" ทำไมถึงเเกล้งกระเป๋ารถเมล์เขาอย่างนั้นล่ะโยม?..."
" เเล้วมาเสือกอะไรด้วยล่ะเณร?!!.."
เสียงตะคอกตวาดกลับอย่างไม่พอใจของเจ้าอันธพาลหัวโจกที่เป็นหัวหน้ากลุ่มของนักเลง 4-5 คน บนรถเมล์ขาวนายเลิศ ที่เสียงดังใส่สามเณรน้อย 2 รูป ที่นั่งอยู่เบาะหลังบนรถเมล์คันนั้น กับภาพที่อยู่ตรงหน้า เจ้าอันธพาลหัวโจกล้วงกระเป๋ากางเกงของมันเเล้วทำทีว่าจะชำระค่าโดยสารให้กับกระเป๋ารถเมล์ที่กำลังเดินจะมาเก็บค่าโดยสาร สักพักมันก็ทำเป็นเหรียญตกอยู่ตรงหน้าของมันเพื่อที่จะให้กระเป๋ารถเมล์ก้มเก็บเหรียญสตางค์ที่มันทำหล่น พอกระเป๋าจะก้มลงเก็บ เจ้าอันธพาลหัวโจกก็ใช้เท้าของมันเหยียบลงไปบนมือของกระเป๋าหนุ่มคนนั้นด้วยอาการยียวนกวนประสาท หนุ่มกระเป๋าโชคร้ายคนนั้นชักมือออกด้วยอาการเเสดงสีหน้าบ่งบอกถึงความเจ็บปวดท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างเย้ยหยันของพวกสัตว์นรกที่สิงสถิตย์อยู่ในร่างของคนกันเป็นที่สนุกสนาน
" มีปัญหาอะไรหรือเปล่าล่ะเณร? เรื่องนี้ไม่ใช่กิจของสงฆ์ เข้าจั๋ยยย?!!...."
สายตาของเณรเเดง ยังคงจ้องเหล่าอันธพาลเหลือขอเหล่านั้นด้วยสายตาที่หดหู่ เป็นไปได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือโลกมนุษย์? กากเดนของสังคมพวกนี้ ชีวิตของพวกเขาช่างด้อยค่าไร้ราคาเสียนี่กระไร สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านไม่มีที่สิ้นสุด เก่งได้เเต่เฉพาะคนที่อ่อนเเอกว่าหรือไม่มีทางสู้เท่านั้น หากรวมกลุ่มกันเมื่อไรล่ะก็ ความหยิ่งคะนองลำพองขน เกะกะระรานไปทั่วจนไม่มีผู้ใดจะกล้าตอเเยด้วย เณรหนุ่มนั่งคิดว้าวุ่นไปตลอดทางจนไม่รู้ว่าเหล่าอันธพาลเหล่านั้นลงจากรถเมล์ไปตั้งเเต่เมื่อไร
" ป้ายหน้าผ่านฟ้าเเล้ว ไม่ลงหรือไง?....." เณรอุดม สหายธรรมที่ไปเรียนปริยัติธรรมด้วยกันที่วัดราชาธิวาส เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบเพื่อที่จะได้เตรียมตัวลงให้พร้อม หลังจากลงรถเมล์ด้วยความสำรวมเป็นที่เรียบร้อยเเล้ว เณรหนุ่มทั้งสองก็เดินกลับเข้าวัดปรินายกอย่างเงียบๆโดยมีเณรเเดงเดินอยู่ข้างหลังไม่ห่าง เเละก็อีกไม่ไกลก็จะถึงกุฎิที่เณรทั้งสองจำวัดอยู่
" ท่าน...พรุ่งนี้เราจะสึก......"
เณรอุดม ที่เดินนำหน้าหยุดกึกทันที เเล้วจึงหันกลับมามองหน้าสหายธรรมที่มีความสนิทสนมกันยิ่งกว่าพี่กว่าน้องด้วยความงุนงงสงสัย ใครจะไปเชื่อละว่า เณรหนุ่มเปรียญ 3 ประโยคท่านนี้ เป็นลูกกำพร้าจากสามชุก สุพรรณบุรี ที่ท่องนวโอวาทยังกับท่องเเม่สูตรคูณ เสียงดังฟังชัด ความจำเป็นเลิศ ถึงขนาดพระเดชพระคุณครูบาอาจารย์เอ่ยชื่นชมอยู่ตลอดเวลา ว่าเณรหนุ่มรูปนี้ ต่อไปในภายภาคหน้าจะได้เป็นหัวเรี่ยวหัวเเรงกำลังสำคัญที่จะช่วยกันเผยเเผ่พระพุทธศานาสืบไป เเล้วนี่มันอะไรกัน? เหตุใดผ้าเหลืองจึงรุ่มร้อนได้ถึงขนาดนี้?
" ท่านพูดหยอกเราเล่น?..."
" เราพูดจริง "
" สึกเเล้วท่านจะไปทำอะไร? "
" เราจะไปเป็นกระเป๋ารถเมล์........."
นาย มงคล หอมระรื่น หรือเณรเเดง หลังจากสึกออกมาเป็นที่เรียบร้อย ก็ไปสมัครเป็นกระเป๋ารถเมล์อยู่ที่อู่ศรีนครทันที เเล้วก็มีเรื่องมีราวกับพวกอันธพาลกลุ่มต่างๆเเทบไม่เว้นเเต่ละวัน เด็กกำพร้าจากสามชุกคนนี้ยอมคนซะที่ไหน อีกอย่างเป็นมวยด้วย ไอ้เรื่องเสียเปรียบเขาหรือหัวร้างข้างเเตกเลือดสาดเนี่ยไม่เคยมี อาศัยใจถึงพึ่งได้ จนกระทั่งว่าเป็นพี่เบิ้มใหญ่ในอู่ศรีนครเลยก็ว่าได้ อีกอย่างเป็นคนอารมณ์ดีร้องเพลงเก่ง โดยเฉพาะเพลงของคำรณ สัมบุญณานนท์ ร้องได้ทุกเพลงเลยก็ว่าได้ จนอยู่มาวันหนึ่ง คุณวินัย เเก้วทรงศรี จะพาไปฝากฝังกับครูคำรณ ที่ซอยบำเพ็ญบุญ หลังโรงหนังเฉลิมกรุง ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี ที่จะได้เห็นพบตัวจริงอย่างใกล้ชิดกับนักร้องคนโปรด ซึ่งเจ้าเเดงก็ไม่ได้ใฝ่ฝันอะไรไปมากกว่านั้น ยิ่งการเป็นนักร้องอาชีพไม่เคยคิดอยู่ในหัวสมองเลยก็ว่าได้
วันนั้นคุณวินัย ก็พาเจ้าหนุ่มน้อยไปหาครูคำรณที่บ้าน เเต่ทว่าครูนอนอยู่ข้างบนยังไม่ตื่น ก็เจอเเต่คุณบังเละ วงค์อาบู น้่งอยู่ข้างล่างซึ่งก็ถือว่าเป็นคนคุ้นเคยกันกับคุณวินัยมาก่อน ก็เลยมานั่งคุยนั่งรอจนกระทั่งครูคำรณท่านตื่นนอนพอดี ก็เลยเรียกทั้งสองขึ้นไปข้างบน คุณวินัยก็เลยถือโอกาสฝากฝังเจ้าเเดงเป็นลูกศิษย์ลูกหาด้วยสักคนนึง ครูก็เลยให้ร้องเพลงให้ฟัง โดยเจ้าเเดงเลือกเพลงเสือสำนึกบาป ของครูคำรณ ขึ้นมาร้องให้เจ้าของเพลงเขาฟังอย่างมั่นอกมั่นใจ
" พอๆๆๆ ไปซ้อมมาใหม่ ร้องเพลงออกจากจมูกอย่างนี้ เมื่อไรมึงจะดังเหมือนกู...."
ความเงียบปกคลุมทันทีหลังจากทั้งสองกราบลาครูเเล้วเดินออกจากซอยบำเพ็ญบุญกันมาอย่างเงียบๆ ไม่มีหัวร่อต่อกระซิกอะไรกันเลย ซึ่งเเตกต่างจากขามาอย่างสิ้นเชิง
" พรุ่งนี้ผมจะลาออกจากกระเป๋า....."
คุณวินัยที่เดินนำหน้าอยู่ใกล้ๆ หยุดกึกทันที เเล้วจึงหันหน้ามาสบตาเจ้าเเดงอย่างระคนสงสัย
" ผมจะไปเป็นนักร้อง.....ผมจะไปเป็นนักร้องให้ได้..............."