ไขความลับเรื่องเหมียว ๆ ทำไมแมวชอบเลียเจ้าของ
เจ้าของแมวหลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไม๊...ทำไม แมวของคุณถึงชอบเดินมาเลียนัก ทั้ง ๆ ที่ดุก็แล้ว ตีก็แล้ว ผลักออกก็แล้ว แต่สุดท้ายก็ยังเดินเข้ามาเลียคุณอยู่ดี ในวันนี้เราก็เลยหยิบข้อสงสัยเหล่านั้นมาเฉลยกัน เจ้าของเหมียวทั้งหลายจะได้หายข้องใจและเข้าใจแมวของคุณกันมากขึ้นว่า พฤติกรรมการเลียของแมวนั้นมีที่มาจากอะไรบ้าง
1. สร้างความสัมพันธ์กับแมวตัวอื่น
แมวไม่ได้เลียขนให้กัน เพราะแค่ต้องการช่วยกันทำความสะอาดในจุดที่ไม่สามารถทำความสะอาดได้ด้วยตัวเอง อย่างเช่น บนศีรษะ ในใบหู หรือใต้คาง แต่การที่แมวเลียให้กันแบบนี้ยังเป็นการสร้างและเพิ่มความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแมวด้วยกันเอง ดังนั้นถ้าหากแมวเดินเข้ามาเลียคุณก็แสดงว่า แมวอยากจะเพิ่มความสัมพันธ์กับพวกคุณอย่างไรล่ะ
2. แสดงความรัก
หากแมวของคุณพยายามจะใช้ลิ้นเลียผิวให้รู้เอาไว้เลยว่า แมวกำลังแสดงความรักกับเจ้าของ เหมือนกันที่แม่แมวแสดงความรักกับลูก ๆ ของพวกมันด้วยการช่วยทำความสะอาดขนด้วยลิ้น ในขณะเดียวกัน การเลียนั้นยังหมายความว่า แมวรู้สึกเป็นครอบครัวเดียวกับเจ้าของ เพราะเวลาอยู่ใกล้เจ้าของจะทำให้รู้สึกมีความสุขและปลอดภัยนั่นเอง
3. ผ่อนคลายความเครียด
ความเครียด เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้แมวชอบเลียขนตัวเองบ่อย ๆ เพื่อเป็นการปลอบประโลม และสร้างความสบายใจให้กับตัวเอง เมื่อตกอยู่ในสภาวะหรือเหตุการณ์เคร่งเครียด นอกจากนี้หากแมวไม่เลียขนตัวเองก็อาจจะใช้ลิ้นเลียสิ่งของอื่น ๆ อย่างเช่น ผ้า พลาสติก รวมไปถึงการเลียผิวของเจ้าของคลายความเครียดด้วยก็เป็นได้
วิธีป้องกันแมวเลีย
หากเจ้าของไม่อยากให้แมวเลียมือ ใบหน้า หรือส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เพราะกลัวว่าแมวอาจเป็นอันตราย เจ้าของไม่ควรใช้วิธีผลักไสไล่ส่งแมว เพราะอาการเหล่านี้จะทำให้แมวรู้สึกสับสน หากเป็นไปได้ควรจะใช้ของเล่น อาหาร ขนม หรือสิ่งของที่แมวชอบมาเบี่ยงเบนความสนใจของแมว ก่อนที่แมวจะเข้ามาเลียเจ้าของนั่นเอง
คราวนี้ก็หวังว่าเจ้าของแมวทุกคนคงจะเข้าใจถึงพฤติกรรมของแมวกันมากขึ้นแล้วนะคะ และหากคุณไม่สามารถห้ามไม่ให้แมวเลียได้ ก็ลองนำวิธีของเราไปใช้กันดู ซึ่งวิธีนี้นอกจากจะช่วยลดความเครียดของแมวได้แล้ว ยังเป็นวิธีที่ช่วยป้องกันพฤติกรรมการเลียของแมวได้ดีอีกด้วย
พฤติกรรมต่างขั้วสุดฮา ระหว่างโฮ่งกับเหมียว
ไข่ กับ คอเรสเตอรอล
โดนฝรั่งหลอกว่าไข่ไก่กินไม่ดี ไขมันสูง ลองมาอ่านของจริงบ้างเป็นอย่างไร เราโง่มานานแล้ว
คลอเรสเตอร์รอลมันเกิดจากการกินอาหารเพียง 20 %แต่มันสร้างโดยตับเราเองถึง 80% แล้วการสร้างอนุมูลอิสระตัว HDL ซึ่งเป็นตัวมีประโยชน์ต่อร่างกายได้ดีที่สุดคือ การกินไข่ จะได้เพิ่มถึง 48% เชียวนะ
ภาวะสมองเสื่อม..กับไข่ไก่ มีประโยชน์มาก...โปรดอ่านและเผยแพร่แก่ผู้ใกล้ชิดด้วย เห็นว่ามีคุณค่าและเป็นประโยชน์ จึงอยากเผยแพร่ต่อ.... หากใครได้ดูรายการ 'ข้อเท็จจริง..วันนี้' ทางช่องยูบีซี 7 ที่มีการการพูดคุยกับ ศ.นพ.รุ่งธรรม ลัดพลี เกี่ยวกับ เรื่อง 'ภาวะสมองเสื่อม..กับไข่ไก่ ' เรื่องที่มีการการสนทนากันนั้น พอจับใจความหลักๆ ได้ว่า ... จากค่านิยมเดิมๆที่ทราบกันว่า การบริโภคไข่ทุกวัน นั้น จะไปเพิ่มระดับคลอเลสเตอรอลในเลือด
คุณหมอบอกว่า อยากให้เลิกค่านิยมดังกล่าวเสียเพราะข้อเท็จจริงในปัจจุบันนั้น ไข่นับว่าเป็นอาหารราคาถูก ปรุงง่าย แต่ มากด้วยคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุดการที่หลายๆคนมีระดับคลอเสลเตอรอลในเลือดสูงนั้น เป็นเพราะตับทำงานไม่มีประสิทธิภาพเอง คุณหมอยังกล่าวอีกว่า สำหรับคนที่มีระดับคลอเลสเตอรอลสูงในระดับ 200 นั้น หากทานไข่แล้ว มันไปเพิ่มอีกเพียง 20 แต่ตรงกันข้ามประโยชน์ที่ได้จากการทานไข่ มันมากกว่าไอ้ส่วนที่ไป เพิ่มระดับคลอเลสเตอรอลในเลือด เป็นเพราะอาการเลือดในสมองน้อยหรือเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ การ รับประทานไข่ ทุกวันๆละอย่างน้อย 2 ฟอง จะช่วยได้มาก
คุณหมอยังอ้างถึงและพูดถึงผู้สูงอายุว่าการบริโภคไข่ทุกวันนั้น ไม่มีปัญหาดังที่เราๆเข้าใจกันแบบผิดๆ คุณหมอรักษาผู้สูงอายุหลายๆคนที่มาให้การรักษาในหลายๆโรค ขนาดอายุ 80 กว่า คุณหมอยังแนะนำให้ทานไข่วันละ 2 ฟอง
ผลก็คืออาการของโรคที่รักษาบรรเทาลง คนไข้มีอาการดีขึ้นกว่าเดิมมาก จากที่เดินไม่ค่อยได้ก็กลับมาเดินได้.......นี่เป็นตัวอย่างหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ไข่มีหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นไข่ไก่,ไข่เป็ด,ไข่นกกระทา, และอีกหลายๆชนิด แต่ไข่ไก่ดีที่สุดในกลุ่ม ส่วนการนำมาประกอบอาหารนั้นแล้วแต่ใจชอบ ประกอบอาหารแบบไหนได้ทั้งนั้น คุณหมอเสริมว่า ส่วนของไข่ที่ดีที่สุดนั้น อยู่ที่จุดๆหนึ่งในไข่แดงที่มีลักษณะคล้ายๆเส้นใยยึดส่วนอื่นๆไว้ (หากไม่เคยสังเกต ก็ลองเตาะไข่ดิบดู) พร้อมกันนี้ ได้มีการยกแผนภูมินำมาประกอบว่าประเทศไทยมีการบริโภคไข่ต่อคนมากน้อยเพียงใด ปรากฎว่า ต่ำกว่าหลายๆประเทศที่เจริญแล้ว โดยประเทศที่บริโภคไข่ต่อคนสูงสุดก็คือญี่ปุ่น รองๆลงมาก็มีจีนแดง, สหรัฐอเมริกา, ฯลฯ คุณหมอยังให้ข้อคิดว่า ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ประชาชนส่วนใหญ่มีสติปัญญาที่ดี ทำไมอาหารมื้อเช้าทุกวัน ยังมีไข่เป็นส่วนประกอบเสมอ และทานกันทุกวัน แต่เรากลับยึดถือแต่ค่านิยมเรื่องคลอเลสเตอรอล.... การบริโภคไข่จะช่วยบำรุงสมองเป็นอย่างดี
อย่าไปสนใจพวกอาหารเสริมที่โฆษณากันเลย ไข่นี่แหละสุดยอดของอาหารแล้ว หากอยากฉลาด ต้องทานไข่ คุณหมอยังเสริมว่าภาวะเลือดที่ข้นเกินไป จะไม่เป็นผลดี เพราะการนำสารอาหารไปหล่อเลี้ยงร่างกายจะไม่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นควรดื่มน้ำสะอาดให้มากๆในแต่ละวัน .....
http://www.youtube.com/watch?v=AZYAMPrRbQ4 59..
วันสวรรคตพระองค์ดำ
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช จอมกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งกรุงศรีอยุธยา ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์นั้นต้องกรำศึกสงครามเรื่อยมา แม้กระทั่งวาระสุดท้ายของพระองค์ ประวัติศาสตร์ล้วนบันทึกต้องกันว่า พระองค์ทรงมีพระราชประสงค์ทำสงครามกับกรุงอังวะ จึงให้ยกกองทัพใหญ่ไปสองทาง ทางหนึ่งให้สมเด็จพระเอกาทศรถพระอนุชาธิราชทรงยกกองทัพผ่านเมืองฝาง ส่วนสมเด็จพระนเรศวรทรงยกกองทัพใหญ่อีกทัพผ่านเมืองหาง(ห้างหลวง) แล้วให้สองทัพบรรจบเข้าตีกรุงอังวะพร้อมกัน ความแตกต่างก็บังเกิดขึ้นเมื่อประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่บันทึกไว้ว่า ขณะที่สมเด็จพระนเรศวรเดินทัพผ่านเมืองหางนั้น พระองค์ก็ทรงประชวรด้วยฝีละลอกที่พระพักตร์แล้วกลายเป็นพิษ ประชวรอยู่สามวันก็เสด็จสวรรคต
แต่พงศาวดารฉบับคำให้การของชาวกรุงเก่าบันทึกไว้ว่า “...พระนเรศวรก็ยกทัพจากเมืองหางไปทางตำบลเขาเขียว เทพารักษ์ซึ่งรักษาเขาเขียวนั้นบันดาลให้พระองค์สวรรคตบนคอช้างพระที่นั่งพิษณุราชา ณ ตำบลเขาเขียวนั้น...” ส่วนพงศาวดารฉบับคำให้การของขุนหลวงหาวัด ให้รายละเอียดมากไปกว่านั้นว่า “...ครั้นเสด็จการมงคลพิธีแล้ว พระองค์ก็ยกไปเมืองหงสา จึงทรงช้างพระที่นั่งสุวรรณปฤษฎงค์ก็พ้นเมืองทางไกลได้ ๗ วัน จึงพ้นไปหน้าเขาเขียว ดงตะเคียนใหญ่ จึงมาศาลนางเทพารักษ์อยู่ที่ต้นตะเคียนใหญ่ มีอานุภาพศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก เสนาจึงทูลเสด็จให้ลงจากช้างพระที่นั่ง เมื่อจักมีเหตุมานั้น พระนเรศร์จึงถามเสนาว่าเทพารักษ์นี้เป็นเทพารักษ์ผู้หญิงหรือผู้ชาย เสนาจึงทูลว่า อันเทพารักษ์เป็นนางศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก พระนเรศร์จึงตรัสว่า อันเทพารักษ์นี้เป็นแต่นางเทพารักษ์ดอก ถ้าจักเป็นเมียเราก็จักได้ เราไม่ลงจากช้าง ครั้นพระนเรศร์ตรัสดังนี้แล้ว ก็ทรงช้างพระที่นั่งผ่านหน้าศาลเทพารักษ์นั้นไป จึงเห็นตัวแมลงภู่บินมาตรงหน้าช้าง แล้วก็เข้าต่อยเอาที่อุณาโลม พระนเรศร์นั้นก็สลบอยู่กับหลังช้างพระที่นั่ง แล้วก็เสด็จสู่สวรรคตที่ตรงหน้าเขาเขียว...
” พงศาวดารทั้งสองฉบับนี้คล้ายจะระบุว่าเป็นเพราะสมเด็จพระนเรศวรไม่ทรงทำความเคารพศาลนางเทพารักษ์ที่หน้าเขาเขียวนั้น นางเทพารักษ์จึงบันดาลให้แมลงภู่มาต่อยที่พระอุณาโลมของพระองค์จนสวรรคตในทันที นายแพทย์วิบูล วิจิตรวาทการ ได้เขียนวิเคราะห์ถึงเรื่องนี้ไว้ว่า “รวมความแล้วในทรรศนะของแพทย์สมัยใหม่จึงขอสันนิษฐานว่า สมเด็จพระนเรศวร วีรบุรุษแห่งกรุงสยาม สิ้นพระชนม์เมื่อพระชนมายุได้ ๕๐ พรรษา ขณะที่ประทับอยู่บนคอช้าง เดินช้างผ่านต้นตะเคียนใหญ่ หน้าเขาเขียว และมีผึ้งขนาดใหญ่บินมาต่อยที่หน้าระหว่างคิ้ว เกิดอาการแพ้แบบรุนแรง ทำให้หมดสติ ความดันโลหิตลงต่ำ หยุดหายใจ และหัวใจหยุดเต้น ถึงแก่ความตายทันที”
ในขณะที่พงศาวดารบางฉบับระบุว่า เมื่อสมเด็จพระเอกาทศรถเดินทัพไปถึงเมืองฝางนั้นทรงได้รับข่าวว่าพระเชษฐากำลังประชวรหนักอยู่ที่เมืองหาง(ห้างหลวง) จึงรีบเสด็จไปถึงในวันอาทิตย์ เดือน ๖ ขึ้น ๗ ค่ำ ปีมะเส็ง พ.ศ.๒๑๓๖ รุ่งขึ้นวันจันทร์ เดือน ๖ ขึ้น ๘ ค่ำ เพลาบ่ายแล้ว ๒ บาท สมเด็จพระนเรศวรก็สวรรคต นี้ก็เป็นการระบุชัดว่าสมเด็จพระเอกาทศรถทรงไปทันได้เข้าเผ้าพระเชษฐาที่เมืองหาง สมเด็จพระนเรศวรมิได้ทรงสวรรคตบนคอช้างแต่อย่างใด ซึ่งก็เป็นความขัดแย้งกับพงศาวดารอีกสองฉบับอย่างสิ้นเชิง เป็นธรรมดาที่ประวัติศาสตร์มีความผิดพลาดคลาดเคลื่อน เนื่องจากในสมัยนั้นการบันทึกประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่เป็นการเล่าต่อๆกันมาแบบปากต่อปากแล้วจึงเขียนขึ้นในยุคหลัง ตามความคิดเห็นของผมแล้วสมเด็จพระนเรศวรน่าจะถูกผึ้งต่อยที่พระอุณาโลม เป็นเหตุให้ทรงประชวรด้วยพระอาการฝีละลอกที่พระพักตร์กลายเป็นพิษ แล้วจึงเสด็จสวรรคต โดยก่อนสวรรคตได้ทรงรับสั่งเป็นการส่วนพระองค์กับพระอนุชาธิราชเจ้า มิได้ทรงเสด็จสวรรคตบนคอช้างแต่อย่างใด ผมนำมาเสนอโดยมีเจตนาเพื่อให้ทุกท่านได้เห็นในมุมมองที่แตกต่าง และเป็นข้อคิดว่าอย่าได้เชื่อทุกอย่างที่บันทึกในพงศาวดารมากจนเกินไป จงใช้วิจารณญาณในการแยกแยะจริงเท็จ ขอบคุณครับ...
พระธาตุ : ห้ามผู้หญิงเข้า
รู้ไปโม้ด
โดย...น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com
|
มีผู้บันทึกถึงปุจฉาและวิสัชนาว่าด้วยการห้ามผู้หญิงผ่านเข้าไปในบริเวณพระเจดีย์ธาตุของถิ่นล้านนาในเว็บไซต์เชียงราย โฟกัส โดยระบุว่า ครั้งเรียนวัฒนธรรมล้านนากับศาสตราจารย์เกียรติคุณ มณี พยอมยงค์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ พ.ศ.2549 ผู้รอบรู้ยิ่งในล้านนาคดี ท่านอาจารย์เล่าว่า
"ตั้งแต่บรรพกาลมาแล้ว ในตำนานจามเทวีวงศ์ กล่าวถึงเรื่องสงครามระหว่างขุนหลวงวิลังคะ ซึ่งเป็นเจ้าเมือง กับพระนางจามเทวี (พระนางเจ้าจามเทวี บรมราชนารี ศรีสุริยวงศ์ องค์บดินทร์ ปิ่นธานีหริภุญชัย) เนื่องมาจากว่าขุนหลวงวิลังคะพึงใจในพระนางจามเทวี อยากจะอภิเษกสมรส แต่พระนางจามเทวีคงจะไม่ทรงปรารถนา จึงได้บอกว่า ถ้าเจ้าพี่สามารถออกแรงพุ่งสะเน่า ซึ่งเป็นหอกซัด จากเมืองพิงค์ มาตกบริเวณหน้าลานพระราชวัง จะอภิเษกสมรสด้วย
แต่ชาวบ้านก็กลัวว่าจะพุ่งสะเน่าไปตกในเวียงได้จริง เลยใช้วิธีการแยบยล โดยเอาผ้าถุงซึ่งเปื้อนเลือดประจำเดือนของพระนางจามเทวี ไปทำเป็นพระมาลา (หมวก) พร้อมกับทำหมากพลู โดยป้ายน้ำที่เป็นประจำเดือนที่ใบพลู จากนั้นส่งไปบรรณาการขุนหลวงวิลังคะ พอขุนหลวงฯ สวมหมวกนั้น แล้วก็เคี้ยวหมาก อำนาจฤทธิ์ที่เคยเบ่งกำลังพุ่งสะเน่าไปไกลเป็น 20-30 กิโลเมตร ก็ลดน้อยถอยลงมาก พุ่งออกมาแค่นอกเวียงพิงค์ไม่ถึงกิโลฯ จึงเป็นเหตุให้เกิดความเชื่อกันมา"
และด้วยเชื่อว่าประจำเดือนของผู้หญิงจะทำให้เสื่อมเกียรติยศ เสื่อมมนต์ จึงไม่เหมาะควรให้ผ่านเข้าไปในอาณาพระบรมธาตุซึ่งประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุอันศักดิ์สิทธิ์อยู่ และยังมีความเชื่อว่า หากผ่านเข้าไปหญิงผู้นั้นจะตกขึด (หมายถึงกาลกิณี เสนียด จัญไร) จะไม่สบาย จะมีความวิบัติต่างๆ
|
ประวัติย่อพระนามจามเทวี
กำเนิดหญิง “วี”
พระนางจามเทวีตอนกำเนิดเป็นเด็กหญิง “วี” ที่ท่านพระฤๅษีสุเทพได้บันทึกไว้ในสุพรรณบัตร เราสุเทพฤๅษีแห่งอุจฉุตบรรพต (เขาไร่อ้อยหรือดอยสุเทพ) ณ ระมิงค์นคร ขอจารึกกำเนิดของกุมารีนามว่า “วี” มาให้มวล นิกรทั้งหลายได้รู้แจ้งดังนี้
กุมารน้อยนี้ พญาปักษีพามาจากบุรพนคร เราจึงช่วยชิงเอาไว้ ณ สุวรรณบรรพต (ดอยคำ) ใกล้อาศรมแห่งปู่ย่าผู้บรรพบุรุษ พญาปักษีได้ปล่อยกุมารีตกลงมาท่ามกลางต้นปทุมสระหลวง เราจึงได้สักการะอธิษฐาน กุมารีนี้ จึงลอยขึ้นบน “วี” วันนี้ก็เป็นวันพระจันทร์เต็มดวง ปีมะโรง พุทธศก ๑๑๗๖ (ขึ้น ๑๕ ค่ำ) เดือน ๕ วันพฤหัสบดี ปีมะโรง ตรงกับเดือน ๗ เหนือ ออก ๑๕ ค่ำ ปีสีฯ
· ดวงชะตาเจ้าแม่แปลกประหลาด
ตามเกณฑ์ดวงชะตาเจ้าแม่จามเทวีแปลกประหลาด จึงได้ให้นักพยากรณ์ลองผูกดวงดู ตามทัศนของ
พระฤๅษีกล่าวว่า เกณฑ์เลขชะตาเจ็ดตัว วันกำเนิดก็ ๕ ตัว เดือนก็ ๕ ปีก็ ๕ ยังขึ้น ๑๕ ค่ำอีกด้วย กุมารนี้ประมาณชันษาได้ ๓ เดือนแล้ว ด้วยเหตุฉะนี้เราจึงกระทำพิธีมงคลนามตามกำเนิดเพื่อเป็นสิริมงคล เราได้ทราบด้วยญาณว่า “กุมารีนี้เป็นบุตรตรีของชาวบ้านหนองดู่ ในบุรพนคร (ต่อมาเปลี่ยนเป็นหริภุญชัย) เราจึงมอบให้กากะวานรและบริวารเลี้ยงกุมารีน้อยนี้ ณ สุวรรณบรรพต และได้สอนศิลปวิทยาให้จวนจบชนมายุได้ ๑๓ ปี เป็นเวลาที่กุมารีนี้จักได้มาช่วยอุปถัมภ์กำราบ อริราชศัตรู ณ แคว้นเขมรัฐ อันกุมารีนี้ยังจักเป็นคู่เสน่หาของเจ้าชาย เขมรัฐ ซึ่งเดินหลงทางพนาเวศน์ไปยังเราเมื่อ ๔ ปีโน้น จึงได้ทำพิธีประกอบนายายนต์ให้กุมารี พร้อมทั้งกากะวานร และบริวารรวม ๓๕ ตัว เดินทางโดยลำน้ำระมิงค์ถึงกรุงละโว้ฯ
ตามตำนานกล่าวว่า พระนางจามเทวี เกิดที่บ้านหนองดู่ ไปโตดังที่ละโว้ (ลพบุรี) ได้มาครองเมืองลำพูนตามคำเชิญของพระฤๅษี จึงได้เป็นกษัตริย์องค์แรกของเมืองลำพูน พระนางจามเทวี เป็นบุตรีของท่านเศรษฐี นามว่า อินตา มารดาชื่อว่า... เป็นชาวเม็ง (มอญ) ราษฎรบ้านหนองดู่ อำเภอซาง จังหวัดลำพูน พราะนางจามเทวีเกิดเวลาจวนจะค่ำ วันพฤหัสบดี เดือน ๕ ปีมะโรง ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ พุทธศักราช ๑๑๗๖ ในระหว่างอายุได้ประมาณ ๓ เดือน กำลังนอนเบาะ ได้มีนกใหญ่ตัวหนึ่งบินเข้ามาจวบเอาพระนางจามเทวีขณะที่พ่อแม่ไปธุระ นกใหญ่บินเข้าจวบขึ้นบนท้องฟ้า พระนางจามเทวีได้ร่วงหล่นลงมายังกลางสระบัวหลวง ร่างของพระนางก็ค้างอยู่บนกองบัวเป็นที่น่าอัศจรรย์ พระฤๅษีเกิดไปพบเข้าจึงนึกในใจว่า ทารกนี้มีเหตุการณ์อย่างประหลาด ชะลอยจักไมใช่ทารกธรรมดาสามัญ เห็นทีจะมีบุญญาธิการสูงส่ง จึงได้สัตย์อธิษฐานว่า ผิว่าทารกหญิงคนนี้ ประกอบด้วยบุญญาธิการ จะได้เป็นใหญ่ในเบื้องหน้าแล้วไซร้ ขอให้ “วี” ของเรานี้รองรับร่างของทารกไว้ได้โดยมิต้องร่วงหล่นเถิด และก็น่าอัศจรรย์ยิ่งนักเมื่อเราเอา “วี” (วี แปลว่า พัด) ยื่นไปช้อนร่างทารกน้อยวัย ๓ เดือน ก็สามารถอยู่บน “วี” อย่างอัศจรรย์ จึงเลยให้นามทารกนี้ว่า “หญิงวี”
ต่อมาเมื่ออายุได้ ๑๓ ปี พระฤๅษีได้จัดส่งพระนางไปตามลำน้ำปิงพร้อมกับมีวานร จำนวน ๓๕ ตัว ติดตามไปด้วย เมื่อพระนางไปถึงท่าฉนวนหน้าวัด เชิงท่าตลาด ลพบุรี อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี นาวายนต์ก็ลอยวนไม่เคลื่อนที่ไปทางใดจนกว่าทั้งรุ่งแจ้ง ประชาพลเมืองได้เห็นต่างโจษขานกันอึงคนึง บ้างก็เข้าไปพยายามดึงนาวาเข้าฝั่ง แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ จึงได้รับแจ้งแก่เสนาบดี และก็ได้รับทราบถึงพระเนตรพระกรรณของพระเจ้าอยู่หัว ดังกล่าว กษัตริย์ทั้งสองแห่งกรุงละโว้ ก็ทรงตื้นตันด้วยความเวทนาในธิดายิ่งนัก เสด็จมารับเอาไปเป็นบุตรธิดาอยู่ได้ ๓ วัน ก็จัดให้มีงานฉลอง และเจิมพระขวัญพระราชธิดา แต่งตั้งให้เป็นพระเอกราชธิดา แห่งนครละโว้ และให้ปุโรหิตจารึกพระนามลงในแผ่นสุพรรณบัตรว่า“ เจ้าหญิงจามเทวี ศรีสุริยะวงศ์ บรมราชขัติยะนารี รัตนกัญญาละวะบุรี ราเมศวร ” เป็นราชทายาทแห่งนครละโว้ ในวาระดิถีอาทิตยวาร ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ปีมะเมีย พุทธศักราช ๑๑๙๐ เมื่อสิ้นประกระแสพระราชดำรัสก็ได้ยินเสียงถวายพระพรพระธิดากันเซ็งแซ่ พระนางจามเทวีมีพระราชดำรัสตอบว่า ข้าฯ ขอกล่าวต่อสิ่งศักดิ์สิทธิอันพิทักษ์รักษากรุงละโว้ว่า ข้าฯ จะเป็นมิตรที่ดีต่อท่านทั้งหลาย จะขอปกปักษ์พิทักษ์รักษาอาณาจักรละโว้ด้วยชีวิต จะปฏิบัติทุกท่างที่จะหาความสุขให้ทั่วพระราชอาณาจักรแห่งนี้ เมื่อกระแสพระราชดำรัสจบลง เสียงปี่พากษ์มโหรีก็บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี ชาวประชาก็ถวายพระพร ขอให้เจ้าหญิงจงทรงพระเจริญ ๆ ๆ แล้วข้าวตอกดอกไม้ของหอมก็ถูกโปรยทั่วบริเวณ พระพิรุณก็โปรยปรายความชุ่มเย็นจากฟากฟ้าเป็นละอองทั่วกรุงละโว้ เป็นที่อัศจรรย์อย่างยิ่ง
เมื่อพระนางจามเทวี อายุได้ ๒๐ ปี ในวันพฤหัสบดี ข้างขึ้น เดือน ๖ พุทธศักราช ๑๑๙๖ ขาวกรุงละโว้ (ลพบุรี) ก็มีประราชพิธีสำคัญคือ พระราชพิธีหมั้นระหว่างเจ้าชายรามราชกับเจ้าหญิงจามเทวี ในวันรับหมั้นก็มีมหรสพสมโภชน์เอิกเกริก บรรดาเจ้าเมืองทั้งหลายก็ส่งเครื่องบรรณาการกันอย่างมโหฬารอีกครั้งหนึ่ง
อันความงามของเจ้าหญิงเลื่องลือไปทุกแคว้น จนกระทั่งเจ้าชายผู้เป็นพระราชโอรสพระเจ้ากรุงโกสัมภี (พม่า) เกิดลุ่มหลงไม่เป็นอันกินอันนอน จนพระราชบิดาต้องแต่งเครื่องบรรณาการให้อำมาตย์เชิญพระราชสาสน์มาสู่ขอพระราชธิดาพระเจ้ากรุงละโว้ ในปี ๑๑๙๖ ขณะนั้นเจ้าหญิงทรงรับหมั้นแล้ว จึงได้ปฏิเสธการรับหมั้น ฝ่ายทางกรุงโกสัมภีหาว่าละโว้บ่ายเบี่ยงก็แค้นอยู่ในใจ
· พม่าเสียใจความรักไม่สมหวัง
ในราวเดือนอ้าย ปลายปีพุทธศักราช ๑๑๙๖ พม่าเมืองโกสัมภีก็ยกทัพใหญ่ เพียบพร้อมด้วยพระประยูรญาติ ทางกาลิงครัฐก็รวมกำลังเป็นกษัตริย์เข้าบุกละโว้
ทางนครรามบุรี (ทัพกษัตริย์) คือ แม่ทัพล้วนแต่เป็นราชโอรส ราชนัตตา หรือเจ้าผู้ครองทั้งนั้น ทุกกองจะมีกองหน้า กองหลวง กองหลัง เต็มอัตราศึก แสนยานุภาพของ โกสัมภีและกาลิงครัฐก็พุ่งเข้าบดขยี้นครรามบุรีอย่างบ้าคลั่ง น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ นครรามบุรีรีบแจ้งข่าวศึกใหญ่มายังกรุงละโว้ กษัตริย์ละโว้ทรงทราบก็ตกพระทัยนั่งอึ้งมิอาจตรัสสิ่งใดได้ ทั่วท้องพระโรงเงียบกริบ
· พระนางจามเทวีอาสาออกศึกสงครามกับพม่า
ในการออกสงครามกับพม่าครั้งนี้ ทางฝ่ายบิดามารดาและพระนางต่างปรึกษาหารือกันอยู่เป็นเวลานาน
กว่าจะตกลงกันได้ ในที่สุดก็ตกลงมอบหน้าที่ให้พระนางจามเทวีเป็นแม่ทัพออกศึกสงครามกับพม่าเพราะพระฤๅษีสั่งว่า พระราชธิดานี้จะมาช่วยบำราบอริราชศัตรู และจากเหตุการณ์ที่ล่วงมาก็แสดงว่า พระราชธิดานี้มีบุญญาธิการแก่กล้านักเห็นทีศัตรูจะทำอันตรายมิได้เป็นแน่ จึงตกลงอนุญาตและถามเจ้าหญิงว่าจะเดินทัพเมื่อไร เจ้าหญิงทูลว่าจะไปวันนี้ เจ้ากรุงละโว้ก็ให้อำมาตย์ไปอาราธนาสมเด็จพระสังฆราชเจ้าเข้ามายังพระอารามหลวงโดยพร้อมเพรียงกัน เมื่อพิธีเจิมเฉลิมชัยเจ้าหญิง ฝ่ายเจ้าหญิงทรงรับสั่งให้ขุนศึกทั้งหลายเตรียมทัพ และให้พี่เลี้ยงทั้งสองจัดทัพหน้าหญิง ๕๐๐ คน ชาย ๑๐๐๐ คน กับกากะวานรและวานรที่ติดตามมาตั้งแต่ระมิงค์นครทั้ง ๓๕ ตัว ที่เกิดใหญ่ไม่เอาให้รีบจัดก่อน เมื่อทำพิธีทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย พระนางตรัสว่าเพื่อปิตุภูมิเราจะขอทำหน้าที่และยอดสละชีวิตก่อนท่านทั้งหลาย และศึกครั้งนี้หนักนักเป็นศึกกษัตริย์อันมิควรจะพบกันบ่อยครั้งนัก บรรดาแม่ทัพของเขาล้วนแต่เป็นโอรสและราชนัดดาของนครต่างๆ ทั้งโกสัมภี และกาลิงครัฐ
พระนางประกาศว่าถ้าผู้ใดมิเต็มใจไปราชการด้วยครั้งนี้เราจะมิเอาโทษทัณฑ์ประการใด จะปลดปล่อยทันที เมื่อรับสั่งจบบรรดาเหล่าทหารก็โห่ร้องถวายพระพรกันเซ็งแซ่ ทุกคนของปฏิญาณว่าจะขอตายเพื่อประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ทั้งนั้น ทันใดนั้นท้องฟ้าก็แจ่มใสเห็นศุภนิมิตรอันดี กษัตริย์กรุงละโว้ก็ทรงมอบพระแสงอาญาสิทธิ์แก่เจ้าหญิง ทันใดนั้นธงชัยประจำตัวแม่ทัพก็สบัดชายให้เห็นพื้นธงสีฟ้าริมขาว ส่วนกลางของธงซึ่งมีรูปมงกุฎราชกุมารีลอยอยู่เหนือดวงอาทิตย์โบก สบัดอยู่ไปมาติดตามแม่ทัพอย่างกระชั้นชิด เมื่อเดินทัพมาใกล้นครเขื่อนขัณฑ์ (กำแพงเพชร) เจ้าหญิงจึงทรงอักษรไปยังเจ้ารามฯ ว่า หญิงมาช่วยแล้วขอให้เจ้าพี่ทิ้งเมืองเสียเถิด ให้อพยพชาวเมืองลงมาก่อน แล้วเจ้าพี่รับทำหน้าที่นำทัพมาพ้นเทือกเขาขุนกาฬบรรพต ในระหว่างที่มีการสู้รบกันอยู่นั้นพลเมืองต่างก็พากันหนีออกจากเมือง เมื่อทัพโกสัมภียึดนครได้ก็กลายเป็นนครร้างเสียแล้ว เพราะราษฎรอพยพกันหมดสิ้น ต่อมาแม่ทัพทั้งสองก็ได้สู้รบกันอีก จนต่างฝ่ายมีอาหารการกินร่อยหรอลงไป เจ้าหญิงก็ทรงพระอักษรขึ้น ๑ ฉบับ ส่งให้โอรสแห่งโกสัมภีว่าอันสงครามครั้งนี้เหตุก็เกิดจากเรื่องส่วนตัวระหว่างเจ้าพี่กับหม่อมฉัน มิควรที่จะให้ชีวิตของทวยราษฎร์ทั้งหลายจักต้องมาล้มตายกัน จะเป็นที่ครหานินทาแก่หมู่เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลายเปล่าๆ ขอเชิญเจ้าพี่แต่งกายทหารมาทำการสู้รบกันตัวต่อตัวให้เป็นขวัญตาแก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินเถิด
จอมทัพแห่งโกสัมภีเมื่อรับพระราชสาสน์จากเจ้าหญิงจึงได้ทรงทราบว่าสตรีที่ตนรักเป็นจอมโยธาจะต้องมาประหัตประหารกัน ก็ทรงวิตกไปหลายประการและก็แว่วว่าเจ้าหญิงทรงเป็นศิษย์พระฤๅษี คาถาอาคมก็คงจะเชี่ยวชาญ มิฉะนั้นไหนเลยจะต้องมาเป็นแม่ทัพ ต่อจากนั้นอีกสองวันทั้งสองฝ่ายก็จัดแม่ทัพออกสู้กันตัวต่อตัว ล่วงไปได้ ๖ วันในการต่อสู้ขุนศึกโกสัมภีตาย ๒ คน ละโว้ตาย ๑ คน วันที่ ๗ จอมทัพโกสัมภีจะต้องต่อสู้กันตัวต่อตัว เจ้าหญิงก็นึกถึงบิดา พระฤๅษีสุเทพ เสี่ยงสัจจะอธิษฐานในบุญกรรม และแล้ววันรุ่งขึ้นก็ย่างมาถึง วันนี้เป็นวันแห่งประวัติศาสตร์ กลองศึกถูกรัวเร้าจังหวะ ขณะที่ทางโกสัมภีตกตลึงอยู่นี้ใยเจ้าพี่มัวยืนเหม่ออยู่ด้วยเหตุอันใด หม่อมฉันขอเชิญเจ้าพี่มาประลองฝีมือกันอย่าให้ทหารทั้งหลายต้องพลอยยากลำบากด้วยเราเลย เจ้าชายได้สติจึงเอ่ยขึ้นว่า การศึกครั้งนี้ใยพระนางต้องทำพระวรกายมาให้เปรอะเปื้อนโลหิตอันมิบังควรสำหรับสตรีเพศ หรือว่าละโว้นั้นสิ้นแล้วหรือซึ่งผู้ชายชาตรี เจ้าหญิงตรัสว่า อันละโว้จะสิ้นซึ่งชายชาตรีนั้นหามิได้ แต่ว่าหม่อมฉันเป็นราชธิดาแห่งเสด็จพ่อเสด็จแม่เป็นเอกธิดาภายใต้เศวตฉัตร อันสตรีก็มีใจ บุรุษก็มีใจ ผิว์ว่าหม่อมฉันพลาดพลั้งเจ้าพี่ก็เอาชีวิตหม่อมฉันไปเถิด ถ้าเจ้าพี่พลาดพลั้งก็ขอได้โปรดอภัยให้แก่หม่อมฉัน เมื่อต่างฝ่ายต่างโต้คารมกันไปมานานพอสมควรก็ใกล้เที่ยงวัน เจ้าชายโกสัมภีก็ตรัสขอเชิญเจ้าหญิงพักเหนื่อยกันก่อนเถิดเพราะบ่ายอ่อนเราจึงมาต่อสู้กันใหม่ เจ้าหญิงก็ทรงเห็นด้วย
ครั้งแล้วเวลานั้นก็มาถึง ทั้งสองเจ้าก็เริ่มประดาบกันใหม่ภายใต้ร่มโพธิ์อันร่มรื่น เจ้าหญิงทรงยืนเป็นสง่า ทั้งคู่ต้องมาประหัตประหารกันด้วยหน้าที่ เมื่อปี่ชะวาครางขึ้น ทั้งคู่ก็เริ่มเข้าประหารกันอีก เมื่อดาบทั้งสี่เริ่มกระทบกันจากช้าเป็นเร็ว ต่างฝ่ายผลัดกันรับและรุกเป็นเวลานาน คนดูต่างใจหายใจคว่ำ ครั้งแล้วเจ้าชายก็เสียเชิงถูกพระแสงดาบเจ้าหญิงเฉี่ยวเข้าที่พระกรก็ตกใจชักม้าเบนห่าง กากะวานรเห็นดังนั้นก็พุ่งเข้าคว้าธงไชย จอมทัพโกสัมภีเข้าหักยับด้วยกำลัง ทหารทั้งปวงก็อลหม่านทั้งไพร่และนายแตกตื่นกันชุลมุน กองทัพโกสัมภีก็แตกร่นไม่เป็นขบวน ต่างชิงหนี้เอาตัวรอด ทหารละโว้ตามตีไม่ลดละจึงต้องหนีทั้งกลางวันและกลางคืน เจ้าชายแห่งโกสัมภีแค้นพระทัยเสียรู้ เสียพระทัย เสียทัพยับเยิน จะอยู่ไปใยให้ขายหน้าและสุดที่ผู้ใดจะช่วยทัน ด้วยทิฏฐิมานะแห่งขัติยะก็รงเอาพระแสงดาบเชือดเฉือนพระศอของตนเองจนสิ้นชีพตักษัย ทันใดก็มีเสียงร้องต่อๆ กันว่า เจ้าชายโกสัมภีสิ้นพระชนม์ฯ ขอให้ทหารทุกคนยอมอ่อนน้อมต่อละโว้เถิด มีเสียงบอกต่อๆ กันจนฟังให้อึงคนึงไปหมด เจ้าหญิงจึงประกาศให้ทัพปลอดอาวุธทางโกสัมภี แล้วเจ้าหญิงก็ยุติการสู้รบและให้ทั้งสองฝ่ายตรวจความเสียหาย แล้วเจ้าหญิงทรงพระบัญชาให้ทหารรีบไปเอาปรอทยังนครสุวรรณบรรพต และให้ต่อพระศอเจ้าชายโกสัมภีแล้วตรอกปรอทบรรจุพระศพเจ้าชายโกสัมภีเป็นที่เรียบร้อยแล้วให้ทหารนำศพกลับเมืองโกสัมภี เป็นอันว่าสงครามรักสะเทือนใจของประชาชนก็ยุติฯ
· เสด็จสงครามเจ้าจามเทวีก็อภิเษกสมรส
เมื่อเหตุการณ์ทั้งหลายสงบเรียบร้อย พระเจ้ากรุงละโว้และพระมเหสีก็ทรงดำริว่า สมควรจัดให้ราชธิดากับเจ้าชายรามทรงอภิเษกสมรส ทางเจ้ากรุงละโว้ทรงให้เขียนประกาศแจ้งไปยังหัวเมืองต่างๆ อย่าให้เมืองใดขาดได้ เมื่อได้ฤกษ์งามยามดีตรงกับวันข้างขึ้นเดือน ๖ ปีขาล พุทธศักราช ๑๑๙๘ พระนางจามเทวีกับเจ้าชายรามฯ ก็ได้อภิเษกสมรสเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต่อมาก็มีพระราชพิธีมอบราชสมบัติ อัญเชิญเจ้ารามฯ ขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติครองนครกรุงละโว้เพื่อเป็นมิ่งขวัญชาวละโว้ต่อไป เหตุการณ์พระนางจามเทวีจะเป็นประการใดโปรดอ่านตำนานเมืองหริภุญชัย ลำพูนต่อไป
คำกราบไหว้พระนางจามะเทวี
ยา เทวี จามะเทวีนามิกา อภิรูปา อโหสิ ทัสสะนียา ปาสาทิกา พุทธสาสเน จะ อะภิปะสันนา, สา อตีเต เมตตายะ เจวะ ธัมเมนะ จะ หะริภุญชะยะธานิยา รัชชัง กาเรสิ, หะริภุญชะยานะคะระวาสีนังปิ มะหันตัง หิตะสุขัง อุปาเทสิ, อะหัง ปะสันเนนะ เจตะสา ตัง วันทามิ สิระสา สัพพะทาฯ
พระเทวีพระนามว่า จามะเทวี มีพระรูปเลอโฉม ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก, ในอดีตกาล พระนางได้ครองเมืองหริภุญชัยด้วยพระเมตตา และเป็นธรรม, สร้างสรรค์ประโยชน์สุข แก่ชาวเมืองหริภุญชัยอย่างมากมาย, ข้าพเจ้ามีใจเลื่อมใจศรัทธา ขอกราบไหว้พระนางด้วยเศียรเกล้าตลอดกาลฯ
ภาพที่ไม่ค่อยเห็น สมเด็จพระบรมฯในฉลองพระองค์ชุดนักกีฬา ทรงฟุตบอล..ทรงพระเจริญ
แอ๊บแบ๊วการเมือง
>>>>>ส่งต่อมาจากตำรวจชั้นผู้ใหญ่ น่าคิดมากกกก
ถึงพี่น้องเสื้อแดง ที่เคารพ
กรณีโกตี๋
พี่น้องเสื้อแดงที่ได้ต่อสู้กันมาเป็นเวลายาวนาน
โดยเฉพาะบุคคลที่ คร่ำหวอดในวงการตั้งแต่ก่อนยุคฟ้าเปิด ก่อนทหารเข็นรถถังออกมาปี 49 คงเพิ่งเคยได้ยินชื่อ "โกตี๋" !!
โกตี๋ คือ ใคร ?
ทำไมชื่อเขาถึงฟังดูเป็นพวกหัวรุนแรงนัก ?
โกตี๋ อดีตหัวคะแนนพรรคประชาธิปัตย์ หากินกับนักการเมือง ปชป. ที่เมืองปทุมมายาวนาน
คนในพื้นที่เค้ารู้จักกันดี บางคนบอกว่าเค้าเป็นพ่อค้าขายแก๊ส ดีเจวิทยุชุมชน ฯลฯ
หลังสลายการชุมนุม 53 ชื่อของโกตี๋ยังไม่ปรากฏ!
ชื่อของเขา มาโด่งดัง ติดลมบน ก็เมื่อเริ่มจะเข้าสู่โหมดเลือกตั้งใหญ่ 2554
เขามาพรัอมกับข่าวความรุนแรง
วีรกรรมแรก พามวลชนคนเสื้อแดงเข้าปะทะกับกลุ่ม พธม. ที่กองปราบมวลชนบาดเจ็บ รถโกตี๋ถูกทุบยับเยิน
หลังจากนั้นก็มีอีกหลายวีรกรรม
ที่ทุกครั้ง ไม่เคยสร้างชื่อเสียงให้เสื้อแดงเลย
เหตุการณ์ทางการเมือง ในปี 2556-2557
ชื่อของโกตี๋ ถูกหยิบยกเป็นประเด็นให้ฝ่ายตรงข้ามพูดถึงเสมอ
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นอีกบุคคล
ที่ใช้ชื่อของโกตี๋ โจมตี ฝ่าย ปชต. บนเวที กปปส.
สถานการณ์ขณะนี้ ชื่อของโกตี๋ ดูเหมือนจะเป็นตัวเรียกแขก ตั้งแต่ระดับล่างอย่างป๊อปคอร์น ไปจนถึง เลขา กปปส. และที่น่าจับตา คือ คนอย่าง ผบทบ.ทำไมถึงให้ความสำคัญกับชื่อ โกตี๋นัก ?
เหตุการณ์ที่หลักสี่ โกตี๋ หนีไปตั้งแต่ช่วงบ่าย แต่ป๊อปคอร์นมาตอน 16.00 น.!
เหตุการณ์ขึ้นป้ายแบ่งแยกดินแดน โกตี๋ ยอมรับว่าเป็นคนขึ้นป้าย จน ผบทบ.แจ้งเอาผิด กปปส.สื่อ เอามาเป็นประเด็นโจมตี ว่าแดงจะแยกประเทศ!
เหตุการณ์ กปปส.บุกวิทยุลำลูกกา ขนอาวุธสงครามมาเต็มรถตู้ กราดยิงใส่ลูกกระจ๊อก!! แต่ทำไม เป้าหมายไม่ใช่โกตี๋ ?
เหตุการณ์ยิงถล่มโกตี๋ ล่าสุดที่แม่สอด จ.ตากไม่รู้คนร้ายโง่ หรือบ้า กระหน่ำยิงร่วม 10 นาที แต่เลือกเวลาที่โกตี๋ไม่อยู่ แถมไม่มีใครเป็นอะไร ?
เหตุ คปท ถูกดักยิงหน้าวัดบัวขวัญ ทำไม ? คู่หูดูโอ้โกตี๋ ลุงยิ้ม ตาสว่าง ถึงโพสfb ว่า.. โกตี๋จะแจกกระสุนให้ คปท.? จากนั้น คปท ถูกยิงดับ 1 (นี่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ!!)
ทำไม! คนอย่าง ผบทบ.ถึงต้องทะเลาะกับโกตี๋ ?
ทำไม! คนอย่าง ผบทบ.ถึงให้ราคากับโกตี๋นัก ?
ทำไม! คนอย่าง ผบทบ.ถึงออกมารับลูกทุกครั้งที่โกตี๋ไปสร้างวีรกรรม ?
คำถามคือ....... โกตี๋ รับงานใครมา ??????
ปี 49 เรามี เตมูจิน
ปี 57 เรามี โกตี๋ !!!
Cr.
Thiti Smarnmitr
รัสเซีย
รู้ไปโม้ด
โดย...น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com
จากศูนย์รัสเซียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดร.รมย์ ภิรมนตรี ผู้อำนวยการศูนย์ อรรถาธิบายไว้ว่า ลักษณะนิสัยของชาวรัสเซียนั้น นักเขียนอเมริกัน ฮามิลตัน สมิธ (H. Smith) ได้เขียนไว้ว่า "ใจกว้าง อ่อนไหว ไม่รับผิดชอบ ทำงานไม่เป็น" ขณะที่กวี อันเดรย์ วัสนีเซียนสกี (A. Voznesensky) กล่าวถึงนิสัยของชนชาติตนว่า "ชาวรัสเซียชอบวรรณกรรมราวกับว่าเป็นจิตวิญญาณของตน" "ชาวรัสเซียเป็นชนชาติที่รักการอ่าน" "เราสามารถพูดคุยในเรื่องต่างๆ กันได้ทั้งวัน" "เราอยากจะให้เศรษฐกิจของเราเหมือนตะวันตก แต่ก็กลัวสูญเสียความรู้ที่ไม่สามารถนำมาปฏิบัติจริงได้ คงจะเป็นเพราะว่าเราขี้เกียจเกิน ไป ซึ่งมันก็เป็นข้อ เสีย แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นข้อดี"
จากการศึกษาของนักสังคมวิทยาชาวรัสเซียในเรื่องพื้นฐานทางความคิดที่มีผลต่อลักษณะนิสัยของชาวรัสเซีย คือนิทานสำหรับเด็ก เพลงและเพลงกล่อมเด็กที่เด็กรัสเซียทุกคนได้ฟังมา บทพิสูจน์อย่างหนึ่งตามทฤษฎีนี้คือ การที่ชาวญี่ปุ่นเป็นชนชาติที่ขยันเพราะนิทานสำหรับเด็กญี่ปุ่นจะเน้นเรื่องคติเตือนใจเกี่ยวกับการประสบความสำเร็จที่มาจากการทำงานหนัก เช่น เรื่องมดต้องทำงานหนักและมีอาหารกินตลอดฤดูหนาว เป็นต้น ในขณะที่เด็กรัสเซียฟังนิทานเกี่ยวกับ "อีวานโง่" ซึ่งที่จริงแล้วกลายเป็นว่าเมื่อแกล้งโง่กลับได้ของวิเศษต่างๆ ที่ช่วยดลบันดาลให้มีทุกสิ่งทุกอย่างได้โดยไม่ต้องทำงาน
เมื่อวิเคราะห์ชีวิตจริงของชาวรัสเซียแล้วก็เห็นคล้อยตามนักสังคมวิทยาที่พยายามชี้ว่า การที่ชาวรัสเซียต้องประสบกับความทุกข์ยากแสนสาหัสจากการทำสงคราม การตกเป็นทาสของมองโกล-ตาตาร์ในฐานะทาสติดที่ดิน ตลอดจนจากภัยสงคราม การปฏิวัติและการปฏิรูป และเพื่อให้ชีวิตอยู่รอดในสถานการณ์ดังกล่าวทำให้ต้องหลอกตนเอง ให้กำลังใจตนเอง ระมัดระวัง อดทน รอปาฏิหาริย์มากกว่าจะทำให้เกิดขึ้นด้วยมันสมองและสองมือของตน ซึ่งเห็นได้จากภาษิตและ คำพังเพยต่างๆ
เช่น "ไปช้าๆ แต่ไปได้ไกล" (ไม่ต้องรีบร้อน) "คนดีพระเจ้าคุ้มครอง" (เชื่อมั่นในตัวเอง, รอความช่วยเหลือจากผู้อื่น) "รีบทำไปทำไมเดี๋ยวใครก็หัวเราะเยาะ" (ทำงานไม่ต้องรีบร้อน, ทำไปเรื่อยๆ เพราะทุกคนก็ทำเรื่อยๆ เหมือนกัน) "งานไม่ใช่หมี มันไม่วิ่งหนีเข้าป่า" (ทำงานไม่ต้องรีบร้อน, ทำไปเรื่อยๆ) "บ้านไม่ได้อยู่ที่นี่เลยไม่รู้เรื่องอะไร" (ขาดความรับผิดชอบต่อสังคม, ไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว) เป็นต้น
สังคมรัสเซียเป็นสังคมอุปถัมภ์ที่เหนียวแน่น ชาวรัสเซียที่เป็นเพื่อน เป็นญาติ หรือเป็นพ่อ แม่ พี่ น้อง มักช่วยเหลือกันในทุกด้านหากมีโอกาส แม้จะยุ่งยากลำบาก เสี่ยงภัยหรือผิดกฎหมาย เหตุนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นักการเมืองนิยมแต่งตั้งหรือสนับสนุนให้เพื่อนๆ หรือญาติๆ เข้าดำรงตำแหน่งต่างๆ ในขณะเดียวกันหากเพื่อนๆ หรือญาติๆ เหล่านั้นทำผิดหรือถูกกลั่นแกล้งก็จะปกป้องและช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือคณะรัฐมนตรีของประธานาธิบดีตั้งแต่สมัยประธานาธิบดี บอริส เยลต์ซิน ถึงคณะรัฐมนตรีของประธานาธิบดีดมิทรี เมดเวเดฟ นั้นส่วนใหญ่แล้วเป็นการแต่งตั้งเพื่อนๆ ขึ้นดำรงตำแหน่ง หรือไม่ก็เป็นเพื่อนของเพื่อนที่มีความสนิทสนม
จากความช่วยเหลือที่ไม่มีข้อจำกัดดังกล่าว ทำให้ความเคารพและนับถือระหว่างบุคคลยังคงมีอยู่ ซึ่งเป็นข้อแตกต่างจากชาวยุโรปตะวันตกและชาวอเมริกัน ลูกๆ ชาวรัสเซียจะยังคงเคารพและนับถือพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย และเลี้ยงดูกันไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ส่วนเพื่อนๆ ก็จะคบและช่วยเหลือกันไปตลอดชีวิต เช่นกัน
การ์ด กปปส.พกระเบิด ทำให้เกิดระเบิดได้รับบาดเจ็บ ระเบิดบริเวณสะพานช้างโรงสี ข้างมหาดไทย เบื้องต้นมีเจ็บ 2 ราย ช.1 ญ.1 ส่ง รพ.กลาง
ฮึ๊บ !! กูจะร้องไม่ได้ สาวๆ มองอยู่ จ๊าก ส์์์์ืืืสสส
ข้อแนะนำการใช้ยา
1. ยาก่อนอาหาร กินก่อนอาหารครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง ยกเว้นยาบางชนิดที่มีข้อแนะนำพิเศษ
2. ยาหลังอาหาร กินหลังอาหารสิบห้านาทีถึงครึ่งชั่วโมง
3. ยาหลังอาหารทันที ให้กินหลังอาหารทันที เช่น ยาลดการอักเสบปวดข้อหรือกล้ามเนื้อ
4. ยาพร้อมอาหาร กินพร้อมอาหาร ในมื้อนั้นๆ
5. ยาผงผสมน้ำกินฆ่าเชื้อสำหรับเด็ก หลังจากผสมน้ำแล้วไม่ควรใช้เกิน 7 วัน ขณะที่ไม่ใช้ยา ควรเก็บยาในตู้เย็นชั้นใต้ช่องแข็งลงมา ห้ามเก็บไว้ในช่องแช่แข็ง
6. ยาหยอดตา หลังเปิดใช้แล้ว จะเก็บไว้ได้ไม่เกิน 1 เดือน โดยทั่วไปจะเก็บในตู้เย็นชั้นใต้ช่องแข็งลงมา ห้ามเก็บในช่องแช่แข็ง
7. ยาป้ายตา หลังเปิดใช้แล้วจะเก็บไว้ได้ไม่เกิน 1 เดือน ในอุณหภูมิห้องปกติ
8. ยาเก็บในตู้เย็น เก็บในอุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส หรือชั้นใต้ช่องแข็งลงมา ห้ามเก็บในช่องแช่แข็ง
9. การเก็บรักษายาทั่วไป ควรเก็บไว้ในที่แห้ง และพ้นจากแสงแดด
10. อาการแพ้ยา หากกินยาแล้ว มีอาการผิดปกติเกิดขึ้น เช่น มีผื่นคันตามตัว มีจ้ำที่ผิวหนัง หน้ามืด แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก หรือใจสั่น ให้หยุดยา และมาปรึกษาแพทย์ทันที
"ยา" หมายถึง สารหรือสารเคมีที่มีฤทธิ์ต่อสิ่งมีชีวิต และไม่ใช่อาหาร
ใช้ในการป้องกัน รักษา หรือบำบัดโรคต่างๆในคนและสัตว์
เพื่อให้พ้นจากการทรมาน หรือความเจ็บปวดจากโรคภัยต่างๆ
ยาเป็นหนึ่งในปัจจัย 4 ที่มีความสำคัญในการดำรงชีวิตของมนุษย์
ยามีทั้งประโยชน์และโทษ ดังนั้นในการใช้ยาจึงควรมีความรู้
ที่ถูกต้อง เพื่อจะได้ใช้ยาให้เกิดประโยชน์
ข้อแนะนำการใช้ยาทั่วไป
-
ก่อนใช้ยาต้องอ่านฉลากให้เข้าใจเสียก่อน ปฏิบัติตามข้อแนะนำ
โดยเคร่งครัด อย่าใช้ยาที่ไม่มีฉลากยาปิด
-
ยาก่อนอาหาร กินก่อนอาหาร 1/2 - 1 ชั่วโมง
-
ยาหลังอาหาร กินทันทีเมื่ออิ่มหรือไม่เกิน 15 นาที
-
ยาก่อนนอน กินถัดจากมื้อเย็นไม่ต่ำกว่า 4 ชั่วโมง
-
ถ้าลืมกินยาครั้งใด ห้ามกินเพิ่มในครั้งต่อไปเด็ดขาด
ให้กินตามที่กำหนดบนฉลากเท่านั้น
-
ยาที่มีลักษณะสี กลิ่น หรือรส เปลี่ยนแปลงไปจากปกติ แสดงว่า
เสื่อมคุณภาพแล้ว ควรทิ้งเสีย
-
เมื่อมีอาการผิดปกติหลังการใช้ยา ให้หยุดใช้ยาทันที
ถ้ามีอาการมาก ให้รีบปรึกษาแพทย์
-
เก็บยาในที่แดดส่องไม่ถึง และให้พ้นมือเด็ก
ยาที่ใช้ภายนอกและภายใน เก็บไว้แยกกัน
ข้อแนะนำการใช้ยาปฏิชีวนะ
-
ใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร
และใช้ให้ครบและตรงตามเวลา
-
ถ้ามีอาการผิดปกติ เช่น เกิดอาการแพ้รีบพบแพทย์
-
ยาปฏิชีวนะจะออกฤทธิ์ได้ดีในขณะท้องว่าง
ควรกินยาก่อนอาหาร 1/2 - 1 ชั่วโมง
หรือหลังอาหาร 2 - 3 ชั่วโมง
-
ไม่ควรกินพร้อมนม น้ำอัดลม และเบียร์
-
ผู้ที่เป็นหวัด คัดจมูก เป็นไข้ แต่ไม่เจ็บคอ
ไม่จำเป็นต้องกินยาปฏิชีวนะ
เพราะยาปฏิชีวนะเป็นยาที่รักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรีย
จึงไม่มีผลกับเชื้อไวรัส
(หวัดเกิดจากเชื้อไวรัส อาการเจ็บคอเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย)
ข้อมูลประกอบ
ยาชุด ยาร้าย ท่านอาจได้รับอันตรายเนื่องจาก
1. ได้รับยาเกินความจำเป็น
2. ผลข้างเคียงจากยาบางอย่าง
3. เชื้อโรคดื้อยาเพราะใช้ยาไม่ครบขนาด
4. ยาปลอมหรือยาเสื่อมคุณภาพที่อาจผสมอยู่
5. ใช้ยาผิดวิธี
6. ใช้ยาซ้ำซ้อนเกินชนาด
7. พิษของยาบางอย่าง
Sujit Wongthes
สงกรานต์ ขึ้นปีใหม่แขกพราหมณ์อินเดีย ไม่ใช่ปีใหม่ไทย
ขึ้นปีใหม่ไทยและอาเซียนแห่งอุษาคเนย์ ราว 3,000 ปีมาแล้ว อยู่ช่วงพฤศจิกายน หลังลอยกระทง ที่ตระกูลไทย-ลาว เรียก เดือนอ้าย คือ เดือน 1 (อ้าย แปลว่า หนึ่ง)
ปีนักษัตร (ชวด, ฉลู, ขาล, เถาะ ฯลฯ) เปลี่ยนตอนเดือนอ้าย (ไม่ใช่ปีศักราช) อันเป็นประเพณีพื้นเมืองดั้งเดิมของกลุ่มอาเซียน ที่รับแบบแผนจากจีน (นักค้นคว้าบอกว่า จีนรับจากเปอร์เซียอีกทอดหนึ่ง) ไม่รับจากอินเดีย เพราะนักปราชญ์บอกว่าไม่มีในอินเดีย
ราวหลัง พ.ศ. 1000 บ้านเมืองในอาเซียนรับอารยธรรมอินเดียที่มากับศาสนาพราหมณ์และพุทธ จากนั้นราชสำนักอาเซียนรับพิธีสงกรานต์จากพราหมณ์ มีมหาสงกรานต์ช่วงเมษายน
ศักราช (เช่น มหาศักราช, จุลศักราช, ฯลฯ) เปลี่ยนตอนสงกรานต์ เมษายน ตรงกับปฏิทินจันทรคติ เดือน 5 (ไม่เกี่ยวกับปีนักษัตร เพราะไม่มีในอินเดีย)
สรุปแล้ว บ้านเมืองและรัฐในอาเซียนช่วงหลัง พ.ศ. 1000 มีประเพณีขึ้นปีใหม่ต่างกัน 2 กลุ่ม
ราชสำนัก ขึ้นปีใหม่เดือน 5 ตอนสงกรานต์ เมษายน
ราษฎร ขึ้นปีใหม่เดือนอ้าย หลังลอยกระทง พฤศจิกายน
หลังลอยกระทง ขึ้นเดือนอ้าย ของปีนักษัตรใหม่ เป็นช่วงเวลาเก็บเกี่ยวพืชพันธุ์ธัญญาหาร(ของบรรพชนคนอาเซียนตั้งแต่ 3,000 ปีมาแล้วเป็นอย่างน้อย แล้วทำสืบเนื่องมา) จะเสร็จสิ้นถ้าเรียกตามปฏิทินจันทรคติราวเดือน 3 (กุมภาพันธ์)
แต่นี้ไปถือเป็นเข้าหน้าแล้ง ตลอดเดือน 4 (มีนาคม) และเดือน 5 (เมษายน) ทำมาหากินอะไรไม่ได้ ต้องนั่งๆ นอนๆ รอฤดูฝนที่จะเริ่มใหม่ตอนเดือน 6 (พฤษภาคม) เป็นต้นไป
ช่วงหน้าแล้งที่ว่าง เป็นเวลาร่วมกันเลี้ยงผีบรรพชน ซึ่งรวมถึงรดน้ำดำหัวขอขมาปู่ย่าตายายในชุมชน แล้วมีการละเล่น (ในพิธีกรรม)
ผีบรรพชน หมายถึง ผีเรือน, ผีบ้าน, ผีเมือง (เฉพาะผีบ้าน คือผีประจำชุมชน บางทีเรียกผีกลางบ้าน, ผีปู่ตา หรือผีปู่ตาบ้าน)
การละเล่นที่มีในช่วงนี้ เกี่ยวข้องกับเข้าทรงเข้าผีที่สิงอยู่ในเครื่องมือทำมาหากิน เช่น กระด้งฝัดข้าว เรียกผีนางด้ง, ครกสากตำข้าว เรียกผีครกผีสาก, ฯลฯ
นอกจากนั้น ยังมีการละเล่นดั้งเดิมของคนดึกดำบรรพ์ เช่น แข่งเกวียน, ชนวัว, ชนควาย, ชนช้าง, ชนคน (หัวล้านชนกัน?), ตีไก่, โยนลูกช่วง, ต่อยมวย, กระบี่กระบอง, ฯลฯ
หลัง พ.ศ. 1000 บ้านเมืองและรัฐในอาเซียนรับพิธีสงกรานต์ของพราหมณ์จากอินเดีย มีตอนเดือน 5 เมษายน ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับพิธีเลี้ยงผีบรรพชนที่ทำสืบกันมาก่อนนับพันปี แล้ว (ก่อนรู้จักพราหมณ์อินเดีย)
ราชสำนักจึงผนวกพิธีเลี้ยงผีเข้ากับพิธีสงกรานต์ของพราหมณ์ แล้วมีในกฎมณเฑียรบาล เรียกพิธีออกสนามใหญ่
แต่ชาวบ้านทั่วไปไม่มีสงกรานต์ เพราะสงกรานต์เป็นพิธีของพราหมณ์ขึ้นราศีใหม่
กว่าชาวบ้านจะรู้จักสงกรานต์ แล้วปรับพิธีกรรมเข้าด้วยกันให้เป็นผีเคลือบพุทธก็หลังกรุงแตก เข้าสู่กรุงธนบุรีกับกรุงรัตนโกสินทร์ โดยปรับพิธีเลี้ยงผีเป็นชักบังสุกุล และก่อพระทรายในพุทธศาสนา
สมชาย ตั้ง
Kitti Thanaopas
รีบกระจายด่วนที่สุด......กำนันและแกนนำ กปปส. เตรียมเผ่น ตอนนี้ให้ครอบครัวเดินทางลงใต้ แล้ว ปล่อยเอกณัฐ อยู่โยง ยันในกรุง
กระแสตีกลับ....หลัง ข่าว พรฎ. ออกมา เมื่อวาน กำนันหมุนเคว้ง 360 องศา ยิ่งวันนี้มีข่าว หน. ตลก. ถูกเรียกไปบ้านใหญ่แถวเขาดิน กำนันเรียกประชุมแกนนำเครียด หวั่นถูกปล่อยเกาะ เพราะลูกพี่ใหญ่หนีไปต่างประเทศหมด...เขาลือกันใน ปชป. ***เด็ดดอกไม้ สะเทือนถึงดวงใจ
พลเรือนโดยมากมักจะไม่เข้าใจ แก่นแท้ทางเทคนิคสำหรับ พรฏ.นี้ .. ผมอธิบายให้อ่านสั้นๆแบบภาษาชาวบ้านนะครับ
ปกติ ก.กลาโหม จะมี4ก้านดังนี้
1.สนง.รัฐมนตรี ทำหน้าที่ด้านการเมือง
2.สนง.ปลัดกระทรวง ทำหน้าที่ ทรัพยากรบุคคลของกลาโหม
3.กรมราชองครักษ์ ชื่อก็บอกอยู่แล้วนะ ว่าทำอะไร
4.กองทัพไทย หมายถึง บก.สส. ซึ่งคุม 3เหล่าทัพ บก เรือ อากาศ
ทีนี้ พรฏ.นี้ ทำให้เกิด ก้านที่5 ขึ้นมาโดยพลันนั่นคือ ** หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ **
ไคล์แมกซ์มันอยู่ที่ เดิมที หน่วยนี้ อยู่ในสังกัด บก.ทัพไทย เป็นส่วนหนึ่งของ กองทัพไทยซึ่งขึ้นตรงกับกลาโหมว่างั้นเถอะ แต่..พรฏ.นี้ทำให้เปลี่ยนไปคือ ..
หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ กลายเป็นก้านที่5ของกลาโหม เทียบเท่า กองทัพไทย ไม่ขึ้นตรงกับกองทัพไทย แต่ขึ้นตรงกับกลาโหม โดย..รมว.กลาโหม เป็นผู้ถืออำนาจ สั่งการตามพระบัณฑูรย์ ตามพระราชประสงค์ ของสมเด็จพระบรมฯ
กลายเป็น*กองทัพใหม่*ที่มีศักดิ์และสิทธิ เท่ากับ *กองทัพไทย* ไปโดยปริยาย ..
พลเรือนทุกๆท่านเห็นภาพมั้ยครับ ?? นึกภาพออกมั้ยครับ แม้นเป็นกองทัพที่มีกำลังพลแค่ 2-3หมื่นคน แต่ด้วยความเป็น *หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ * นั้น ไม่ธรรมดาแน่ๆ พลเอกคนไหนในกองทัพไทย ก็มาสั่งไม่ได้ ไม่มีสิทธิ์สั่งการทหารหน่วยนี้ คนที่สั่งได้มี3ท่านคือ
1.สมเด็จพระบรมฯ 2.รมว.กลาโหม 3.ปลัดกลาโหม คิดดูดิ ขนาด สมุหราชองครักษ์ ซึ่งถือเป็นจอมพลคนนึง ก็ยังสั่งการหน่วยนี้ไม่ได้เลยอ่ะ .. และที่น่าตื่นตลึงมากกว่านั้นคือ..
ทหารหน่วยนี้ ..การแต่งตั้งยศทหาร อยู่ในอำนาจของ ผบช.หน่วยนี้โดยเฉพาะเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับกองทัพไทยแต่อย่างใด .. !! โฮ้ววว...จอร์จจจ ...
เข้าใจกันยังครับ.. นี่คือการจัดตั้งกองทัพใหม่ โยให้อำนาจ รมว.กลาโหมและปลัดกลาโหม มากๆ..
เล่าเรื่องท่านนายกฯ บางแง่มุม
ผมเชื่อมาโดยตลอดนะว่า เราคนไทยทุกคน ทุกสี แม้นแต่สลิ่มก็ตาม ทุกคนรักประเทศนี้เหมือนกันหมด .. แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ *วิธีการรักชาติ*
ทุกวันนี้ ผมพยายามใช้แนวคิดเดียวกับท่านนายกฯเป็นตัวตั้ง เป็นกรอบ เวลาที่ต้องทำอะไรที่เกี่ยวพันถึงผู้อื่น กลุ่มอื่น ที่ไม่ใช่พวกเรา .. ท่านนายกฯเค้าคิดไงรู้มั้ย??
" ทุกคนเป็นประชาชนที่เราต้องรับใช้และดูแลเขา อย่าไปแค้นเคืองเวลาเค้าทำผิด อย่าไปโกรธเคืองเวลาเค้าด่าทอใส่เรา ถ้ามีโอกาสก็อธิบายให้เค้าเข้าใจ " ..
ยอมรับนะครับว่า วินาทีแรกที่ฟังท่านพูดจบ.. ผมสตั๊นท์ไปประมาณ 5นาที ..
เวลาใครเอาเรื่องอะไรของ กปปส.หรือ คปท.ไปฟ้องท่านนายกฯ จะต้องได้ยินประโยคนั้นทุกทีสิน่า.. ทุกท่านรู้หรือยังครับ ทำไมทุกคนที่ทำงานให้ท่านนายกฯคนนี้ ถึงมุ่งปกป้องท่านด้วยทุกอย่างที่ทุกคนมี ??
คนที่เคยทำงานกับท่าน แต่ถึงภาวะบังคับ เมื่อต้องกลายเป็นคนละขั้ว ต้องร้ายใส่ท่าน เชื่อไหมว่า ผู้ใหญ่หลายๆท่านที่ว่ากันว่า เป็นฝ่ายตรงข้ามกับท่าน บางท่าน ทำร้ายท่านนายกฯไม่ลงครับ.. ส่งซิกมาเพื่อนเตือนท่านให้รู้ตัวเสมอ เพราะสงสารท่าน
หลายๆท่าน ที่ตรงข้ามรัฐบาล ก็ไม่ได้ร้ายจนสุดขั้วนะครับ ก็แค่ยืนอยู่คนละฝั่ง ด้วยหน้าที่ ด้วยชาติกำเนิด ด้วยสภาวการณ์ ฯลฯ ท่านๆที่ว่าเหล่านี้นั้น ส่วนใหญ่ทราบกันดีครับ ว่าท่านนายกฯเป็นคนดีอย่างไร .. เขียนไปก็เหมือนอวยท่านนายกฯเปล่าๆ.. เอาเป็นว่า ถ้าท่านไม่ใช่คนดี เป็นนักการเมืองชั้นเลว เป็นคนติดลบ..
ท่านไม่สามารถยืนยงอยู่ได้แบบที่เราเห็นกันทุกวันนี้หรอกครับ..
หลายครั้งวิกฤตสุด จวนเจียนจะไปแหล่มิไปแหล่.. มักจะมีผู้ยื่นมือมาช่วยแบบไม่คาดฝันเสมอๆ ก็แปลกดีนะครับ .. สลิ่มบอกอิปูไม่ดี อิปูหนักแผ่นดิน อิปูเลวยังงั้นยังงี้ .. ถึงวิกฤตทีไร ปาฏิหารย์เกิดกับอิปูเสมอ
ท่านนายกฯเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งครับ และที่เหนือกว่าเข้มแข็งคือ ท่านเป็นคนที่คิดดีกับผู้อื่นเสมอ แม้นผู้นั้นได้ชื่อว่าศัตรู แม้นบางทีศัตรูเงื้อดาบกำลังจะบั่นคอท่าน ..ท่านก็ยังเชื่อว่า *เค้าจะไม่ทำ ถ้าทำจริงก็จะไม่หลบ* สุดท้ายก็มีคนมาขวางไว้เสมอครับ..ทนดูไม่ได้ กลัวมันทำจริง
ก็แปลกดี.. เป็นเรื่องที่แปลก ที่เรามักคุยๆกันเองในหมู่พวกเราอยู่บ่อยๆว่า..ท่านนายกฯห้อยพระอะไรวะ ?? สุดยอดแห่งความแคล้วคลาดจริงๆ..
ท่านมีอยู่2องค์นะ สลับใส่ เท่าที่ผมรู็ 1.นางพญาพิษณุโลก 2.พระรอดลำพูน
ใครอย่าไปปล้นท่านนะ..2องค์นี่ ซื้อมอไซค์ได้ประมาณ1พันคัน !!พี่ชายท่านให้มาทั้ง2องค์
#สุภาษิตบ้านไหนว่ะ
1. รู้อะไร ไม่สู้ .....รู้จากไลน์
2. ยามศึกเรารบ...ยามสงบเราแชท
3. สุราคือยาพิษ...เติมโซดาสักนิด ...เพื่อลดพิษของสุรา
4. เวร...ย่อมระงับด้วย การออกเวร
5. กระบี่ไม่ได้อยู่ที่ใจ..แต่อยู่ไม่ไกลจากพังงา
6. แพ้เป็นพระ.....นะยะเป็นตุ๊ด
7.เสือ 2 ตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้
..แต่เสือ 11 ตัวอยู่ซองเดียวกันได้
8. ชาติเสือต้องไว้ลาย...ชาติชายต้องไว้พุง
9. คบคนให้ดูหน้า..ซื้อผ้าตัองไปพาหุรัด
10. ตอนนี้ถ้ามีทองท่วมหัว...
ไม่ตัองมีผัวก็ได้
11น้ำลดตอผุด.กางเกงหลุดตอโผล่
12. รำไม่ดี...ไปเป็นโคโยตี้ดีกว่า
13. รู้อะไรไม่สู้ .....รู้งี้
14. น้ำร้อนปลาเป็น..
.น้ำเย็นกูไม่อาบ(ก็ปลายังตายอะ)
15. น้ำท่วมทุ่ง.....ไปรับถุงยังชีพ
16.ไม่เห็นโลงศพ เพราะไปผิดศาลา
17. ไม่เห็นน้ำยา.....ไม่สั่งหนมจีน
18. บุญคุณต้องทดแทน
ติดไฟแนนซ์ตัองชำระ