสงสัย “คดีฆ่าโหดเกาะเต่า” ถูก ตร.ไทย “ซ้อม-เอาน้ำร้อนราด”
|
เอเจนซีส์ - สื่ออังกฤษแฉ แรงงานชาวพม่า 3 ใน 6 คน ที่เป็นเพื่อนกับสองผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ 2 คน ที่เกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งต้องโทษประหารชีวิต หากศาลตัดสินว่าพวกเขามีความผิดจริง ได้เปิดเผยวานนี้ (4 ต.ค.) ว่าพวกเขาถูกตำรวจจับไปทรมานเมื่อ 7 วันก่อน
ขณะที่วานนี้ (4) เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังเตรียมทำแผนประกอบคำรับสารภาพในคดีฆาตกรรม ฮานนาห์ วิทเธอริดจ์ วัย 23 ปี และเดวิด มิลเลอร์ วัย 24 ปี ซึ่งฝ่ายหญิงถูกข่มขืนก่อนสังหาร ชุมชนแรงงานพม่าบบนเกาะเต่าได้ทำหนังสือฉบับหนึ่งซึ่งระบุว่า เพื่อน 3 คนของผู้ต้องสงสัย เวพิว (วิน) และซอลิน (โซเรน) ถูกตำรวจซ้อมและใช้น้ำร้อนราด
ชุมชนแรงงานชาวพม่าบนเกาะแห่งนี้ ระบุว่า เมื่อคืนวันเสาร์ที่แล้ว (27 ก.ย.) ตำรวจได้นำกำลังเข้าจับกุมชายชาวพม่า 9 คน ขณะที่พวกเขากำลังเล่นตะกร้อ และย้ำว่า เวพิว และ ซอลิน ซึ่งอาจถูกประหารชีวิตด้วยการฉีดยาเข้าเส้นเลือดเป็นผู้บริสุทธิ์
คำให้การของทั้งสามตรงกับคำแถลงของ อองจอ ประธานสมาคมแรงงานข้ามชาติชาวพม่าในไทย ซึ่งระบุว่า “เราไม่เชื่อว่าผู้ต้องสงสัยเป็นคนทำ” และเขาได้เรียกร้องให้องค์กรอิสระได้เข้ามาสืบสวนคดีนี้เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของเจ้าหน้าที่
ก่อนหน้านั้น มีชาวพม่าผู้ไม่เปิดเผยนามได้ทำหนังสือถึงสถานเอกอัครราชทูตอังกฤษและพม่าประจำกรุงเทพมหานคร ซึ่ง มาร์ก เคนท์ เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย และทางสถานทูตอังกฤษได้เห็นแล้ว ทั้งนี้ หนังสือพร้อมภาพถ่ายฉบับดังกล่าวได้รับการเผยแพร่ให้รับรู้ในหมู่คนเพียงไม่กี่คน
แรงงานชาวพม่าบนเกาะเต่าหวาดกลัวกันอย่างมาก ว่า พวกเขาอาจถูกแก้แค้น ตำรวจยังไม่ได้ระบุชื่อเต็มของ 2 ผู้ต้องสงสัยที่ถูกควบคุมตัว แม้ว่าพวกเขาจะเปิดให้สื่อทั่วประเทศเผยแพร่ภาพของชายทั้งสองแล้วก็ตาม
คำแถลง ซึ่งแหล่งข่าวรายหนึ่งจากสถานเอกอัครราชทูตได้อ่านมีใจความดังนี้
“เมื่อเวลา 19.00 น. ของวันที่ 27 กันยายน แรงงานชาวพม่าจากรัฐยะไข่ 9 คน ซึ่งอยู่อาศัยและทำงานบนเกาะเต่าเป็นประจำ (โดยไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นแรงงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย) ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกลุ่มหนึ่งสกัดจับขณะกำลังเล่นตะกร้อกันอย่างสงบ”
“แรงงาน 6 ใน 9 คนพยายามหนีแล้ว แต่ถูกตำรวจจับได้ ส่วนอีกสามคนสามารถหลบหนีการจับกุมไปได้”
“แรงงานข้ามชาติ 3 ใน 6 คนที่ถุกจับไป ถูกซ้อมและใช้น้ำร้อนราดเพื่อบีบคั้นให้พวกเขาเผยข้อมูลเกี่ยวกับเพื่อนอีก 3 คนที่หลบหนีไป จากนั้นทั้งหมดก็ถูกปล่อยตัว”
|
|
“เอ (นามสมมติ) ซึ่งเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งในชุมชนแรงงานพม่าจากรัฐยะไข่ ได้รับทราบเรื่องที่มีแรงงาน 3 คนได้รับบาดเจ็บจากการถูกซ้อมและใช้น้ำร้อนราด พร้อมทั้งได้ส่งภาพถ่ายสภาพร่างกายของพวกเขาไปยังสถานเอกอัครราชทูตพม่า”
“ทันทีที่เขาแจ้งเรื่องนี้ให้สถานเอกอัครราชทูตทราบ ทางสถานเอกอัครราชทูตก็ติดต่อไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อสอบถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้น และตำรวจตอบว่า พวกเขาไม่ทราบว่าแรงงานพม่ากลุ่มใดถูกซ้อม และใครเป็นคนซ้อมพวกเขา และพวกเรารับปากว่าจะสอบสวนกรณีที่เกิดขึ้น”
“(เอ) ระบุว่า ตำรวจได้บอกชาวพม่า 3 คนที่ถูกทำร้ายร่างกายว่า เรื่องจะยิ่งบานปลาย หากสถานเอกอัครราชทูตพม่าเข้ามามีส่วนในคดีนี้ นอกจากนี้ พวกเขายังไม่มีหลักฐานที่แน่นหนาพอ จึงไม่ต้องการรายงานคดีนี้ให้สถานเอกอัครราชทูตทราบ”
“จากนั้น (เอ) ก็ได้พบกับแรงงานชาวยะไข่ทั้ง 3 ที่สามารถหลบหนีการจับกุมมาได้ในตอนแรก และเนื่องจากเห็นว่าพวกเขาไม่มีเอกสารที่แสดงว่า พวกเขาเป็นแรงงานถูกกฎหมาย ทั้งยังไม่มีหนังสือเดินทาง และนายจ้าง จึงได้แนะนำให้พวกเขาหนีออกจากเกาะเต่าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ พร้อมกับกำชับกับทั้งสามอีกว่า ตำรวจกำลังตามล่าตัวพวกเขา 1 ในแรงงาน 3 คนจึงรีบเดินทางออกจากเกาะเป็นการด่วนเนื่องจากพวกเขาไม่มีเอกสาร”
“จนเมื่อวันสองวันนี้ที่มีสื่อประโคมข่าวว่าพวกเขาถูกจับ คนทั้งชุมชนก็เริ่มโทรศัพท์มาบอกเราว่า มีชายชาวยะไข่ 3 คนถูกตำรวจจับ โดย 2 คนถูกจับได้ในป่า และอีกคนหนึ่งทีสุราษฎร์ธานี และทั้งสามถูกกล่าวหาว่า ฆ่าคนตาย ชุมชนแรงงานข้ามชาติผิดหวังมาก และพวกเขาเชื่อกันว่า มีการจัดฉากให้พวกเขากลายเป็นฆาตกร”
แรงงานชาวพม่าคนหนึ่งซึ่งให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ระบุว่า “ชาวพม่าส่วนใหญ่ที่ยังไม่ยอมออกไปจากเกาะ แม้ว่าพวกเขาจะกลัวเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เพราะพวกเขารู้ดีว่าดีเอ็นเอของพวกเขาจะไม่ตรงกับ (ดีเอ็นเอที่พบในร่างผู้เสียชีวิต) แต่ในช่วง 7 วันที่ผ่านมาเราก็เริ่มหวาดกลัว เพราะเหมือนเจ้าหน้าที่ตำรวจจะยังจับใครไม่ได้”
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจบอกว่าพวกเขาดีใจที่จับตัวคนที่ฆ่าและข่มขืนนักท่องเที่ยวได้ และพวกเขามีดีเอ็นเอและภาพจากกล้องวงจรปิดที่เป็นหลักฐาน รวมถึงโทรศัพท์มือถือของฮานนาห์ ที่พบว่า ถูกทุบทำลายอยู่ใกล้ที่พักของแรงงาน (ซึ่งต่อมาเพื่อนของฮานนาห์ที่เดินทางกลับประเทศไปแล้วเผยว่าเป็นคนมอบให้ตำรวจไทยเอง จากนั้นตำรวจออกมาแก้ข่าวว่าเป็นของเดวิด) นอกจากนี้ ตำรวจยังระบุว่า มีพยานซึ่งอาจจะไม่ได้หมายถึงพยานผู้เห็นเหตุฆาตกรรม แต่อาจเป็นพยานในลักษณะใดก็ได้ นับตั้งแต่พยานที่บอกว่า พบเห็นพวกเขาเข้าเซเว่นอีเลฟเว่น และวิ่งไปมาบนท้องถนน
ทั้งนี้ แอนดรูว์ ดรัมมอนด์ ซึ่งเป็นผู้รายงานข่าวนี้ คือนักข่าวต่างประเทศจาก “ลอนดอน อีฟนิง สแตนดาร์ด” และนำเสนอรายข่าวคดีนี้ให้แก่ ไอทีนิวส์, บีบีซี รีเจียนนัลส์, ลอนดอน บรอดคาสติง, เดลี เอ็กซ์เพรส, ซัน เดลีเมล, มีร์เรอร์, กูดมอร์นิง สกอตแลนด์
|
ฮานนาห์ วิทเธอริดจ์ และเดวิด มิลเลอร์ |
|
|
ชาวเน็ตท้วง! "เกาะเต่า"ไม่จับแพะจริงหรือ? เพจดังงัดหลักฐานอื้อค้านสายตา !!
คดีฆาตกรรมนักท่องเที่ยวบริเวณเกาะเต่า ยังเป็นข้อกังขาค้านสายตาชาวเน็ต เพจชื่อดังงัดหลักฐานตั้งข้อสังเกตุเพียบ กลัวจับแพะเงียบ คนผิดลอยนวล !??
วันนี้ (3 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ชุดคลี่คลายคดี จับกุมนายซอ และนายวิน สองแรงงานชาวเมืองยะไข่ ประเทศพม่า ผู้ต้องหาร่วมกันฆ่าข่มขืน 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ บริเวณหาดทรายรี เกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี ก่อนนำตัวทั้งคู่ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพตามจุดต่างๆ โดยทาง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผบ.ตร. และพล.ต.ท.ปัญญา มาเม่น ผบช.ภ.8 ยืนยันให้มั่นใจว่าไม่มีการจับผิดตัวแน่นอน เนื่องจากหลักฐานต่างในการก่อเหตุชัดเจน
ทั้งนี้ บางขั้นบางตอนในการจับกุมได้สร้างความเคลือบแคลงใจให้กับชาวโลกออนไลน์ ที่มีการแชร์และติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับคดีนี้มาอย่างต่อเนื่อง เช่น ในแฟนเพจชื่อดังในเฟซบุ๊กที่มีชื่อว่า "CSI LA" ออกมาเปิดเผยข้อมูล ภาพหลักฐานในคดี และการตั้งสมมติฐานต่างๆ ซึ่งมีทั้งความคิดเห็นที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับเจ้าหน้าที่ และการตั้งสมติฐานที่ขัดแย้งกับข่าวที่ออกมา
นอกจากนี้ ทางเพจดังกล่าว ยังนำภาพถ่ายจากกล้องวงจรปิดของร้านที่จับภาพผู้ต้องสงสัยไว้ได้และนำมาเปรียบเทียบกับร้านอาหารร้านอื่นที่ในละแวกเดียวกัน จนพบว่าเวลาคลาดเคลื่อนช้าไปประมาณ 1 ชั่วโมง โดยมีการสันนิษฐานว่าอาจมีการปรับเปลี่ยนเวลาของกล้องวงจรปิด
รวมทั้งเรื่องทิศทางความชัดเจนในประเด็นข้อสงสัยต่างๆที่ ยังไม่ปรากฏแก่สายตาชาวโลกออนไลน์ ในเรื่องคราบเลือดบนกางเกง ดีเอ็นเอในก้นบุหรี่ รวมทั้งเรื่องบุคคลที่อยู่คลิปที่จุดเด่นของผู้ต้องสงสัยอยู่ที่จอนข้างหู รูปทรงของจมูก ความกว้างของไหล่ ที่แตกต่างกับตัวผู้ต้องสงสัยที่จับมาอย่างเห็นได้ชัด
พร้อมกับตั้งคำถามว่า เหตุใดนายจ้างแรงงานพม่าทั้ง 2 จึงไม่นำแรงงานมาตรวจดีเอ็นเอตั้งแต่แรก แม้จะระบุว่าเป็นแรงงานเถื่อนเกรงจะถูกดำเนินคดี แต่คดีนี้เป็นคดีใหญ่ และสำคัญมากในระดับประเทศ ผลเสียหายในการถูกดำเนินคดีน่าจะใหญ่กว่าเรื่องแรงงานเถื่อน
ทั้งนี้ ยังมีการตั้งคำถามเรื่องสีผมของผู้ต้องหา ที่มีการบอกว่าก่อนเกิดเหตุได้ย้อมผมเป็นสีทอง และย้อมกลับเป็นสีดำเมื่อก่อเหตุฆาตกรรมดังกล่าว แต่ภาพจากกล้องวงจรปิด กลับไม่พบว่า 1 ใน 3 ผู้ต้องหามีผมเป็นสีทอง ซึ่งนอกจากข้อสังเกตุต่างๆที่กล่าวมาแล้วนั้น ยังมีประเด็นน่าสนใจหลายเรื่อง อาทิ เรื่องอาวุธที่ใช้สังหารนักท่องเที่ยวชาย เนื่องจากบาดแผลของผู้ตายมีลักษณะเปิด ราวกับถูกของมีคม และ มีบาดแผลบางแห่ง เช่นบริเวณใบหน้า และบริเวณไหล่ ที่มีลักษณะคล้ายถูกแทงด้วยวัตถุ
เรื่องที่ชาวเน็ตให้ความสนใจเป็นอย่างมาก คื่อ เรื่องถุงยางอนามัยซึ่งตกอยู่ในที่เกิดเหตุ แต่กลับไม่มีการเสนอข่าวหรือกล่าวถึงในเรื่องนี้ ว่ามีการตรวจดีเอ็นเอในถุงยางหรือไม่ และเรื่องการหายไปอย่างปริศนาของภาพในกล้องวงจรปิด ซึ่งมีการสังเกตเห็นภาพเงาของคนเดินนำหน้าชายที่เดินถอดเสื้อในกล้อง
อย่างไรก็ตาม ทางเพจดังกล่าวยังมีการตั้งสมมติฐานมากมายเกี่ยวกับรูปคดีพร้อมมีภาพหลักฐานประกอบ ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่ในเพจต่างเห็นตรงกันว่า บทสรุปของคดีสังหารปริศนานี้ ค้านสายตาและสร้างข้อกังขาให้กับความรู้สึกของประชาชนอย่างเห็นได้ชัด
บอกว่า สามคนทีหลัง ไม่ได้ตรวจดีเอ็นเอแต่แรก.....แล้วหลักฐานนี้คืออะไรครับสงสารแพะเถอะครับ
เขาก็ไปยืนต่อแถวตรวจ DNA ตั้งแต่วันแรกแล้วนะ ทำไมตำรวจบอก 3 คนหลังที่เพิ่งจับได้นี้ไม่เคยตรวจ DNA มาก่อน
.
ความผิดปกติคือ
.....ตอนแรกทั้งตำรวจและผู้ใหญ่บ้านเกาะเต่าต่างก็บอกว่าตรวจหมดทุกคนแล้ว ทั้งชาวไทยและต่างด้าว ผลตรวจ DNA ไม่ตรงกับคราบอสุจิในตัวผู้ตายและที่ก้นบุหรี่
.....วันที่ 2 ต.ค.ที่ผ่านมา ตำรวจแถลงรวบ 3 แรงงานชาวพม่าที่อยู่ในกล้องวงจรปิด สอบสวนจนได้ความว่า มีแค่ 2 คนที่เป็นผู้ลงมือ อีก 1 คนที่เข้าไปซื้อบุหรี่ไม่เกี่ยวเพราะได้กลับไปก่อน ตำรวจจึงเก็บตัวอย่าง DNA ของทั้ง 3 คน ส่งไปตรวจที่สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ (สพฐ.ตร.)
.....วันที่ 3 ต.ค. ผลตรวจ DNA 3 ผู้ต้องสงสัยแรงงานชาวพม่า ปรากฏ DNA ของ 2 คนตรงกับอสุจิที่พบในช่องคลอด-ทวารหนักเหยื่อสาว จึงนำตัวไปทำแผน พอนักข่าวถามว่า 2 คนนี้เคยเก็บตัวอย่าง DNA มาก่อนไหม ตำรวจตอบว่า 2 คนนี้ยังไม่มีการเก็บ DNA เพราะเค้าอาจจะอยู่ไกลจากพื้นที่ที่เกิดเหตุ
.
แล้วที่เห็นจากในภาพข่าวนี่คืออะไร?
เอางี้
จับได้ ก็หาว่าแพะ คุณก็พิสูจน์สิครับว่าแพะ ตำรวจที่ทำงานแบบนี้ไม่ควรเอาไว้
แต่เขายืนยันว่า ดีเอ็นเอ ตรงกับของผู้ร้าย ผมก็ต้องเชื่อว่าไม่ใช่แพะ
คุณมีหลักฐานว่า ดีเอ็นเอ ไม่ตรงหรือป่าว ผมจะได้เชื่อคุณ ว่าจับแพะ
ถ้าไม่มี รับผิดชอบอะไรบ้าง ให้กำลังใจคนทำงานด้วย
หม่อมอุ๋ย กระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ถึงอาทิตย์ หุ้นไทย ร่วงแรง!! ปิดตลาดเช้าติดลบ 22.05 จุด
คราวที่แล้ว อุ๋ย 100 จุด
คราวนี้จะโค่นตำแหน่งไหมน้อ
เผื่อใครไม่รู้ที่มา ของฉายานี้
หม่อมอุ๋ย ร้อยจุด
ตลาดหุ้นช็อกตกเกิน 100 จุด ต่างชาติหนีเทขายหมดเกือบแสน ล.
โดย เดลินิวส์ วัน พุธ ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2549 08:49 น.
“หม่อมอุ๋ย” กลับลำกลางอากาศ ยกเลิกมาตรการแบงก์ชาติ ตั้งสำรอง 30% สำหรับต่างชาติลงทุนตลาดหุ้นไทย ส่วนนักลงทุนผ่านตราสารหนี้-พันธบัตรยังคง ยาขม ไว้เหมือนเดิมป้องกันเก็งกำไร หลังปิดตลาดตอนเย็น หุ้นดิ่งพสุธากว่า 100 จุด มูลค่าซื้อขายกว่า 7.2 หมื่นล้านบาท เหตุต่างชาติกระหน่ำขายไม่ยั้ง ทำ ตลท. ร้อนผ่าว ต้องประกาศหยุดซื้อขายชั่วคราวครั้ง แรกในประวัติศาสตร์ ผู้ส่งออกเฮ ยกแบงก์ชาติเป็นฮีโร่ช่วยชีวิต เผย ก่อนได้ข้อสรุป รมว.คลัง ระดมสมองผู้เชี่ยวชาญด้วยตัวเองนาน 2 ชม. ปลอบ อย่าตกใจ หุ้นมีขึ้นมีลง ยอมรับเป็นบทเรียนครั้งสำคัญ ธปท.เปิดฮอตไลน์สายด่วนไขข้อข้องใจ
ข่าวลือสะพัด “พยายามยึดอำนาจปธน.คิม จองอึน” หลังเปียงยางถูกปิดตาย
เกิดข่าวลือว่า คิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ อาจล้มป่วย เนื่องจากเขาขาดประชุมสำคัญของประเทศทั้งที่ไม่เคยขาดมาก่อน และไม่ปรากฏตัวต่อสื่อหลายวันแล้ว...
สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า เกิดข่าวือว่า คิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดแห่งประเทศเกาหลีเหนือ อาจมีปัญหาสุขภาพ หลังสถานีโทรทัศน์ของเกาหลีเหนือ เผยแพร่ภาพเก้าอี้ที่ว่างเปล่าของเขาในที่ประชุม 'สภาประชาชนสูงสุด' (Supreme People's Assembly: เอสพีเอ) หรือรัฐสภาเกาหลีเหนือ เมื่อวันพฤหัสบดี (25 ก.ย.)
นี่ถือเป็นครั้งแรกที่คิม จอง อึน ขาดประชุมเอสพีเอ นับตั้งแต่เขาเข้ารับตำแหน่งผู้นำเมื่อ 3 ปีก่อน และปรากฏตัวในสื่อเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อครั้งไปชมการแสดงคอนเสิร์ตกับภริยาในเดือนนี้ ทำให้เกิดความสงสัยว่าเขาอาจมีปัญหาสุขภาพ เพราะดูอ้วน และเดินกะเผลกขณะร่วมงานอีเวนท์กับเจ้าหน้าที่สำคัญเมื่อเดินก.ค.
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์หลายคนระบุว่า การขาดประชุมเอสพีเอ ไม่ได้หมายความว่านายคิมจะป่วย เพราะผู้นำรุ่นก่อนอย่างคิม จอง อิล ก็ไม่ได้เข้าประชุมทุกครั้ง
ทั้งนี้ สภาประชาชนสูงสุด เป็นหน่วยงานบริหารระดับสูงที่สุดของประเทศ ปกติจะจัดประชุมปีละ 1-2 ครั้ง มีอำนาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ, แต่งตั้งโยกย้ายเจ้าหน้าที่สำคัญ และอนุมัติงบประมาณประเทศ
ในการประชุมครั้งล่าสุด ได้มีการปลดนาย โช รยอง แฮ ผู้ที่ถูกมองว่าเป็นมีขวาของ คิม จอง อึน ออกจากตำแหน่ง รองประธานคณะกรรมการกลาโหมแห่งชาติ (เอ็นดีซี) ซึ่งนายคิมเป็นประธาน และแต่งตั้งนาย ฮวาง พยอง โซ เข้ารับตำแหน่งแทน โดยเขาเป็นสมาชิกกลุ่มอิทธิพลที่มีอำนาจมากในยุคปี 1970 ภายใต้การนำของ คิม จอง อิล
|
|
เอเจนซีส์ – สื่อสองฝั่งมหาสมุทร เช่น เทเลกราฟ อินเตอร์แนชันแนลบิสซิเนสไทม์ส และซีเอ็นเอ็น รายงานถึงข่าวการหายตัวของประธานาธิบดีเกาหลีเหนือ คิม จองอึน ที่ไม่ปรากฎตัวต่อสาธารณร่วมเดือน และล่าสุดมีการห้ามไม่ให้เดินทางเข้าไปภายในกรุงเปียงยาง ส่งผลให้มีการชี้ว่า อาจมีความพยายามยึดอำนาจขึ้นในดินแดนคอมมิวนิสต์แห่งนี้
หนังสือพิมพ์เทเลกราฟ สื่ออังกฤษ และอินเตอร์แนชันแนลบิสซิเนสไทม์ส รายงานเมื่อวานนี้(3)ว่า สื่อออนไลน์ New Focus International รายงานโดยอ้างอิงจากแหล่งข่าวในเกาหลีเหนือว่า ตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน เป็นต้นมา มีการประกาศไม่ให้เดินทางเข้าไปยังกรุงเปียงยาง ทั้งๆที่ในอดีตเจ้าหน้าที่เกาหลีเหนือได้จำกัดการท่องเที่ยวภายในเมืองหลวงของประเทศ แต่การประกาศล่าสุดยิ่งเป็นเสมือนการปิดตายกรุงเปียงยาง ศูนย์กลางอำนวจทางการเมืองเกาหลีเหนือ
การประกาศห้ามล่าสุดจากเกาหลีเหนือชี้ว่า อาจมีความพยายามยึดอำนาจเกิดขึ้น หรือเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจเกาหลีเหนือกำลังวางแผนบางประการเกี่ยวกับอำนาจการปกครองประเทศ” ศาสตราจารย์ โทชิมิตซึ ชิเกมูระ( Toshimitsu Shigemura) จากมหาวิทยาลัยวาเซดะ (Waseda University)และเจ้าหน้าที่ด้านความสัมพันธ์เกาหลีเหนือให้ความเห็นกับสื่ออังกฤษ
“หากกองทัพเกาหลีเหนือหนุนการยึดอำนาจ สถานการณ์จะยิ่งเลวร้าย และผมได้ยินรายงานว่าผู้นำประเทศถูกนำตัวออกนอกกรุงเปียงยางแล้ว” ชิเกมูระกล่าวเพิ่มเติม และเสริมว่า “หรืออาจมีความเป็นไปได้ว่าจะมีเจ้าหน้าที่บางคนต้องการหลบหนี และทำให้ต้องปิดตายกรุงเปียงยางเพื่อป้องกันการหลบหนี”
การห้ามเข้าไปยังเมืองหลวงเกาหลีเหนือเกิดขึ้น 2 วันหลังจากที่เปิดสมัยการประชุมรัฐสภาตรายางเกาหลีเหนือซึ่งมีข่าวลือถึงการไม่ปรากฏตัวของคิม จองอึน
ทั้งนี้การไม่ปรากฏตัวเข้าร่วมประชุมส่งผลทำให้เกิดข่าวลือปัญหาด้านสุขภาพของผู้นำเผด็จการคนนี้ และชี้ว่าอาจเกิดเหตุการยึดอำนาจ หรือเหตุความไม่สงบเกิดขึ้นประกอบกับการหายตัวของคิม จองอึนตั้งแต่วันที่ 4 กันยายนเป็นต้นมา ส่งผลให้ข่าวลือแพร่ออกไปในโลกโซเชียลมีเดียจีน และน้องสาวของผู้นำสูงสุด คิม โย จอง( Kim Yo Jong ) นั่งบริหารประเทศชั่วคราวในระหว่างการรักษาตัวของคิม จองอึน ทั้งนี้ New Focus Internationalรายงานว่า ไม่สามารถยืนยันได้ว่า การห้ามเข้ากรุงเปียงยางเกิดจากปัญหาด้านสุขภาพของผู้นำเกาหลีเหนือจริง
อย่างไรก็ตามรัฐบาลเกาหลีเหนือที่ผ่านมาได้ออกแถลงการณ์สยบข่าวลือการหายตัวของคิม จองอึน โดยอ้างว่า ประธานาธิบดีคิม จองอึน บาดเจ็บที่หัวเข่าทั้ง 2 ข้างจากภารกิจเยี่ยมโรงงานและหน่วยงานกองทัพก่อนหน้าไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
และมีอีกกระแสชี้ว่า อาจเกิดการกำจัดบุคคลระดับสำคัญขึ้นอีกระลอกในกรุงเปียงยาง ซึ่งถึงแม้จะรุนแรงน้อยกว่าการบุกจู่โจมเข้าจับกุม และประหารอาเขย จาง ซองแต๊ก และสมุนในเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ KCNA สื่อรัฐบาลเกาหลีเหนือรายงานว่าโช รอง-แฮ( Choe Ryong-hae) รองประธานความมั่นคงแห่งชาติเกาหลีเหนือ หรือ National Defence Commission และ จาง จอง-นาม (Jang Jong-nam) เจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วยงานเดียวกันอีกคนถูกย้านไปทำหน้าที่อื่น
และประเทศเพื่อนบ้านเกาหลีเหนือต่างจับตาวันที่ 10 ตุลาคม ที่จะถึงนี้เนื่องจากเป็นวันครบรอบการก่อตั้งพรรคแรงงานเกาหลีเหนือ ทำให้เป็นที่จับตาว่า คิม จองอึนจะปรากฏตัวร่วมงานใหญ่ครั้งนี้หรือไม่
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
นายวรชัย เหมะ อดีต ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย แกนนำ นปช. กล่าวว่า กรณีที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กำลังบัญญัติอำนาจถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทั้งที่ไม่มีเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญชั่วคราว ถือเป็นการลุอำนาจอย่างยิ่ง สนช.บางคนจุดยืนแจ่มชัดมาตลอดว่าเป็นคู่ขัดแย้งกับฝ่ายประชาธิปไตย จ้องไล่ล้างพรรคเพื่อไทยที่มาจากการเลือกตั้ง วันนี้พวกคุณมีที่มาอย่างไรทุกคนทราบดี ไม่รู้สมคบคิดกับใครหรือไม่
พวกมาจากการแต่งตั้งจะมาถอดถอนคนที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นเรื่องตลกของประชาธิปไตย เราไม่ยอมแน่ เพราะเรามั่นใจว่าไม่ได้ทำอะไรผิด แก้รัฐธรรมนูญไปตามอำนาจหน้าที่ ถ้ามีการยื่นเรื่องถอดถอนเมื่อใด ได้คุยกันแล้วว่าพวกเราอดีต ส.ส. และอดีต ส.ว. 300 กว่าคน พร้อมทั้งประชาชนอีกมากมาย จะออกมา ต่อต้านคัดค้านอย่างแน่นอน แม้รู้ดีว่ายังมีกฎอัยการศึกอยู่ รู้ดีว่ารัฐบาลต้องการความสงบ
แต่เรื่องนี้เป็นเพราะองค์กรอิสระ และ สนช.บางคนจุดประเด็นขึ้นมาขยายความขัดแย้ง จึงมีความชอบธรรมที่จะออกมา
ประท้วงในฮ่องกง: จะออกหัวหรือออกก้อย?
คนที่จะตอบคำถามนั้นได้คงได้แก่นายสี จิ้นผิงประธานาธิบดีของจีน เรามีบทวิเคราะห์ของ แครี่ เกรซี่ บรรณาธิการข่าวจีน ของบีบีซี เพื่อหาแนวคำตอบ
จีนกำลังเผชิญกับหนึ่งในความท้าทายครั้งใหญ่หลวงที่สุดต่อการปกครองฮ่องกง อันมีชนวนเหตุมาจากที่ปักกิ่งกำหนดว่าผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้นำของเกาะแห่งนี้ จะต้องผ่านการคัดสรรจากคณะกรรมการที่สนับสนุนจีนเสียก่อน ส่งผลให้คนฮ่องกงจำนวนมากออกมาประณามว่า เป็นประชาธิปไตยจอมปลอม
- การประท้วงของนักศึกษาตอนนี้เป็นเรื่องที่บานปลายมาจากกรณีที่จีนไม่ยอมให้คนฮ่องกงมีสิทธิ์เต็มที่ที่จะเลือกผู้นำของตนเอง และท่าทีที่เห็นแสดงชัดว่า นายสี จิ้นผิงตัดสินใจแล้วว่ายอมไม่ได้
- ตั้งแต่ขึ้นมาครองอำนาจเมื่อสองปีก่อน สี จิ้นผิง รวบอำนาจมาอยู่ในมือจนไม่มีใครกล้าทาบรัศมี และเขาแสดงชัดแล้วว่าจะเป็นคนตัดสินใจเองในเรื่องคอขาดบาดตาย พวกที่โดนสี จิ้นผิง ปราบด้วยข้อหาคอรัปชั่นกำลังรอโอกาสก้าวพลาดของเขา เพราะฉะนั้นสี จิ้นผิงคงยอมผ่อนไม่ได้ในกรณีฮ่องกง
- จึงไม่มีรายงานข่าวการประท้วงในสื่อของจีนในแผ่นดินใหญ่
- คู่ปรับของปักกิ่งที่เป็นนักวิชาการในฮ่องกงโดนตัดหน้าไปหมดแล้ว แต่นักศึกษายังเป็นคู่ปรับที่น่าห่วงเพราะแน่วแน่กว่าคนอายุมาก
- จีนจึงหันไปพยายามดึงพลเมืองอื่นๆมาเป็นพวกด้วยการชี้ชวนให้เห็นว่าเด็กหัวรั้นทั้งหลายกำลังทำลายเศรษฐกิจ
- แต่ครั้นจะปราบนักศึกษาด้วยการรวบตัวมาขังก็คงลำบากเพราะตะรางของตำรวจซึ่งนัยว่ามีอยู่ราว 500 แห่งคงขังคนได้ไม่มาก ถ้าจำนวนนักศึกษาที่มาร่วมประท้วงไม่ตกการปราบก็อาจไม่หนัก แต่ถ้าจำนวนร่อยหรอลงถึงระดับหนึ่งก็อาจโดนแรง
- นักศึกษาชูเติ้ง เสี่ยวผิง ว่าเป็นต้นคิดเรื่องหนึ่งประเทศ สองระบบ ซึ่งรับประกันสิทธิเสรีภาพในฮ่องกงเป็นเวลา 50 ปี ตอนที่เติ้งคิดก็คงคาดว่าวิถีชีวิตในเมืองจีนจะปรับตัวใกล้ฮ่องกงหลังจาก 50 ปี แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าสี จิ้นผิงจะนำจีนไปอีกทางคือพรรคต้องคุมเข้ม และจะว่าไปแล้วถ้าเติ้งยังอยู่ก็คงไม่ออกมาเชียร์นักศึกษา
- การออกมาโทษต่างชาติว่ายุแยงตะแคงรั่วเพื่อบ่อนทำลายเศรษฐกิจฮ่องกงจึงเป็นลูกเล่นอย่างหนึ่งของทางการจีน แต่อเมริกากับอังกฤษก็พยายามไม่ออกมาต่อปากต่อคำเพราะมองไม่เห็นว่าตัวจะได้ประโยชน์อะไรจากการไปยุยงคนฮ่องกง ปัญหาของจีนคือไอเดียต่างชาติมากกว่ารัฐบาลต่างชาติ
- มีข่าวว่าสี จิ้นผิง เคยปรารภว่าการที่สหภาพโซเวียตล่มสลายเมื่อ 23 ปีที่แล้วเป็นเพราะไม่มีหน้าไหนกล้าลุกขึ้นมาปราบ จะเห็นว่าตั้งแต่ขึ้นมามีอำนาจเขาเชื่อในแนวความคิดที่ว่าต้องมีผู้นำที่เข้มแข็งถึงจะแก้ปัญหาในเมืองจีนได้
- วันที่ 1 ตุลาฯ เมื่อ 65 ปีที่แล้วประธานเหมาประกาศก้องว่า “ชาวจีนลุกขึ้นแล้ว” และประชาชนขานรับอย่างกึกก้อง แต่ตอนนี้แม้จีนจะรวยขึ้น มีอำนาจมากขึ้นในระดับโลก แต่ผู้นำจีนไม่มีอะไรที่จะดลใจคนให้มุ่งไปทางเดียวกันยกเว้นแนวชาตินิยมเกลียดต่างชาติ สี จิ้นผิง พยายามเสนอแนว “ไชน่า ดรีม” แต่จะดลใจคนได้จริงหรือ?
นักสิทธิฯกังวลจับผู้ต้องหาฆ่านักท่องเที่ยวอังกฤษไม่โปร่งใส
ผอ.มูลนิธิผสานวัฒนธรรมแสดงความกังวลจับผู้ต้องหาแรงงานเพื่อนบ้านคดีฆ่า 2 นักท่องเที่ยวอังกฤษไม่มีกระบวนการยุติธรรมที่โปร่งใสรองรับ หวั่นไล่จับแพะ เพราะได้รับข้อมูลว่ามีการไล่จับกุมตัวโดยไม่ได้ตั้งข้อกล่าวหา ไม่มีตัวแทนกฏหมายและล่าม และการสรุปผลดีเอ็นเอมีความน่าสงสัย มีการเลือกปฏิบัติ เตรียมจัดหาทีมกฏหมายทนายติดตามคดี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (3 ต.ค.) หลังจากมีการเปิดเผยข้อมูลจากฝ่ายตำรวจเกี่ยวกับคดีฆ่า 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษที่เกาะเต่าว่าผลการตรวจดีเอ็นเอแรงงานชาวเมียนมาร์ 3 คนที่เพิ่งจับกุมตัวได้ตรงกับหลักฐานจากเชื้ออสุจิที่ทิ้งไว้ในศพนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษที่เสียชีวิต พร้อมกับการแสดงหลักฐานอื่นประกอบ เช่นก้นบุหรี่ในที่เกิดเหตุนั้น
ล่าสุด น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรมเปิดเผยกับทีมข่าวไทยพีบีเอสออนไลน์ว่า ตนเองได้รับเรื่องร้องเรียนจากกรณีดังกล่าวว่า คดีนี้ตำรวจไล่จับแรงงานชาวเมียนมาร์บนเกาะเต่าอย่างต่อเนื่อง ส่วนที่เกี่ยวข้องกับบุคคลทั้ง 3 คนได้รับการเปิดเผยข้อมูลว่า เมื่อวันที่ 27 กันยายนที่ผ่านมา แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านจำนวน 9 คนกำลังจับกลุ่มเตะตะกร้อกันอยู่ เมื่อตำรวจแสดงตัวเข้าตรวจค้นจับกุม แรงงานจำนวน 3 คนที่ไม่มีบัตรประจำตัวและใบอนุญาตทำงานก็ได้รับคำแนะนำจากเพื่อนให้หลบหนี ทั้ง 3 คนจึงวิ่งหนี และถูกตำรวจเฝ้าติดตามก่อนจับกุมได้ กลายเป็นผู้ต้องหาคดีฆ่านักท่องเที่ยวชาวอังกฤษในขณะนี้
"เรื่องนี้เรามีข้อมูลมาก่อนหน้านี้ว่ามีการไล่ตรวจดีเอ็นเอแรงงานชาวเมียนมาร์อย่างต่อเนื่องจนทุกคนรู้สึกไม่ปลอดภัย เรื่องนี้ค่อนข้างน่ากังวลสำหรับคนทำงานด้านสิทธิมนุษยชน โดยมีข้อกังวลดังนี้ 1.การควบคุมตัวโดยไม่มีการตั้งข้อกล่าวหา 2.การเรียกตรวจดีเอ็นเอสอดคล้องกับกระบวนการยุติธรรมทางอาญาหรือไม่ 3.ในขณะที่มีการควบคุมตัว ผู้ต้องหามีล่ามเพื่อการสื่อสารหรือไม่ 4.ผู้ต้องหามีตัวแทนด้านกฏหมายหรือยัง 5.ผลการตรวจดีเอ็นเอรวดเร็วจนน่าสงสัย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ที่มีการตรวจดีเอ็นเอนักท่องเที่ยวต่างชาติยังรอผล 3-4 วัน เป็นการเลือกปฏิบัติหรือไม่"
ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรมกล่าวอีกว่า ตอนนี่ฝ่ายไทยกังวลกับกรณีนักท่องเที่ยวลดลงมากกว่าการสร้างกระบวนการยุติธรรมที่โปร่งใส ทั้งที่การควบคุมตัวบุคคลที่ต้องสงสัย หากไม่มีกระบวนการยุติธรรมที่โปร่งใสรองรับจะทำให้ไม่สามารถตอบคำถามกับตัวแทนผู้เสียหายได้ คดีดังกล่าวสถานทูตอังกฤษและตัวแทนด้านกฏหมายของผู้เสียหายติดตามคดีอย่างใกล้ชิดและกดดันอย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของไทย
พรเพชร”อ้างกลัวโจรขึ้นบ้าน ขอไม่โชว์รูปมรดก-เครื่องเพชรเมียต่อ ป.ป.ช.
“พรเพชร” แจ้งทรัพย์สินอื่นฯประเมินค่าไม่ได้ ระบุเป็นมรดกจากพ่อ มีคุณค่าทางจิตใจ ขอใช้สิทธิ์ไม่โชว์ต่อสาธารณะ เหตุกลัวมีความเสี่ยงเรื่องโจรภัย – ขายรถ 9 แสน รายได้ 8.8 ล้าน ทรัพย์สินทั้งหมด 48.5 ล้าน
นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แจ้งทรัพย์สินอื่น (ราคาตั้งแต่สองแสนบาทขึ้นไป) ในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน กรณีเข้ารับตำแหน่งว่า ประเมินค่าไม่ได้ เนื่องจากมีมูลค่าทางจิตใจ
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินนายพรเพชร ที่ยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรณีเข้ารับตำแหน่ง เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2557 แจ้งว่า มีทรัพย์สิน 48.5 ล้านบาท โดยระบุครอบครองทรัพย์สินอื่นฯ ประเมินราคาไม่ได้ ขณะที่ของนางอารยา มีมูลค่า 2 ล้านบาท
โดยนายพรเพชร ระบุว่า ครอบครอง งาช้าง พระเครื่อง พระบูชา ภาพวาด นาฬิกา แต่ประเมินราคาไม่ได้ เพราะเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าทางจิตใจ และส่วนใหญ่เป็นของประจำบ้านที่ได้รับการตกทอดมา ขณะที่ นางอารยา แจ้งว่า ครอบครองทองรูปพรรณ อัญมณี และเครื่องประดับอื่น ๆ มูลค่า 2 ล้านบาท
พร้อมทั้งแนบเอกสารหมายเหตุ ระบุว่า รายการทรัพย์สินอื่น ได้ถ่ายภาพส่งไว้ตั้งแต่การยื่นบัญชีทรัพย์สินครั้งแรก โดยยื่นภาพถ่ายครั้งสุดท้ายเมื่อเดือน ตุลาคม 2550 และรายการเพิ่มเติมในปี 2553 หลังจากนั้นได้ใช้สิทธิอ้างเอกสารภาพถ่ายเดิมในการยื่นบัญชีทรัพย์สินตลอดมา
“ในการยื่นบัญชีทรัพย์สินครั้งนี้ ซึ่งจะมีการเปิดเผยต่อสาธารณะ เนื่องจากทรัพย์สินของข้าพเจ้าเป็นสิ่งของที่ติดมากับบ้าน ที่บิดายกให้ เช่น พระพุทธรูป ภาพวาด ถือว่าเป็นสิ่งที่มีมูลค่าทางจิตใจ ส่วนทรัพย์สินที่เป็นอัญมณีของภรรยาข้าพเจ้า อาจมีความเสี่ยงเรื่องโจรภัย ดังนั้นจึงขอความกรุณาไม่เปิดเผยภาพถ่ายทรัพย์สินดังกล่าวต่อสาธารณะ” นายพรเพชร ระบุ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทรัพย์สินทั้ง 2 รายการ นายพรเพชร ระบุว่า ขอใช้ภาพถ่ายเดิมที่เคยยื่นไว้ในการยื่นแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินครั้งแรก และครั้งต่อมาเมื่อเดือนตุลาคม 2550 และปี 2553 โดยไม่ได้แนบภาพถ่ายประกอบมาแต่อย่างใด
ทั้งนี้ นายพรเพชร แจ้งว่า มีรายได้ทั้งหมด 8,864,985 บาท (ขายรถยนต์ในปี 2557 9 แสนบาท) มีรายจ่ายทั้งหมด 1.5 ล้านบาท มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 48,536,225 บาท ไม่มีหนี้สิน
http://isranews.org/investigative/investigate-asset/item/33347-pornpet_889_01.html#.VC5Mw3aF68I.faceb
ทุกข์ของคนรวย ..............
กลัวแจงที่มาที่ไปไม่ได้ซะมากกว่า
"คำทำนายที่เป็นจริง"
หรือ ศัพท์จิตวิทยาภาษาอังกฤษเรียกว่า "Self-Fulfilling Prophecy"
หมายถึง ปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาเกี่ยวกับคำทำนาย
หรือสิ่งที่เราเชื่อนั้นมีอิทธิพลต่อจิตใจเราอย่างมาก จนส่งผลให้ชีวิตเราเป็นไปอย่างที่เชื่อนั้น
ลองอ่านตัวอย่างต่อไปนี้ จะช่วยทำให้คุณเห็นภาพชัดขึ้น.. .
สมมติว่าคุณเชื่ออย่างแรงกล้าว่า หากคบกันแฟนมาครบ 7 ปี แล้วต้องเลิกกันแน่นอน(ตามความเชื่อเรื่อง "อาถรรพ์หมายเลข 7") จิตที่เชื่อในเรื่องนี้อย่างมากของคุณจะเกิดความกลัวและตระหนก เอาแต่คิดไปว่า ถึง 7 ปีแล้วนี่หนอ เลิกแน่เลยเรา ในที่สุดคุณก็จะมีพฤติกรรมที่ส่งผลให้เกิดการเลิกกันในปีที่ 7 เป็นความจริงขึ้นมา ดังนั้น การที่เราเชื่อจนจิตชักนำชีวิตไปลงเอยแบบที่เราเชื่อนั่นแหล่ะ คือ "Self-Fulfilling Prophecy" ถ้าให้อธิบายให้คนทั่วไปสามารถเข้าใจง่ายๆ ก็คือ "คิดมากจนทำตัวเองให้เป็นอย่างที่คิดจริงๆ"
การทดลองที่ใกล้เคียงที่สุดน่าจะเป็นของ Dr. Robert Rosenthal
นักจิตวิทยาชาวตะวันตกเคยทำการทดลองเกี่ยวกับทฤษฎีนี้มาหลายครั้งครับ โดยครั้งที่โด่งดังที่สุดก็คือ การนำนักเรียนที่มีระดับสติปัญญาปานกลางเหมือนกันมาแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม แล้วทำการทดลอง ดังนี้:
- กลุ่มแรก จะมีครูพูดย้ำเสมอว่า "พวกเธอเป็นเด็กฉลาดมากนะ ไอคิวอัจฉริยะทีเดียว ต่อไปภายภาคหน้าพวกเธอต้องมีอนาคตที่ดี" แล้วก็มีการสร้างสถานการณ์แวดล้อมให้เด็กๆ เชื่ออย่างสนิทใจว่าพวกเขาเก่งจริงๆ
- เด็กกลุ่มที่สอง ครูก็พูดย้ำเหมือนกันครับ แต่จะย้ำทำนองว่า "พวกเธอก็แค่เด็กสมองขี้เลื่อย เรียนไม่เคยรู้เรื่อง ครูสอนอะไรไปก็ลืม ครูเป็นห่วงอนาคตของพวกเธอจริงๆ"
- เด็กกลุ่มที่สาม เป็นกลุ่มควบคุม คือ ได้รับการปฎิบัติแบบปกติ ไม่มีอะไรแตกต่างจากเดิม
การทดลองดำเนินไป 1 ปีเต็ม จนในที่สุดก็สรุปการทดลองออกมาว่า เด็กกลุ่มแรกที่ได้รับคำบอกมาตลอดว่าเป็นเด็กเก่ง มีผลการเรียนดีขึ้นอย่างมาก ซ้ำยังตั้งใจเรียน ใฝ่หาความรู้สมดังคำนิยามของเด็กเรียนเก่งจริงๆ ส่วนเด็กกลุ่มที่ 2 มีพฤติกรรมตรงกันข้ามกับกลุ่มแรกเลยครับ ทั้งไม่สนใจเรียน ผลการเรียนต่ำลง บางรายก็เป็นเด็กนิสัยเสียไปเลย ส่วนกลุ่มที่ 3 เป็นแบบเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงชนิดที่ว่าเห็นได้ชัดเท่าสองกลุ่มแรก
มาลองคิดกันเล่นๆ นะครับว่า อะไรทำให้เด็กที่จริงๆ แล้วมีสติปัญญาพอๆ กัน กลับมีผลการเรียนแตกต่างกันขนาดนี้ ก็เพราะพวกเขาแต่ละคนเชื่อในสิ่งที่ครูบอกน่ะสิครับ
แสดงว่าสิ่งที่เขาเชื่อน่ะ มีผลโดยตรงต่อจิตใจของเขาเอง ที่ได้รับคำชมว่าเรียนเก่งก็เลยพลอยคิดว่าตัวเองเก่งจริง เด็กเลยเก่งขึ้น หนำซ้ำพฤติกรรมยังกลายเป็นเด็กขยันสมคำบอกอีกด้วย ส่วนพวกที่โดนแต่คำดุด่าหาว่าไม่ฉลาดก็เรียนไปพร้อมๆ กับความคิดว่าตัวเองนั้นมันมีไอคิวต่ำต้อย ด้อยปัญญา เรียนไปก็เท่านั้น จะเห็นได้ว่าความเชื่อที่เข้ามาอยู่ในสมองพวกเขานี่หล่ะครับที่ส่งผลให้เขาเป็นเช่นนั้น อย่างที่ฝรั่งเรียกกันว่า YOU ARE WHAT YOU THINK หรือแปลเป็นไทยคือ เราจะเป็นอย่างเช่นที่เราคิดไว้
อย่างกรณีอาถรรพ์หมายเลข 7 ที่ได้ยกตัวย่างไปในตอนต้นนั้น เหตุมันไม่ได้เกิดจากอาถรรพ์อะไรเลยครับ แต่เพราะเราเชื่อว่ามันจริง แล้วเราก็เริ่มที่จะกลัว พอเรากลัว เราก็จะเครียด วิตกกังวล หวาดระแวง ทีนี้ก็จะทำให้เราหงุดหงิดง่าย โกรธง่าย เมื่อแฟนทำอะไรไม่ถูกใจก็โกรธแรงกว่าปกติ เพราะจิตเรากำลังร้อนรนและคิดย้ำว่า นี่ไง อาถรรพ์หมายเลข 7 ส่อแววแล้ว ...ในตอนสุดท้าย สิ่งที่ไล่คนรักของเราไป ไม่ใช่ฤทธิ์เลข 7 หรอกครับ แต่เป็นเรื่องของจิตใจที่ดันไปเชื่อเรื่องราวใดๆ ที่ไม่เหมาะสมต่างหาก
รวมถึงการหลงเชื่อหมอดู หมอมด หมอผี แม้กระทั่งกรุปเลือดทายนิสัยอะไรเทือกนี้ ชีวิตบางคนอาจลงเหวก็เพราะงมงายมากเกินไปนี่แหล่ะ ขาดสติพิจารณา ไตร่ตรองว่าอันที่จริง "ชีวิตเราเป็นของเรา" ครับ ไม่ได้มีใครกำหนดหรือล่วงรู้ว่าเราจะต้องไปทางไหน เราทุกคนเป็นปัจเจกบุคคล มีความแตกต่างกัน ขนาดเกิดมาจากท้องแม่เดียวกันยังมีนิสัย ความคิด ความชอบ ที่ไม่เหมือนกันเลย เพราะฉะนั้นสุภาษิตโบราณที่ว่า 'ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน' ก็ยังเป็นสุภาษิตเตือนใจที่ยังใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย
สรุปแล้ว คำทำนายจะช่วยให้ชีวิตคุณลงตัวหรือลงเหวย่อมอยู่ที่คุณครับ ว่าคุณจะใส่ความเชื่ออะไรลงไปให้ตัวเอง หากคุณเลือกที่จะเชื่อเชิงบวกแบบบิล เกตส์, บารัก โอบามา, ฮิลลารี คลินตัน, มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก ฯลฯ ก็ย่อมดีต่อตัวคุณ แต่หากคุณเลือกเชื่อแบบจำกัดความสุขและความสำเร็จในชีวิต เช่น เชื่อว่าแข่งพายเรือแข่งได้ แข่งบุญแข่งวาสนาแข่งไม่ได้ แบบนี้ก็จบกัน ชีวิตไม่ได้ก้าวหน้าไปไหนพอดี
ต่อไปนี้ถ้าจะเลือกเชื่ออะไร ก็เลือกที่มันเชื่อแล้วดี เชื่อแล้วรุ่ง เชื่อแล้วรวย เชื่อแล้วสุข ดีกว่าครับ
ส่วน เชื่อแล้วเครียด เชื่อแล้วกลุ้ม เชื่อแล้วจน เชื่อแล้วหมกมุ่นงมงาย กรุณากลั่นกรองเลือกเอามาไว้แค่เพียงแนวคิดสำหรับเตือนใจไม่ให้ประมาท แต่อย่าได้นำมันมาครอบงำชีวิตคุณทั้งหมดเลยครับ
ป.ล. ถ้าหากเราต่อต้านคำทำนาย หรือทำตัวไม่เป็นดังที่เขาทำนายไว้ มีศัพท์เฉพาะอีกคำหนึ่ง เรียกว่า Self-defeating Prophecy ครับ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
Facebook Page นักจิตวิทยาให้คำปรึกษา
เด็กไม่เอาถ่าน คำนี้มีที่มาจากอะไร?
|
เด็กที่วันๆ เอาแต่เล่นเกมส์ออนไลน์ ไม่อ่านหนังสือเรียน การบ้านไม่ทำ งานบ้านก็ไม่เคยคิดจะหยิบจับช่วยเหลือพ่อแม่ ทานอาหารแล้วไม่รู้จักล้างจานชาม เหล่านี้ล้วนเป็นตัวอย่างพฤติกรรมของ "เด็กไม่เอาถ่าน"
ทำไมจึงเรียก "เด็กไม่เอาถ่าน" คาดกันว่าคำนี้มีที่มาจากคำเดิม คือ "เหล็กไม่เอาถ่าน" เพราะในสมัยก่อนนั้น การหลอมเหล็กหรือตีอาวุธจากเหล็กให้แข็งแกร่งนั้น จำเป็นต้องใช้ถ่านในการก่อเปลวไฟจนลุกโชน เพื่อให้ความร้อนแก่เหล็ก แล้วถ่านหรือคาร์บอนจะแทรกตัวเข้าไปอยู่ในเนื้อเหล็กหลังจากการถลุง ถ้าเหล็กไม่มีถ่านผสมอยู่เลย เหล็กนั้นจะมีคุณภาพต่ำ ไม่แข็งและเหนียวพอที่จะเรียกว่า เหล็กกล้า แต่หากมีมากเกินไปจะทำให้เหล็กเปราะ เหล็กที่ดีควรมีคาร์บอนเข้าไปผสมอยู่ประมาณ 0.1 - 1.8%
ช่างตีอาวุธจากเหล็กในสมัยโบราณ จำเป็นต้องคิดค้นหากลวิธี เพื่อขจัดปัญหาดาบหัก เพราะแสดงถึงกรรมวิธีการผลิตที่ไม่ดีทำให้เหล็กไม่เอาถ่าน จนกลายเป็นคำพูดติดปาก เปรียบเทียบนิสัยคนกับอาวุธว่า "เหล็กไม่เอาถ่าน"
ที่มา : หนังสือ ภาษาคาใจภาค 3 ถอดรหัสภาษาไทยที่ยัง 'ค้างคาใจ' เขียนโดย สังคีต จันทนะโ
ผู้ชายพายเรือแล้วเหตุใดผู้หญิงต้องยิงเรือ
ศุภกร เลิศอมรมีสุข
หลายๆ คนคงเคยได้ยินสำนวน “ผู้ชายพายเรือ” และ “ผู้หญิงยิงเรือ” ซึ่งในปัจจุบันหมายความว่า “ผู้ชายทั่วไป” และ “ผู้หญิงทั่วไป” ปัจจุบันนี้เราพูดสำนวนทั้งสองนี้แยกกันแต่ทราบหรือไม่ว่าในอดีตสองสำนวนนี้เป็นสำนวนเดียวกันคือ “ผู้ชายพายเรือ ผู้หญิงยิงเรือ” หรือ “ผู้ชายรายเรือ ผู้หญิงริงเรือ” หลายๆ คนคงมีความสงสัยเหมือนผู้เขียนว่าเหตุใดในเมื่อผู้ชายพายเรือแล้วผู้หญิงต้องมายิงเรือ
จากการเรียนวิชาสัมนาภาษาไทยปัจจุบันของผู้เขียนทำให้ผู้เขียนได้คำตอบของที่มาของสำนวนดังกล่าวโดยอาจารย์ของผู้เขียนได้ให้อ่านบทความเรื่อง “ผู้ชายพายเรือ-ผู้หญิงยิงเรือ” ซึ่งเขียนโดยอาจารย์มัณฑนา เกียรติพงษ์ แห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ซึ่งท่านได้แสดงทรรศนะเกี่ยวกับที่มาของสำนวนนี้ไว้อย่างน่าสนใจ จึงขอสรุปความของบทความดังกล่าวมาเผยแพร่ให้ทุกๆ คนได้อ่านไว้เป็นความรู้
สำนวนนี้พบครั้งแรกในสมัยรัตนโกสินทร์โดยปรากฏในวรรณคดีเรื่องต่างๆ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ดังนี้
รามเกียรติ์ฉบับพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
“เหวายมนุษย์องอาจประหลาดเหลือ พาผู้หญิงริงเรือมาแต่ไหน
ทำฮึกฮักข่มเหงไม่เกรงใจ เข้าหักโค้นต้นไม้ในอุทยาน”
ไชยเชษฐ์ พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
“เอออะไรไม่พอที่พอทาง มึงช่างชั่วชาติประหลาดเหลือ
ไม่รู้เท่าผู้หญิงริงเรือ ซานซมงมเชื่อนางเมียงาม”
พระอภัยมณี ของสุนทรภู่
“เห็นผู้หญิงริงเรือที่เนื้อเหลือง อย่ายักเยื้องเกี้ยวพานะหลานขวัญ
ล้วนนางในไม่ชั่วตัวสำคัญ จะเสียสันเสียเปล่าไม่เข้าการ”
กลอนเสภาขุนช้างขุนแผน
“ฝ่ายข้างพวกผู้หญิงริงเรือ บ่นว่าเบื่อรบพุ่งยุ่งหนักหนา
ให้เสียวไส้ไม่ดูได้เต็มตา เวทนาแต่เจ้าพลายชุมพล”
ฯลฯ
“ผู้ชายพายเรืออยู่เต็มไป จะดูเล่นหรือไรไฉนนี่
ช่างกระไรรั้ววังดังไม่มี อีพวกนนี้น่าเฆี่ยนให้เจียนตาย”
จากตัวอย่างข้างต้นแสดงให้เห็นว่าในอดีตเราไม่พูดว่า “ผู้หญิงยิงเรือ” แต่เราพูด “ผู้หญิงริงเรือ” ดังนั้นจึงทำให้สรุปว่า สำนวนผู้หญิงยิงเรือนั้นไม่ได้หมายความถึงผู้หญิงคอยดักยิงเรือของผู้ชายเป็นแน่นอนแต่เป็นเรื่องของการเพี้ยนเสียงคำว่า “ริง” มาเป็น “ยิง” ในปัจจุบัน แล้วถ้าเป็นเรื่องของการเพี้ยนเสียงดังนี้แล้ว “ผู้หญิงริงเรือ” จะหมายความว่าอย่างไร
เรามีสำนวนไทยที่เกี่ยวกับ “เรือ” อยู่อีกสำนวนหนึ่งคือ “ลงเรือลำเดียวกัน” และสำนวนที่เกี่ยวกับการเดินทางทางเรือคือ “ล่มหัวจมท้าย” (โปรดสังเกตว่าสำนวนนี้ปัจจุบันเราก็เพี้ยนเป็น “ร่วมหัวจมท้าย” เสียแล้ว-ผู้เขียน) ซึ่งใช้เปรียบเทียบหรือสั่งสอนว่าเมื่อแต่งงานกันก็เปรียบเสมือน ลงเรือลำเดียวกันจะสุขหรือทุกข์ก็ร่วมกัน ถ้าคนใดคนหนึ่งทำไม่ดีก็จพาอีกคนล่มจมตามไป เหมือนหัวเรือล่มไปแล้วท้ายเรือก็ต้องจมตามหัวเรือไปเป็นธรรมดา
ในเมื่อชายหญิงลงเรือลำเดียวกันแล้ว การจะพานาวาชีวิตไปถึงฝั่งใครเล่าเป็นผู้นำไปก็ต้องผู้ชายซึ่งในสังคมโบราณถือว่าเป็น “ช้างเท้าหน้า” จึงต้องทำหน้าที่ “พายเรือ” นำเรือชีวิตไปให้ตลอดรอดฝั่ง แล้วผู้หญิงล่ะจะทำหน้าที่อะไร หญิงไทยโบราณได้รับการอบรมสั่งสอนให้เป็นกุลสตรี เป็นแม่บ้านแม่เรือน มีหน้าที่ดูแลรักษาบ้านช่องให้ทุกคนในบ้านมีความสุข
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่าผูหญิงมีหน้าที่ “ดูแล” บ้านเรือน มีคำศัพท์คำว่า “หลิง” ซึ่งแปลว่า ดู เล็ง (ยังไม่สามารถหาหลักฐาน ที่มาของคำว่า หลิง ที่แปลว่าดูได้ว่ามาจากภาษาใด- ผู้เขียน) จึงน่าจะสันนิษฐานได้ว่า “ผู้หญิงริงเรือ” มาจาก “ผู้หญิงหลิงเรือ” ซึ่งแปลว่าผู้หญิงดูเรือ นั่นเอง
ดังนั้นสำนวน “ผู้ชายพายเรือ ผู้หญิงริงเรือ” อาจารย์มัณฑนาจึงสรุปว่าเป็นการกำหนดหน้าที่ของสามีภรรยาซึ่งลงเรือลำเดียวกันว่าให้ฝ่ายชายเป็นผู้ออกแรงพายเรือ ซึ่งหมายถึงการทำมาหากินประกอบอาชีพ ส่วนฝ่ายหญิงก็มีหน้าที่เป็นผู้ดูแลเรือ หรือดูแลทุกข์สุขของครอบครัว
ความเห็นดังกล่าวของอาจารย์มัณฑนาข้างต้นก็ยังไม่เป็นข้อยุติถึงที่มาของสำนวน “ผู้ชายรายเรือ ผู้หญิงริงเรือ” หรือ “ผู้ชายพายเรือ ผู้หญิงยิงเรือ” แต่ที่สรุปได้ชัดเจนก็คือสำนวน “ผู้หญิงยิงเรือ” นั้นเพี้ยนมาจาก “ผู้หญิงริงเรือ” แน่นอน จึงทำให้คิดต่อไปได้ว่าถ้าเช่นนั้น ผู้ชายพายเรือจะเป็นสำนวนที่เพี้ยนมาจาก “ผู้ชายรายเรือ” ด้วยหรือไม่ เพราะสำนวนไทยมีลักษณะเป็นคำชุดคล้องจองกัน ถ้าเช่นนั้นก็เป็นที่น่าศึกษา ค้นคว้ากันต่อไปว่าแล้ว “ผู้ชายรายเรือ” นั้นแปลว่าอะไร ถ้าทราบความหมายของผู้ชายรายเรือก็น่าจะเป็นกุญแจไขไปสู่ที่มาและความหมายที่แท้จริงของ “ผู้หญิงริงเรือ” ได้
ไหนๆ ก็พูดถึงเรื่องสำนวนไทยจึ่งขอยกตัวอย่างสำนวนที่ไม่ค่อยคุ้นหูในปัจจุบัน และสำนวนที่มักมีผู้ใช้หรือพูดกันผิดๆ ไว้ให้ได้สังเกตกัน โดยผู้เขียนนำข้อมูลส่วนหนึ่งมาจากบทออกอากาศทางสถานีวิทยุการศึกษา และบทความที่อาจารย์ของผู้เขียนนำมาให้อ่านในชั้นเรียนซึ่งบางส่วนไม่ได้ระบุข้อมูลทางบรรณานุกรมไว้ ทำให้ไม่สามารถระบุการอ้างอิงในบรรณานุกรมได้ครบถ้วน
ได้แกงเทน้ำพริก หมายถึง ได้ใหม่ลืมเก่า
เงื้อง่าราคาแพง หมายถึง ทำอะไรไม่กล้าตัดสินใจลงไป ตีแต่วางท่าหรือทำ
ท่าว่าจะทำเท่านั้น
ไฟสุมขอน หมายถึง อารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ในใจ
ซื้อวัวหน้านา ซื้อผ้าหน้าหนาว,
ซื้อควายหน้านา ซื้อผ้าหน้าตรุษ หมายถึง ซื้อของไม่คำนึงถึงกาลเวลาย่อมได้ของ
แพง ทำอะไรไม่เหมาะสมกับ กาลเวลา
ย่อมได้รับความเดือดร้อน
เถรส่องบาตร หมายถึง คนที่ทำอะไรตามเขา ทั้งๆ ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว
กินแกลบกินรำ หมายถึง คนโง่ เช่น ฉันไม่ใช่พวกกินแกลบกินรำอย่ามาหลอกเสียให้ยาก ปัจจุบันสำนวนนี้ดูจะตัดสั้นลงเหลือแต่เพียง “กินแกลบ” และความหมายก็ผิดเพี้ยนไปกลายเป็น อดอยาก ไม่มีจะกินกิน ไปเสีย เช่น เพิ่งต้นเดือนเงินเดือนก็หมดแล้วคงต้องกินแกลบไปทั้งเดือน
กงเกวียนกำเกวียน มักพูดกันเป็น กงกำกงเกวียน บางคนเขียนเป็น กงกรรมกงเกวียน เสียด้วยซ้ำ สำนวนนี้แปลว่าทำกรรมเช่นใดย่อมได้รับผลกรรมนั้นตอบสนอง มีที่มาจากล้อของเกวียนที่ประกอบด้วย กง คือ วงล้อที่อยู่ด้านนอก และ กำ คือ ซี่ล้อ เมื่อกงหมุนไปที่ใด เปรียบกับคนที่ทำกรรมอะไรไว้ ซี่ล้อหรือกำซึ่งเปรียบกับผลกรรมหรือผลแห่งการกระทำก็จะหมุนตามกงหรือการกระทำนั้นไปเสมอ
ช้าๆ ได้พร้าสองเล่มงาม ที่แปลว่าค่อยๆ คิด ค่อยๆ ทำแล้วจะสำเร็จผล ปัจจุบันมักเหลือพร้าแค่เล่มเดียว เป็นช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม
สองแง่สองง่าม บางคนพูดเป็น สองแง่สามง่าม ซึ่งไม่ถูก ของเดิมมีแค่สองเท่านั้น
ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว คนสมัยนี้แลดูจะ ”โลภ” มากขึ้นยิงปืนนัดเดียวแต่หวังนกหลายตัว ขอให้จำไว้ว่าแต่เดิมยิงปืนนัดเดียวหวังได้นกเพียงหนึ่ง ถ้าโชคดีได้นกเพิ่มมาอีกตัวเป็นสองตัวก็นับว่าโชคดีแล้ว
ไก่เห็นนมไก่ งูเห็นตีนงู แปลว่าผู้ที่เป็นพวกเดียวกันย่อมมองเห็นเล่ห์เพทุบายหรือเข้าใจในการปฏิบัติของกันและกันได้ดี แต่ปัจจุบันเรามักพูดสำนวนนี้ ”ผิดเพี้ยน สลับกัน” เป็น “ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่” ความหมายก็เพี้ยนไปจากเดิมคือกลายเป็น ต่างฝ่ายต่างล่วงรู้ความรับของอีกฝ่ายไปเสีย
เพื่อยืนยันความถูกต้องของสำนวน “ไก่เห็นนมไก่ งูเห็นตีนงู” จึงขอยกโคลงโลกนิติ พระนิพน์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร ความว่า
“ตีนงูงูไซร้หาก เห็นกัน
นมไก่ไก่สำคัญ ไก่รู้
หมู่โจรต่อโจรหัน เห็นเล่ห์ กันนา
เชิงปราชญ์ฉลาดกล่าวผู้ ต่างรู้เชิงกัน”
ขายผ้าเอาหน้ารอด แปลว่ายอมสละแม้ของที่จำเป็นเพื่อรักษาชื่อเสียงที่มีอยู่ คนปัจจุบันแค่ขายผ้าคงไม่หนำใจหรือคงไม่พอจะรักษาชื่อเสียงที่มีอยู่เลยต้องถึงกับ “แก้ผ้าเอาหน้ารอด” เลยทีเดียว มิหนำซ้ำความหมายก็ดูจะ “ผิดเพี้ยน” ไปคือหมายถึงทำสิ่งใดพอให้พ้นตัวไป
ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ตามใจผู้นอน หมายความว่า จะทำอะไรให้ใครต้องถามความพอใจของผู้ได้รับ เหมือนปลูกบ้านเรือนก็ต้องถามความพอใจของผู้อยู่อาศัย ผูกอู่ หรือผูกเปล ก็ต้องถามผู้นอนว่าพอใจหรือยัง คนในปัจจุบันคงไม่ค่อยได้นอนเปลแล้วจึงไม่ค่อยรู้จักกริยา ผูก มิหนำซ้ำยังไม่รู้ด้วยว่า อู่ แปลว่า เปล รู้จักก็แต่อู่รถ จึงหันไป “ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ปลูกอู่ตามใจผู้นอน” กันเป็นแถว สงสัยคนปัจจุบันคงจะย้ายที่นอนไปนอนในอู่รถด้วย
ตื่นก่อนไก่, หัวไก่โห่ ปัจจุบันเรามักพูด ”ผิดเพี้ยน” โดยเอาสองสำนวนนี้มารวมกันเป็น “ตื่นแต่ไก่โห่”
ไม่แน่ไม่แช่แป้ง หมายถึงถ้าไม่มั่นใจย่อมไม่ลงมือกระทำ สำนวนนี้เกี่ยวข้องกับการทำอาหารขนมโบราณซึ่งมีแป้ง กะทิ และน้ำตาลเป็นส่วนประกอบหลัก และการที่จะแปรรูปข้าวให้เป็นแป้งก็ต้องเอาข้าวสารมาแช่น้ำแล้วจึงนำมาโม่ให้เป็นแป้งสำหรับเป็นวัตถุดิบในการทำขนม หากแช่ข้าวสารแล้วไม่โม่ข้าวนั้นก็จะเสียไปไม่สามารถนำมาหุงได้เนื่องจากข้าวสารจะบานหมด ปัจจุบันเราก็มักพูดเพี้ยนไปเป็น “แน่เหมือนแช่แป้ง” ซึ่งไม่สื่อความหมายเอาเสียเลยว่าการแช่แป้งนี่แสดงความแน่นอนอย่างไร
จากตัวอย่างการใช้สำนวนผิดข้างต้นอาจจะเพราะความไม่รู้ และความไม่เข้าใจสังคมตลอดจนวัฒนธรรมโบราณ อีกทั้งสังคมปัจจุบันก็เปลี่ยนแปลงไปจากอดีตมาก หลายๆ สิ่งก็เปลี่ยนไป เลือนหายไป คนปัจจุบันที่ไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็นสังคมวัฒนธรรมโบราณจึงดัดแปลงสำนวนที่มีมาซึ่งฟังแล้วไม่เห็นภาพ ไม่เข้าใจ ไปตามความรู้สึกส่วนตัว
เจตนาที่ยกเอาสำนวนต่างๆ เหล่านี้มากล่าวไม่ได้ต้องการ “จับผิด” หรือว่าไม่ควรจะคิดสำนวนใหม่ๆ ใช้ในภาษาไทย อันที่จริงการคิดสำนวนใหม่ใช้ในภาษาเป็นสิ่งที่ดีแสดงให้เห็นความงอกงามของภาษา แต่ในเมื่อเรามีสำนวนที่เป็นของเก่าใช้สื่อความกันมาก่อนอยู่แล้วก็ควรจะช่วยกันรักษาไว้เป็นมรดกทางภูมิปัญญา ไม่จะควรทำลายให้มรดกที่ได้รับสืบทอดนี้สูญหายไป
คุณหญิงยั้ว!!!
สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 1ตุลาคม พญ. คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Khunying Porntip Rojanasunan หลังจากครม.มติแต่งตั้งพล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร อธิบดีดีเอสไอเป็นปลัดกระทรวงยุติธรรมโดยระบุว่า
อีกครั้งกับนโยบายรัฐบาลคสช. ในการแต่งตั้งผู้บริหาร อีกหนึ่งปีก่อนเกษียณพิสูจน์ได้ว่ารัฐบาลจากวิธีใดก็มีหลักการทำงานไม่ต่างกัน ให้โอกาสเฉพาะกับคนรู้จักและคนวิ่งเต้น แต่ไม่ให้โอกาสคนทำงาน ขอให้ประชาชนตามดูว่ากระทรวงยุติธรรมยุคนี้จะสร้างความยุติธรรมให้ประชาชนหรือกำลังสร้างฐานอำนาจใหม่ รู้สึกปลงกับชะตากรรมกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยยิ่งนัก
ถาม
ทำไมต้องจ่ายค่าเก็บขยะครับ ในเมื่อการเก็บขยะมันเป็นบริการสาธารณะ ตาม พ.ร.บ. การปกครองส่วนท้องถิ่นอยู่แล้วซึ่งย่อมต้องได้งบประมาณมาจากส่วนกลางที่จัดสรรให้แก่แต่ละท้องที่ร่วมทั้งเงินในภาษีแต่ละท้องถิ่นอยู่แล้วด้วย(หรือว่าจัดสรรกันจนหมดเลยต้องมาเก็บเพิ่มกับประชาชน) จริงอยู่ว่าเก็บเดือนละ 20 บาท แต่เงิน 20บาทนี้ก็สามารถใช้ทำอะไรได้หลายอย่าง
เก็บ 20 บาทหลายๆ หลังเดือนนึง ก็ได้ไปหลายหมื่นหลายแสนนะครับแล้วถ้าเก็บไปแล้วมันทำให้การบริการด้านต่างๆดีขึ้น ก็ดีครับ แต่เท่าที่ผมเห็นยังไม่เห็นอะไรที่จะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเลย สี่แยกบางที่ยังไม่มีไฟแดง หรือมีแต่ไม่ยอมเปิดใช้
หรือถ้าเปิดใช้ก็เสียบ่อย มีอันที่ดีอยู่ไม่กี่แยก น้ำประปาบางพื่นที่ก็ไหลค่อยมากๆๆๆๆๆๆ บางเวลาก็ไม่ไหลอีกต่างหาก ถนนก็เป็นหลุมเป็นบ่อ เช่นนี้แล้วเงิน 20 บาทที่เสียไป เสียไปเพื่ออะไรครับ แต่ถ้าสิ่งที่ผมกล่าวมาข้างต้นมันดีขึ้นจะเก็บเพิ่มเดือนละ 50 ผมก็ยินดีที่จะเสียครับ
ตอบ
-การเก็บค่าธรรมเนียมเก็บขนขยะและกำจัดมูลฝอยเป็นไปตามพรบ. สาธารณสุข พ.ศ. 2535 และแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2551 โดยยึดหลักการผู้การมลพิษเป็นผู้จ่าย
- สำหรับเรืองถนนเป็นหลุมบ่อ สามารถแจ้งเพิ่มเติมเพื่อให้มีการปรับปรุงได้
- เรื่องประปา อยู่ในการรับผิดชอบของการประปาส่วนภูมิภาค
พรบ.การสาธารณสุข พ.ศ.2535
การจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย
มาตรา ๑๘ การเก็บ ขน หรือกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอยในเขตราชการส่วนท้องถิ่นใดให้เป็นอำนาจของราชการส่วนท้องถิ่นนั้น
ในการดำเนินการตามวรรคหนึ่ง ราชการส่วนท้องถิ่นอาจร่วมกับหน่วยงานของรัฐ หรือราชการส่วนท้องถิ่นอื่นดำเนินการภายใต้ข้อตกลงร่วมกันก็ได้ แต่ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์สาธารณะโดยส่วนรวม รัฐมนตรีมีอำนาจออกกฎกระทรวงโดยคำแนะนำของคณะกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขในการดำเนินการร่วมกันได้
ในกรณีที่มีเหตุอันสมควรราชการส่วนท้องถิ่นอาจมอบให้บุคคลใดดำเนินการตามวรรคหนึ่งแทนภายใต้การควบคุมดูแลของราชการส่วนท้องถิ่น หรืออาจอนุญาตให้บุคคลใดเป็นผู้ดำเนินกิจการรับทำการเก็บ ขน หรือกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอยตามมาตรา ๑๙ ก็ได้
บทบัญญัติตามมาตรานี้ และมาตรา ๑๙ มิให้ใช้บังคับกับการจัดการของเสียอันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน แต่ให้ผู้ดำเนินกิจการโรงงานที่มีของเสียอันตราย และผู้ดำเนินกิจการรับทำการเก็บ ขนหรือกำจัดของเสียอันตรายดังกล่าว แจ้งการดำเนินกิจการเป็นหนังสือต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น
มาตรา ๑๙ ห้ามมิให้ผู้ใดดำเนินกิจการรับทำการเก็บ ขน หรือกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย โดยทำเป็นธุรกิจหรือโดยได้รับประโยชน์ตอบแทนด้วยการคิดค่าบริการ เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น
มาตรา ๒๐ เพื่อประโยชน์ในการรักษาความสะอาดและการจัดระเบียบในการเก็บ ขน และกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย ให้ราชการส่วนท้องถิ่นมีอำนาจออกข้อกำหนดของท้องถิ่นดังต่อไปนี้
(๑) ห้ามการถ่าย เท ทิ้ง หรือทำให้มีขึ้นในที่หรือทางสาธารณะซึ่งสิ่งปฏิกูล หรือมูลฝอย นอกจากในที่ที่ราชการส่วนท้องถิ่นจัดไว้ให้
(๒) กำหนดให้มีที่รองรับสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอยตามที่หรือทางสาธารณะและสถานที่เอกชน
(๓) กำหนดวิธีการเก็บ ขน และกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอยหรือให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารหรือสถานที่ใด ๆ ปฏิบัติให้ถูกต้องด้วยสุขลักษณะตามสภาพหรือลักษณะการใช้อาคารหรือสถานที่นั้น ๆ
(๔) กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมในการให้บริการของราชการส่วนท้องถิ่น หรือบุคคลอื่นที่ราชการส่วนท้องถิ่นมอบให้ดำเนินการแทน ในการเก็บ ขน หรือกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย ไม่เกินอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง ทั้งนี้ การจะกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอยราชการส่วนท้องถิ่นนั้นจะต้องดำเนินการให้ถูกต้องด้วยสุขลักษณะตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
(๕) กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการเก็บ ขน และกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย เพื่อให้ผู้รับใบอนุญาตตามมาตรา ๑๙ ปฏิบัติ ตลอดจนกำหนดอัตราค่าบริการขั้นสูงตามลักษณะการให้บริการที่ผู้รับใบอนุญาตตามมาตรา ๑๙ จะพึงเรียกเก็บได้
(๖) กำหนดการอื่นใดที่จำเป็นเพื่อให้ถูกต้องด้วยสุขลักษณะ
+ + + ยางใต้จ่อลุกฮือ! เตรียมรวมตัว 8 ต.ค. เหตุ"ยางสต๊อกเน่ากว่าครึ่ง" ชี้ ส่อแววทุจริตชัดเจน + + +
กรณี ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี และนายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รมว.เกษตรและสหกรณ์ ชะลอการขายยางในสต็อกโครงการเพิ่มพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกร อีก 1 แสนตันไปก่อน เนื่องจากสต็อกมียางทั้งหมด 2.1 แสนตัน ได้ทำสัญญาขายให้กับบริษัท ยีฟางเหลียง จำกัด จำนวน 1 แสนตัน วงเงิน 5,940 ล้านบาท แต่ในขณะนี้ยังไม่สามารถส่งมอบได้ เนื่องจากพบว่ายางในสต็อกมียางเน่าขึ้นราเสียหายมากกว่าครึ่งนั้น
เมื่อเวลา 14.30 น. นายทศพล ขวัญรอด ประธานภาคีเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนยางและสวนปาล์ม 16 จังหวัดภาคใต้ ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ความจริงได้ปรากฏขึ้นมาให้เห็นแล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้ภาคีเครือข่ายฯได้นำเสนอผ่านสื่อมวลชน เรียกร้องให้รัฐบาลตรวจสอบสต็อกยางพาราทั้งหมดที่มี ว่าครบตามจำนวนหรือไม่ และมีคุณภาพดีหรือไม่ เห็นหรือยังว่าโผล่ออกมาจริงๆ หากมองตามความเป็นจริงแล้วยางจะเน่าเสียได้อย่างไร ยางที่รับซื้อเป็นยางแผ่นรมควัน ต้องผ่านกระบวนการผลิตมาเป็นอย่างดี เป็นไปไม่ได้
“ส่อแววพิรุธทุจริตอย่างชัดเจน ถ้าวันนั้น ภาคีเครือข่ายไม่จี้ รัฐบาลจะกล้าเข้าทำการตรวจสอบหรือไม่ และการขายยางนั้นส่อทุจริตอีก ที่ขายยางในราคาที่ถูกกว่าคู่ประมูล มันก็ชี้ให้เห็นอยู่แล้ว ถามว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นใครรับผิดชอบ ท้ายที่สุดก็มาอ้างว่าเกษตรกรขายยางที่ไม่มีคุณภาพ เกษตรกรเร่งขายยาง ซึ่งไม่เกี่ยวกับขั้นตอนของเกษตรกร มันพ้นไปแล้ว เป็นเรื่องของพ่อค้าคนกลาง นายทุน และภาครัฐแล้วที่สมรู้ร่วมคิดกันมานาน ช่วยกันทำให้ประเทศไทยเสื่อมเสียชื่อเสียงในการผลิตยางพาราที่ไม่มีคุณภาพ ทั้งๆที่กระบวนการเหล่านี้ เป็นกระบวนการทุจริตที่อยู่ข้างบนทั้งสิ้น“
นายทศพล กล่าวว่า ขณะนี้ตนกำลังร่วมประชุมยุทธศาสตร์แก้ปัญหายางพารา ที่ สกย.เขต 1 จ.สงขลา จะเร่งนำเรื่องนี้เข้าชี้แจงในที่ประชุมเป็นวาระเร่งด่วน และหากว่า รัฐบาลมีความจริงใจ พร้อมที่จะให้มีการตรวจสอบจริง เราก็จะดีใจ แต่หากว่า รัฐบาลประกาศแบบขอไปที ก็จะได้เห็นกันว่าเกิดอะไรขึ้น
ในวันที่ 8 ตุลาคมนี้ ในนามภาคีเครือข่ายฯ จะเปิดเวทีสัมมนาใหญ่ถึงแนวทางการแก้ปัญหายางพารา โดยมีการหยิบยกประเด็นการสัมมนาในวันนี้ ไปวิเคราะห์สังเคราะห์เพื่อเดินคู่ขนานกับยุทธศาสตร์ยางของรัฐบาลต่อไป ดูว่ายุทธศาสตร์ใครจะแก้ปัญหาให้กับเกษตรกรได้ หากว่าไม่โดนบล็อกเสียก่อน
นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในโลกโซเชี่ยลมีเดียได้มีการเผยแพร่ ภาพเกษตรกรชาวสวนยางในรูปแบบต่างๆ พร้อมกับการโพสต์ข้อความทับลงบนภาพ โดยระบุ “การลุกขึ้นครั้งใหญ่ของคนใต้ 8 ตุลาคม 2557 มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ท่าศาลา นครศรีธรรมราช วันนี้...น้ำตาคนไทย...ยังไม่เหือดหาย..”
ทั้งนี้ ในหลายภาพได้โพสต์ถึงปัญหาและผลกระทบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน โดยลักษณะภาพดังกล่าวเป็นภาพที่สะท้อนให้เห็นถึงความทุกข์ยากของเกษตรกร ขณะเดียวกันเพื่อเป็นการปลุกกระแสความเคลื่อนไหวให้พี่น้องชาวเกษตรกรลุกขึ้นมาต่อสู้อีกครั้ง ภาพดังกล่าวได้มีการแชร์ในโซเชียลมีเดียกันอย่างกว้างขวาง
นายสมควร (ขอสงวนนามสกุล) เกษตรกรชาวสวนยาง อ.นบพิตำ กล่าวว่า ราคายางพาราตกต่ำลงอย่างมาก เจ้าหน้าที่รัฐก็เดินทางมาตัดสวนยางของชาวบ้านแล้วจะเอาอะไรกินกัน จะเอาอะไรมาประทังชีวิต พวกเราไม่ได้ร่ำรวย ส่วนหนึ่งรับจ้างกรีดยาง ส่วนหนึ่งเป็นเจ้าของสวนยางที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ และส่วนหนึ่งเป็นเจ้าของที่มีเอกสารสิทธิ์ จะอะไรกันนักกันหนา
อยากบอกว่า วันนี้เกษตรกรชาวสวนยางกำลังถูกย่ำยี อย่าถึงกับให้เกษตรกรต้องลุกขี้นมาต่อสู้กับ จนท.รัฐอีกครั้ง วันนี้ก็มาโค่นต้นยางอีก อ้างว่าอยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติเขานั้น อยากจะบอกว่าแล้วทำไมก่อนหน้านี้ ที่พวกเราโค่นต้นยางขาย แล้วปลูกใหม่ไม่รู้ต่อกี่ครั้ง ไม่มาจับล่ะว่าผิดกฎหมาย มาโค่นอะไรตอนยางราคาถูก เกษตรกรต้องฆ่าตัวตายกันแน่ๆ อย่าซ้ำเติมย่ำยีกันมากนัก
หนึ่งในประเด็นข่าวร้อนฉ่าที่ผู้คนทั่วโลกจับจ้องให้ความสนใจมากที่สุดประเด็นหนึ่งในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา คือ การที่ชาติอภิมหาอำนาจหมายเลขหนึ่งของโลกที่มักอ้างตัวเป็นผู้พิทักษ์เสรีภาพและความยุติธรรมอย่างสหรัฐอเมริกา ตัดสินใจเปิดแนวรบแห่งใหม่ในภูมิภาคตะวันออกกลาง ด้วยการจับมือ 5 ชาติอาหรับที่เป็นพันธมิตร ซึ่งประกอบด้วยกาตาร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จอร์แดน บาห์เรน และซาอุดีอาระเบียเปิดการโจมตีทางอากาศต่อกลุ่มนักรบรัฐอิสลามหรือกลุ่ม “ไอเอส” ในซีเรีย
ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศดังกล่าวของสหรัฐฯและพันธมิตรอาหรับ ซึ่งใช้ทั้งเครื่องบินรบและจรวดร่อนนานาชนิดต่อกลุ่มไอเอสทางภาคตะวันออกของซีเรียคราวนี้ ยังเกิดขึ้นพร้อมกับการที่รัฐบาลอเมริกัน ภายใต้การนำของชายที่ชื่อบารัค โอบามาตัดสินใจฉายเดี่ยวถล่มที่มั่นของเครือข่ายก่อการร้าย “อัล-กออิดะห์” ที่อยู่ในภาคเหนือของซีเรียไปด้วยในตัว
การเปิดฉากโจมตีทางอากาศดังกล่าวซึ่งเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 22 กันยายนที่ผ่านมา ได้รับการยืนยันจากคำแถลงของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ หรือ “เพนตากอน” ตลอดจนกองบัญชาการส่วนกลางของสหรัฐฯ (CENTCOM) ที่รับผิดชอบดูแลภารกิจด้านการทหารของสหรัฐฯในภูมิภาคตะวันออกกลางและอัฟกานิสถาน ซึ่งระบุว่า เครื่องบินรบของสหรัฐฯ และพันธมิตรอาหรับ รวมถึงขีปนาวุธ “โทมาฮอว์ก” ที่ถูกยิงจากเรือรบในทะเล ได้โจมตีต่อเป้าหมายต่างๆ ที่เป็นที่มั่น ค่ายฝึก คลังอาวุธ และขบวนยานพาหนะของพวกนักรบหัวรุนแรงในซีเรียอย่างราบคาบ
ขณะเดียวกัน รัฐบาลอเมริกันยังยืนยันว่า ตนเองได้เปิดการโจมตีทางอากาศแบบฉายเดี่ยว โดยไร้เงาชาติพันธมิตรอาหรับต่อเป้าหมายในซีเรียอีกอย่างน้อย 8 ระลอก เพื่อถล่มกลุ่มนักรบหัวรุนแรงอีกกลุ่มหนึ่ง ที่มีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายก่อการร้ายอัลกออิดะห์ด้วยเช่นกัน
ด้านกลุ่มเคลื่อนไหว “ซีเรียน ออบเซอร์วาทอรี ฟอร์ ฮิวแมน ไรต์ส” ซึ่งมีจุดยืนเป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาดในซีเรีย และมีฐานการเคลื่อนไหวอยู่ในอังกฤษ ออกมาเปิดเผยโดยอ้างว่า มีนักรบญิฮัดกลุ่มไอเอสถูกสังหารไปไม่น้อยกว่า 70 รายจากปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯ และพันธมิตรที่กินเวลาต่อเนื่องนานหลายชั่วโมงต่อเป้าหมายเกินกว่าครึ่งร้อยจุด ทั้งในพื้นที่จังหวัดฮาซากาห์ จังหวัดเดียร์ อัล-ซอร์ รวมถึงจังหวัดรักกาที่ถือเป็นที่มั่นหลักของกลุ่มนักรบไอเอสในซีเรีย
ขณะที่กลุ่มไอเอสออกมาประกาศจะตอบโต้การโจมตีที่เกิดขึ้น พร้อมกล่าวหาว่า ราชวงศ์ซาอุดีอาระเบียภายใต้การนำของกษัตริย์อับดุลเลาะห์ อับดิลอาซิซ จะต้องรับผิดชอบในฐานะเป็นผู้เปิดทาง และอำนวยความสะดวกให้กับปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯ และพันธมิตร ต่อชาวมุสลิมด้วยกัน
ด้านอาบู โมฮัมเหม็ด อัล-อัดนานี โฆษกกลุ่มไอเอสออกมาระบุ นักรบรัฐอิสลามพร้อมต่อกรกับศัตรูที่นำโดยสหรัฐอเมริกา ทั้งยังออกโรงเรียกร้องให้บรรดานักรบญิฮัดจากทั่วทุกมุมโลกช่วยกันก่อเหตุสังหารพลเมืองสหรัฐฯ และประเทศพันธมิตรที่เข้าร่วมปฏิบัติการทางทหารคราวนี้
ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของสหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตรล่าสุด ถือเป็นส่วนหนึ่งของการขยายขอบข่ายปฏิบัติการทางทหารที่บารัค โอบามา ผู้นำเมืองลุงแซมออกมาประกาศต่อชาวโลกตั้งแต่เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน โดยมีเป้าหมายสำคัญในการกวาดล้างกลุ่มไอเอส ที่มีพฤติกรรมโหดเหี้ยมสังหารหมู่ประชาชนต่างศาสนาต่างความเชื่อแบบไม่เลือกหน้า และยังก่อเหตุสยองด้วยการตัดศีรษะพลเมืองของชาติตะวันตกไปหลายราย รวมถึงการบุกยึดครองพื้นที่ทั้งในซีเรียและอิรัก เพื่อสถาปนาการปกครองแบบรัฐอิสลามสุดโต่ง
อย่างไรก็ดี แม้ปฏิบัติการทางทหารที่นำโดยสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรต่อกลุ่มไอเอสคราวนี้ จะได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางจากโลกอาหรับ แต่ทว่าในอีกด้านหนึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การใช้กำลังที่เกิดขึ้น ได้ถูกมองในเชิงลบและถูกต่อต้านอย่างหนักด้วยเช่นเดียวกัน
ที่กรุงมอสโก ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียซึ่งถือเป็น “มหามิตรของระบอบอัสซาด”ในซีเรียได้ออกโรงประณามการโจมตีต่อกลุ่มไอเอสที่เกิดขึ้น โดยระบุเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ ตลอดจนเป็นการโหมกระพือความตึงเครียด และบ่อนทำลายเสถียรภาพของภูมิภาคตะวันออกกลางอย่างเลวร้าย
ขณะที่ฮาซัน นัสรัลเลาะห์ ผู้นำกลุ่มติดอาวุธชีอะห์ “ฮิซบอลเลาะห์” ในเลบานอนซึ่งถือเป็นศัตรูตัวฉกาจของกลุ่มไอเอส ที่เป็นพวกมุสลิมสุหนี่หัวรุนแรงระบุว่า สหรัฐอเมริกาซึ่งมีบทบาทอยู่เบื้องหลังเหตุรุนแรงและการสร้างความเกลียดชังในหลายพื้นที่ทั่วโลก ไม่มีสิทธิ์ใดๆที่จะอ้างตัวเป็น “พระเอกขี่ม้าขาว” ในการออกโรงปรามกลุ่มไอเอสในครั้งนี้ เพราะในความเป็นจริงแล้ว สหรัฐอเมริกาก็ “ชั่วช้า” และ “มือเปื้อนเลือด” ไม่ต่างจากกลุ่มไอเอส
ยิ่งไปกว่านั้น ปฏิกิริยาในเชิงลบต่อปฏิบัติการโจมตีทางอากาศคราวนี้ยังเกิดขึ้นในแผ่นดินอเมริกันเสียเอง โดยบรรดากลุ่มเคลื่อนไหวของชาวมุสลิมและชาวอเมริกันเชื้อสายอาหรับหลายกลุ่มต่างออกมาแสดงความกังวลต่อการใช้กำลังทางทหารที่เกิดขึ้น และต่างมองว่า นี่ไม่ใช่หนทางที่จะขุดรากถอนโคนความรุนแรงและภัยคุกคามของพวกนักรบญิฮัดในซีเรียและอิรักอย่างแท้จริง
ดังนั้น จึงไม่ถือเป็นสิ่งที่เกินเลยไปนัก หากจะสรุปว่า แม้ปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐฯและพันธมิตรต่อกลุ่มไอเอสคราวนี้อาจถูกมองว่ามีความจำเป็นสำหรับการหยุดยั้งพวกญิฮัดที่กำลังเหิมเกริม แต่ในอีกแง่มุมหนึ่ง การโจมตีที่เกิดขึ้นกลับทำให้ผู้คนอีกจำนวนไม่น้อยมองว่า สิ่งที่เกิดขึ้นอาจเป็นเพียงปฏิบัติการ “ผักชีโรยหน้า” ของรัฐบาลบารัค โอบามา ที่ต้องการ “กลบเกลื่อนรอยด่างพร้อย” และความผิดพลาดในการดำเนินนโยบายต่างประเทศของตัวเองในภูมิภาคตะวันออกกลาง
ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาเป็นที่ทราบกันดีว่า รัฐบาลของชายที่ชื่อบารัค โอบามานี่เอง ที่มีบทบาทสำคัญในการก่อกำเนิด และแผ่ขยายอิทธิพลของพวกนักรบญิฮัดในทุกวันนี้ จากการที่โอบามาให้การสนับสนุนฝ่ายกบฏในซีเรีย แบบไม่ดูตาม้าตาเรือในช่วงที่ผ่านมาเพื่อให้โค่นล้มระบอบการปกครองของบาชาร์ อัล-อัสซาดในซีเรีย โดยสหรัฐฯมิทันได้ตระหนักว่า ในฝ่ายกบฏซีเรียที่ตนหนุนหลังแบบไม่ลืมหูลืมตาอยู่นั้น มีพวกนักรบสุดโต่งแฝงตัวอยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก และโอบามาเองก็คงนึกไม่ถึงว่า พวกนักรบญิฮัดเหล่านี้จะย้อนกลับมาเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐฯเสียเองอย่างในเวลานี้
เหตุ "มติชนออนไลน์"-"เบื้องลึก เบื้องหลัง พฤษภา 35 ประชาธิปไตยเปื้อนเลือด" เขียนโดยนักข่าวอิสระ รุ่งมณี เมฆโสภณ เป็น เรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์ทางการเมืองเมื่อเดือนพฤษภาคม 2535 หรือที่รู้จักกันในนาม พฤษภาทมิฬ ซึ่งผู้เขียนได้มองย้อนไปถึงเหตุการณ์ทางการเมืองก่อนหน้านั้น ซึ่งทำให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจถึงเหตุการณ์ได้อย่างชัดแจ้ง มากขึ้น
นอกจากนั้นยังมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับตัวบุคคลในเหตุการณ์ที่ผู้เขียนรวบรวมจากที่ต่างๆทั้งที่เกิดในอดีตมานานนับสิบปีหรือเพิ่งเกิดขึ้นไม่นานมานี้ และอาจทำให้เห็นอีกแง่มุมหนึ่งของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่ยังคงมีบทบาทสำคัญในแวดวงการเมืองปัจจุบัน
หนึ่งในข้อมูลดังกล่าวคือ จดหมายลงวันที่ 9 กันยายน 2551 ซึ่ง พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร อดีต"ยังเติร์ก"ได้เขียนถึง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี โดยรุ่งมณีอ้างอิงว่า นำมาจากนิตยสาร Voice of Taksin ปีที่ 1 ฉบับที่ 8 ปักษ์แรก เดือนพฤศจิกายน 2552
อย่างไรก็ตามผู้อ่านควรใช้วิจารณญานในการอ่านจดหมายดังกล่าวด้วยเนื่องจากปัยหาของความสัมพันธ์ของบุคคลทั้งสองที่เกิดขึ้นนับแต่วันที่ 1-3 เมษายน 2524 ในช่วงกบฎเมษาฮาวาย
-----------------------------------
๑๐๖/๕ ซอยลาดพร้าว ๓๕ ถ.ลาดพร้าว แขวงจันทน์เกษม เขตจตุจักร กทม. ๑๐๙๐๐
๙ กันยายน ๒๕๕๑
กราบเรียน ฯพณฯ ประธานองคมนตรี (พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์)
๑. กระผมมีเรื่องเรียนว่า ติดใจตลอดเวลาเกี่ยวกับคำพูดของฯพณฯถึงผมว่า คนชั่วอย่างมนูญเป็นประธานวุฒิได้ยังไง ?
เอาเรื่องประธาณวุฒิฯ กระผมได้รับการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ และเป็นไปตามข้อบังคับการประชุมของวุฒิสภา ผมได้คะแนน ๑๑๔ เสียง ในขณะคนที่ ๒ ได้ ๒๘ เสียง ผมจึงได้เป็นประธานวุฒิสภาครับ
๒. ฯพณฯ ได้สั่งไม่ให้กระทรวงกลาโหมรับผมกลับเข้ารับราชการ คนที่ไปขอให้ผมและบอกผมคือ พล.ต. สนั่น ขจรประศาสน์
๓. ฯพณฯ สั่ง(เซ็นเซอร์)และ(เซ็นเซอร์)(ซึ่งเรื่องนี้ได้คุยกับ ฯพณฯ แล้ว เมื่อเดือนตุลาคม ๒๕๓๑ ตอนผมกลับมาจากประเทศเยอรมัน) คนที่บอกผมมีหลายคนและมีพฤติกรรมดังนี้
๔. ฯพณฯ เล่นการเมืองกับผมตั้งแต่ 1 เมษายน ๒๕๒๔ และผมเสนอให้ ฯพณฯ(เซ็นเซอร์) แต่พอ พ.อ.ประจักษ์ ฯ จะยิง ฯพณฯท่าน ฯ ก็ให้ผมช่วย ผมก็ช่วย ทำให้ พ.อ.ประจักษ์ ฯ ไม่ยิง ฯพณฯ ท่าน
คราวนี้ถึงข้อที่ผมติดใจว่า คนชั่วในความคิดของ ฯพณฯท่าน, ในสายตาของ ฯพณฯ ท่านผมไม่ทราบว่า ฯพณฯ ท่านพิจารณาจากปัจจัยอะไร ? ผมอยากทราบจริงๆ
แต่ไม่เป็นไรครับ ผมอยากให้ ฯพณฯท่านพิจารณาตนเอง(รูป-นาม) ว่า ฯพณฯ จากที่เป็นแม่ทัพภาคที่ ๒ มาเป็นผู้ช่วยบัญชาการทหารบกนั้นเป็นอย่างไร ฯพณฯ มีเพื่อนเพียงไม่เกิน ๕ คน คือ พล.ต. สุดสาย,พล.อ.ประจวบ,พล.อ.ไพจิต,พล.ท.สท้าน
ในขณะนั้น ฯพณฯ พูดกับ รณชัย(ปี้ด)(หมายถึง พล.อ.รณชัย ศรีสุวรนันท์ ซึ่งเคยร่วมกับพลตรีมนูญกฤตทำรัฐประหารรัฐบาลพลเอกเปรม เมื่อ1-3เมษายน2524 ขณะนั้นมียศพ.ท.) ว่า ฯพณฯ ท่านคงเกษียณแค่ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก
แต่ผมคิดว่า เหล่าม้า เราหาคนดียาก ผมจึงนำเสนอเพื่อน ขอร้องให้พิจารณา ฯพณฯ เมื่อส่วนใหญ่เห็นด้วย ผมกับ พ.ท. ชายชาญ เทียนประภาส จึงไปขอความกรุณาจาก พล.อ. เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม
ในขณะนั้น(กลางเดือน กันยายน ๒๕๒๑) ตอนแรก ฯพณฯ ถามผมว่า จะเอา พล.อ. เสริม ณ นคร ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น ไปอยู่ที่ไหน แล้ว ๕ เสือ ทบ.เก่า อาวุโสกว่าทั้งนั้น เขาจะว่าอย่างไร
ผู้ใหญ่ใน ทบ. , บก.สส.(เสือป่า) ในกลาโหม ขณะนั้นไม่มีผู้ใดเห็นด้วยเลยกับการที่ ฯพณฯ ท่าน จะเป็นผู้บัญชาการทหารบก โดยไปไล่ พล.อ.เสริม ณ นคร
ฯพณฯท่าน ทราบไหมว่า? ทำไมท่านจึงได้เป็นผู้บัญชาการทหารบก ๑ ตุลาคม ๒๕๒๑ ข้ามผู้ใหญ่หลายคน และดันพล.อ. เสริม ณ นคร ซึ่งเป็นผบ.ทบ. ไปเป็น ผบ.สส.
ด้วยความที่ ฯพณฯ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ต้องเสียสละให้ ฯพณฯท่าน ส่วนพล.อ. เสริม ฯ ต้องเสียใจมาก แต่ท่านดีใจบนความไม่สบายใจของคนอื่น แล้วท่านเคยถามผมสักคำไหมว่า ผมกับ พ.ท.ชายชาญ เทียนประภาส ต้องปฎิบัติการอย่างไร ผมต้องทำทุกอย่างให้ ฯพณฯ ท่านเป็น ผบ.ทบ.ใน เดือนตุลาคม ๒๕๒๑ ให้จนได้
ในที่สุด ๑ ตุลาคม ๒๕๒๑ ท่านก็ได้เป็น ผบ.ทบ. ท่ามกลางคนด่า ผมถูกรุ่นพี่ จปร.๕-๖ ด่าทุกวัน
ท่านรู้ไหมครับ ? เขาด่าว่าผมทำลายระบบกองทัพบก อีกอย่างท่าน ฯพณฯ ไม่มีผลงานอะไร? ที่เป็นการริเริ่มและโดดเด่น และเป็นต้นเหตุให้เกิดการแตกความสามัคคีในกองทัพ
แม่ทัพภาค ๑ (พล.ท.อำนาจ ดำริห์การ) เรียกผมไปพบที่กองทัพภาคที่ ๑ ในขณะที่ผมเดินทางไปทหารราบ ร๑รอ. เขาเตรียมกำลัง เบิกอาวุธกันแล้ว แต่ถูก คุณหญิงแสงเดือน(ภรรยาพลเอกเสริม)บอก พล.อ.เสริม ณ นคร ให้หยุดท่านจึงหยุด มิฉะนั้น เช้าวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๒๑ คงได้มีการปะทะกันระหว่าง ทหารม้า(ผม) กับทหารราบแล้ว ฯพณฯ ท่านเคยทราบบ้างไหมครับ?
แล้ว ฯพณฯ ท่านก็เสวยสุข เอาแต่เพื่อน ๆ และคนคอยประจบสอพลอ มาใช้อย่างใกล้ชิด ทำผิดระบบ คุณธรรม ( MERIT SYSTEM )ทางการ จึงทำให้ทหารซึ่งเป็นเครื่องมือหลักในการปัองกันประเทศต้องอ่อนแอลง นับตั้งแต่ ฯพณฯ เป็น ผบ.ทบ. เป็นต้นมา แล้ว ฯพณฯรู้ไหมว่า จะมีคนยิง ฯพณฯ ที่หนองคุง แต่ผมก็ต้องเอาตัวผมกัน ฯพณฯท่านไว้
ที่ผมเล่ามานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งตอนที่ ฯพณฯ ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารบก เมื่อ ๑ ตุลาคม ๒๕๒๑ ผมชั่วใช่ไหมครับ ?
สมัคร สุนทรเวช สัมภาษณ์ ด่าว่าเอาหมาขี้เรื้อนที่ไหนมาเป็น ผบ.ทบ.พ.อ.ประจักษ์ สว่างจิต รู้จึงได้ไปว่านายสมัคร ครับ ผมชั่วใช่ไหมครับ? ที่ทำให้ท่านเป็นผู้บัญชาการทหารบก
ฯพณฯ ท่านครับ ใครเป็นคนไปกับ ฯพณฯ ที่เข้าไปพักบ้านสี่เสา จนถึงปัจจุบัน ทั้งที่ พล.อ กฤษณ์ สีวะรา บอกผมว่า บ้านสี่เสาอนุญาตให้ พล.ร.อ สงัด ชะลออยู่ พักแทนท่านเพราะตอนนั้นท่านอยู่สวนพุดตาน ผมชั่วใช่ไหมครับ?
ฯพณฯ ท่านสั่ง(เซ็นเซอร์)ผม ทั้งๆ ที่ผม SAFE ชีวิตฯพณฯท่าน ตลอดเวลา ทำคุณบูชาโทษ นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งในการเป็น ผบ.ทบ.ของ ฯพณฯ ท่าน ยังมีอีกครับ
ส่วนตอนที่สอง คือ เดือนพฤษภาคม ๒๕๒๒ ฯพณฯท่านเป็นรัฐมนตรีการกลาโหม และตอนที่สาม คือ เดือนมีนาคม ๒๕๒๓ ฯพณฯท่านเป็นนายกรัฐมนตรี (แล้วผมจะอธิบายรายละเอียดในการปฎิบัติที่แสนยากเข็ญอย่างไร? ) รวมทั้ง เบื้องหลัง ๑ เมษายน ๒๕๒๔ และ ๙ กันยายน ๒๕๒๘ ครับ ...
ในคืนวันหนึ่งกลางเดือนกันยายน ๒๕๒๑ ฯพณฯ จำได้ไหมว่า ฯพณฯ พูดว่า ต้องเป็นเดี๋ยวนี้ ที่บ้านพัก ผช.ผบ.ทบ. (สวนรื่น) ถ้าไม่ได้ก็ต้องยึดอำนาจ ผมเป็นผู้เรียนฯพณฯว่า (...เซ็นเซอร์....) ฯพณฯ พยักหน้า ผมก็สั่งเตรียมกำลัง
หลังจากนั้น ผมและพ.อ.แสงศักดิ์ ฯ พ.ท.ชายชาญ เทียนประภาส จึงไปบ้าน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี พล.อ. เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ และเข้าไปในคืนวันนั้นเลย และไปเรียนขอตำแหน่งผบ.ทบ.ให้ ฯพณฯ ท่าน
ปัญหากองทัพที่เป็นวิกฤตมาจากสมัยท่านเป็น ผบ.ทบ.และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มาจนถึงทุกวันนี้ ทำให้กองทัพอ่อนแอ และแตกความสามัคคีเช่น ปล่อยให้มีการโกงทุกระดับ ทั้งผู้บังคับหน่วย,ข้าราชการทุกระดับ ( การจัดซื้อ ,จัดจ้าง รับเหมก่อสร้าง ) โดยเฉพาะการจัดซื้ออาวุธยุทธโทปกรณ์ที่ไร้ประสิทธิภาพ
ท่านปล่อยนายทหารที่มีโอกาสโกง ดูผลจากความมั่นคง ร่ำรวย ของนายทหารทุกชั้นยศ ที่ทำงานเกี่ยวกับการเงิน นายทหารที่เคยยากจน เดี๋ยวนี้มั่งคั่ง,ร่ำรวยผิดปกติ เช่น พล.อ.(เซ็นเซอร์) ,พล.อ.(เซ็นเซอร์) ,พล.อ.(เซ็นเซอร์) โดยเฉพาะ พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ ซึ่งกระทำผิดกฎหมายเรื่องบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ (เขายายเที่ยง) และยังมีอีกว่า(ครั้งหนึ่งฯพณฯท่านเคยพูดกับผมว่า พล.อ.สุรยุทธ ฯ ไม่มีปมด้อย และ ครั้งหนึ่งเมื่อก่อนเดือนกันยายน ๒๕๒๑ ฯพณฯ ท่านเคยพาพวกผมไปบ้านของ ฯพณฯ ท่านเองที่เขาใหญ่ก่อนที่ ฯพณฯ ท่านจะเป็นผบ.ทบ. )เช่นกัน...
ยังมีอีกเรื่องคือ พ.ท.ชายชาญ เทียนประภาส ยังเป็นคนสำคัญและเป็นหลักช่วย ฯพณฯ ท่านโดยไม่หวังผลอะไรเลย ซึ่งตอนนั้น ฯพณฯ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ฯ เป็นนายกฯ ก็เชื่อในเหตุผลของ พ.ท.ชายชาญ ฯ และสนับสนุน ฯพณฯ ให้เป็น ผบ.ทบ.
แต่พ.ท. ชายชาญก็มาถูกยิงที่ จ.อุบลราชธานี ในเขตพื้นที่ กองทัพภาคที่ ๒ ซึ่งตอนนี้ ฯพณฯ ท่านเป็น ผบทบ. รมว.กลาโหม และ นายกรัฐมนตรี จนป่านนี้เวลาล่วงเลยมา ๒๘ ปีแล้ว แต่ฯพณฯ ท่านคงรู้อยู่แก่ใจว่าใครเป็นคนสั่งยิง พ.ท. ชายชาญ เทียนประภาส ฯพณฯ ท่านต้องรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ฯพณฯ ท่านคิดว่าสมัยนั้น ฯพณฯ ท่านได้ทำถูกต้องตามหลักคุณธรรมและบริหารประเทศดีแล้วหรือ ครับ...?
ขอแสดงความนับถือ
พล.ต.(ลายมือชื่อ)
( มนูญกฤต รูปขจร )
โทร. ๐๒-๕๑๒๕๒๕๒
โทรสาร ๐๒-๕๑๒๒๕๕๒
คดีไม่โปร่งใส ...ก็ต้องพิสูจน์ก่อน....อย่าเพิ่งตัดสิน...เรื่องDNAควรจะมีหน่วยงาน จากหน่วยกลางอาจจะเป็นอังกฤษ หรือประเทศที่3ก็ได้ คือเรารับไม่ได้จริงๆ ถ้าเขาไม่ได้ทำ..(ดูหน้าตาตอนเข้าแถวสิ... ถ้าไม่ได้ทำน่าสงสารมาก ) คนสงสัยครึ่งประเทศก็ต้องพิสูจน์สิ..!! แล้วให้ประเทศที่3 สรุปอีกที ....
แค่นี้ก็แก้ข้อกังขาได้แล้ว...!! ดูโปร่งใส และมีศักดิ์ศรี ด้วย