Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ

วิธีบูชาและขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อย่างไรให้ได้ผล

ArjanPong | 12-06-2556 | เปิดดู 4197 | ความคิดเห็น 0

 

     

ขอในสิ่งที่ไม่ควรขอ
 

                               

 

 

ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่อัคคาฬวเจดีย์เมืองอาฬวี ทรงปรารภกุฏิการสิกขาบทที่ภิกษุชาวเมืองอาฬวีพากันสร้างกุฏิด้วยการเที่ยวขอไม่มีขีดจำกัด เป็นเหตุให้ชาวเมืองอาฬวีเดือดร้อนเห็นพระภิกษุที่ไหนก็กลัวหลบหนีหน้าไปหมด พระองค์จึงตรัสติเตียนพวกภิกษุว่า " ภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าการขอ อย่าว่าแต่มนุษย์เลย แม้พวกนาคในนาคภิภพ ก็ไม่ชอบใจ " แล้วทรงนำอดีตนิทานมาสาธก ว่า...

 

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพราหมณ์ในตระกูลมั่งคั่งมีทรัพย์สมบัติมากตระกูลหนึ่ง ท่านมีน้องชายอยู่คนหนึ่งรักกันมาก ต่อมาเมื่อมารดาบิดาเสียชีวิตแล้ว พราหมณ์สองพี่น้องก็พากันสละทรัพย์สมบัติบริจาคทานออกบวชเป็นฤาษีบำเพ็ญพรตอยู่ฝั่งแม่น้ำคงคา ฤาษีพี่ชายอยู่ทางทิศเหนือของแม่น้ำ ส่วนฤาษีน้องชายอยู่ทางทิศใต้ของแม่น้ำ

 

อยู่มาวันหนึ่ง พญานาคมณิกัฏฐะได้แปลงเพศเป็นชายหนุ่มเที่ยวเล่นไปตามฝั่งแม่น้ำคงคา ผ่านไปถึงอาศรมของฤาษีผู้น้องจึงแวะเข้าไปสนทนาปราศรัยด้วยเกิดความสนิทสนมคุ้นเคยชอบพอกันกับฤาษีผู้น้องนั้น จึงเทียวมาเยี่ยมเยือนทุกวันมิได้เว้น เมื่อสนทนาเสร็จก่อนจะกลับก็จะคืนร่างเป็นพญานาคเอาขนดหางตะหวัดรัดรอบฤาษีแผ่พังพานไว้เหนือหัวด้วยความสิเนหาในฤาษีนั้น นอนพักอยู่หน่อยหนึ่งแล้วค่อยคลายร่างออกไหว้ฤาษีแล้วจึงกลับนาคพิภพ จะเป็นเช่นนี้ประจำ

 

ฤาษีนั้นทุกครั้งที่ถูกรัดตัวเกิดความกลัวจึงกินไม่ได้นอนไม่หลับจนร่างกายซูบซีดผ่ายผอมลงทุกวัน วันหนึ่ง ท่านได้แวะไปหาฤาษีพี่ชาย เล่าเรื่องให้ฟังแล้วปรับทุกข์กับพี่ชายว่า " ผมไม่อยากให้พญานาคมาหาผมเลย พี่ช่วยผมหน่อยซิ" พี่ชายถามว่า " พญานาคเวลามา มีเครื่องประดับอะไรไหมละ" " ประดับแก้วมณีมาครับพี่" ท่านตอบพี่ชาย ฤาษีพี่ชายจึงแนะนำว่า " เมื่อพญานาคมาถึงอาศรมของท่าน ยังไม่ทันได้ไหว้ ท่านก็ขอแก้วมณีของมันเลย มันก็จะหนีไป วันที่สองพอมันมาถึงประตูอาศรมเท่านั้น ท่านก็เอ่ยปากขอแก้วมณีของมันอีก พอถึงวันที่สาม ท่านไปยืนดักรอที่ฝั่งแม่น้ำ พอมันโผล่หัวขึ้นจากฝั่งแม่น้ำเท่านั้น ท่านก็เอ่ยปากขอแก้วมณีอีก ทีนี้แหละมันก็จะไม่มารบกวนท่านอีกเลย "

 

ฤาษีผู้น้องได้ทำตามนั้น ในวันที่ ๓ พญานาคขณะยืนอยู่ในน้ำเมื่อถูกฤาษีขอแก้วมณีอีก จึงพูดว่า " ท่านฤาษี ข้าวและน้ำอันไพบูลย์ยิ่งมีแก่ข้าพเจ้าก็เพราะแก้วมณีดวงนี้ ข้าพเจ้าจักให้แก้วมณีแก่ท่านได้อย่างไร ท่านก็ยิ่งขอหนักขึ้น ต่อแต่นี้ไปข้าพเจ้าจักไม่มาอาศรมของท่านอีกแล้วละ เมื่อท่านขอแก้วมณีดวงนี้ทำให้ข้าพเจ้าหวาดเสียวเหมือนชายหนุ่มถือดาบอันคมกริบ "

 

กล่าวจบก็ดำน้ำลงไปนาคพิภพไม่กลับมาที่นั้นอีกเลย


 

ฝ่ายฤาษี เมื่อพญานาคไปแล้วไม่มาหาอีกกลับคิดถึง เกิดความเศร้าเสียใจมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม จึงยิ่งซูบผอมลงไปมากกว่าเดิมอีก หลายวันต่อมาฤาษีพี่ชายอยากจะทราบเรื่อง จึงแวะมาที่อาศรมน้องชาย เมื่อเห็นน้องชายแล้วยิ่งตกใจจึงถามถึงสาเหตุ ฤาษีน้องชายจึงตอบเป็นคาถาว่า
" บุคคลไม่ควรขอสิ่งที่รู้ว่าเป็นที่รักของเขา
อนึ่ง เพราะขอเกินไปย่อมเป็นที่เกลียดชัง
นาคราชถูกฤาษีขอแก้วมณี จึงไม่หวนกลับมาให้ฤาษีเห็นอีกเลย "

 

ฤาษีพี่ชายได้ปลอบน้องชายให้หายเศร้าเสียใจแล้วจึงกลับอาศรมของตน ฤาษีสองพี่น้องบำเพ็ญฌานสมาบัติได้ไปเกิดในพรหมโลกในที่สุด

   

 

โดยธรรมชาติของคนและสัตว์ไม่ชอบการขอ ควรขอเท่าที่จำเป็นและขอในสิ่งที่เขาจะสามารถให้ได้เท่านั้น

 

* เรื่องที่ ๓ ในสังกัปปวรรค หน้า ๒๒ - ๒๙ พระสูตรและอรรถกถาแปล ขุททกนิกายชาดก เล่มที่ ๓ ภาคที่ ๔

ที่มา : หนังสือนิทานชาดก เล่มที่ ๒ โดย พระมหาสุนทร สุนฺทรธฺมโม (เสนาซุย)

 

 

 *************************************

 

 

 

            วิธีบูชาและขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อย่างไรให้ได้ผล  

  

 

                                         

 

 

 

 

หลายคนอาจจะสงสัยว่าจะทำอย่างไรถึงจะให้การขอพรพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อย่างไรให้ได้ผลวันนี้เรามีขั้นตอนการขอพรดังกล่าวมาฝากกันชาว Sanook! Horoscope กันค่ะ วิธีบูชาและขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อย่างไรให้ได้ผล เรื่องที่สำคัญที่สุด ก็คือ "พลังจิต" เพราะพลังจิตที่กล้าแกร่งมีสมาธิเป็นหนึ่งเดียวนั่นคือ แรงส่งมหาศาล ที่จะนำแรงสัจจะอธิษฐานในการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้ได้ผลตามที่มุ่งหวัง

 

ซึ่งขอให้เข้าใจเสียก่อนว่า พลังจิตที่เราใช้เป็นแรงส่งหรือเชื่อมกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์นี้ เป็นเพียงพลังส่งการไปขอพร ขออำนาจบุญบารมีจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นการไปขอ ไม่ใช่เป็นการไปบังคับกะเกณฑ์เหล่านั้น ซึ่งเราไม่มีอำนาจอะไรไปบังคับท่านได้ว่าท่านจะต้องช่วยหรือไม่ช่วย และรับรองได้ว่าคนที่กำลังเกิดทุกข์นั้นไม่มีพลังจิตพอด้วย เพียงไปขอความเมตตาจากท่านเท่านั้น !!!

 

พลังจิตเป็นพลังธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่และในตัวเราทุกคนนั้นมี จะมีมากหรือน้อยจะเชื่อมต่อกับท่านได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนปฏิบัติ และฐานกำลังจิตเดิมที่มาจากกรรมดี ที่เคยทำมาหรือมีกรรมร่วมกันมากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นหรือไม่ ในบางเรื่องต่างมีพันธะสัญญาต่อกันอยู่ ท่านอาจจะช่วยดลบันดาลในสิ่งที่เราขอความเมตตา แต่ต้องผสมรวมกันกับกรรมของเราด้วย จึงจะสำเร็จได้ แต่ที่ไม่สำเร็จเพราะเราไม่เคยมีกรรมร่วมกับท่าน เหมือนเราไปขอความช่วยเหลือจากคนที่ไม่รู้จักมักคุ้นกัน ลองคิดดูว่าเขาเหล่านั้นจะช่วยเหลือเราหรือไม่ ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้เลย

 

หลักการขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ได้ผล การที่เราไปทำการสักการะบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น ควรเป็นการไปขอพร ขอบุญบารมี ขอโมทนาพระคุณความดีของท่าน ให้ช่วยปกป้องคุ้มครอง ไม่ใช่ไปติดสินบน เอาของไปล่อใจท่าน ทำให้ท่านมีกิเลส หรือมีกรรมร่วมกับเราอีก ซึ่งแน่นอนว่าท่านคงไม่ต้องการและไม่ปรารถนาที่จะทำเช่นนั้นและที่สำคัญ คนที่ไปชักชวนทำให้ท่านก่อกรรมไม่ดีเพราะเอาสิ่งของไปล่อท่าน คนคนนั้นจะต้องได้รับกรรมที่ก่อขึ้นด้วย...

 

ที่ท่านช่วยให้พรเพราะท่านเมตตาเราเท่านั้น ไม่ได้หวังเครื่องเซ่นใดๆ ทั้งสิ้น การขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ดลบันดาลให้ประสบความสำเร็จนั้น ต้องขออย่างมีสติ ต้องประกาศตัวเองก่อนว่าเราคือใคร มีศีลอะไร มีความดีอะไร ด้วยความดีเหล่านั้น ก็ขอให้เป็นกำลังใจให้เราสร้างความดีต่อไป การขอพรนั้นเป็นสิ่งที่ดี ขอได้ทุกโอกาสและขอได้กับเทพหรือเทวดาทุกองค์ หรือแม้แต่พระพุทธรูปก็ตาม เมื่อปฏิบัติดีอยู่ในศีลด้วยความดี ตั้งใจมั่นศรัทธา ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นกับเรา

 

เคล็ดลับอีกประการหนึ่ง ในเวลาที่เรากำลังขอพรอยู่นั้น เราต้องรวมจิตให้มีพลังเพื่อเชื่อมบุญต่อกับท่านเหล่านั้นได้ ให้สังเกตดูว่า ในช่วงที่เรามีพลังจิตกล้าแกร่งนั้น เราจะรู้สึกโล่ง ขนลุก น้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัวหรือมีแสงวาบขึ้นมาในจิต แสดงว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นท่านรับรู้แล้วในสิ่งที่เราปรารถนาและสิ่งนั้นจะประสบหรือไม่ อยู่ที่กรรมลิขิต แต่ความสำเร็จที่เราปรารถนานั้น เราต้องรุ้ว่าที่ขอนั้นบุญหรือบาป ผิดต่อศีลธรรมไหม ถ้าบาปก็งดไม่ต้องขอ ถ้าดีก็ทำยิ่งๆ ขึ้นไป

 

เวลาขอพรเราต้องศรัทธา เราเปรียบตัวเองว่าเราคือ ฝุ่น ได้เข้าไปกราบสักการะด้วยความปิติยินดี จึงจะมีความสุข เมื่อมีความสุข ความสำเร็จจะอยู่ที่เรา ถ้าเราทำบาปจะมีความทุกข์ จงจำเอาไว้ว่าถ้าความทุกข์เกิด ความสำเร็จจะไม่ปรากฏ เราต้องปฏิบัติดี ทำดี อยู่ในศีลธรรม แล้วความสุขและสิ่งที่เราปรารถนาจะอยู่กับเราแน่นอน

 

ขอบคุณข้อมูลจาก http://board.palungjit.com/ขอบคุณภาพประกอบจาก Photos.com

 

                             

 

******************************   

 

  

 

  

    9900;">
  • 1

 

 

'แดงเชียงใหม่'ปะทะหน้ากากขาวเจ็บอื้อ

'แดงเชียงใหม่'ปะทะหน้ากากขาวเจ็บอื้อ ฝ่ายหลังแตกหนีกระเจิงเหตุมีจำนวนน้อยกว่า เศษขยะเกลื่อนเมือง

 

เมื่อเวลา 16.30น. วันที่ 14 มิ.ย.2556 หลังจากที่กลุ่มหน้ากากขาวในจังหวัดเชียงใหม่ได้นัดรวมตัวจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวทางการเมือง เพื่อต่อต้านระบอบทักษิณ แต่ระหว่างที่มีการรวมตัวกันบริเวณหน้าร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ถนนนิมานเหมินทร์ ซอย 13 อ.เมือง จ.เชียงใหม่ มวลชนคนเสื้อแดงกลุ่มคนรักเชียงใหม่ 51 กว่า 100 คน ได้เข้ามาปะทะกับกลุ่มหน้ากากขาวเชียงใหม่ที่มีจำนวน 50 คน โดยเหตุการณ์เริ่มรุนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มคนรักเชียงใหม่ 51 ได้ปาขยะใส่กลุ่มหน้ากากขาว และมีการดึงป้ายผ้าที่เขียนว่า "โค่นล้มระบอบทักษิษ" ทำให้เกิดการชุลมุมจนเกิดกากชกต่อยระหว่างคน 2 กลุ่ม แม้ว่าจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณ 20 คนเข้าห้ามปราบแต่ไม่สำเร็จ

 

นอกจากนี้ ทางกลุ่มคนรักเชียงใหม่ 51 ได้มีการระดมกำลังคนเข้ามาบริเวณที่เกิดเหตุอย่างต่อเนื่อง โดยที่กลุ่มหน้ากากขาวได้ถอยร่นเข้าไปอยู่ในอาคารพาณิชย์ของเอกชน เพื่อหลบเลี่ยงการถูกโจมตี แต่เบื้องต้นกลุ่มคนรักเชียงใหม่ 51 ได้ฝ่าเข้าไปในอาคารพาณิชย์ดังกล่าว และเกิดการชุลมุนชกต่อยกับทางกลุ่มหน้ากากขาวอีกคครั้ง เบื้องต้นยังไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บ

 

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ตอนนี้ทางกลุ่มคนรักเชียงใหม่ 51ได้นำรถยนต์เข้ามาปักหลักบริเวณหน้าอาคารพาณิชย์ดังกล่าว และมีการนำเครื่องขยายเสียงแสดงเจตนารมณ์ปกป้องทักษิณ และมีการด่าทอไปยังกลุ่มหน้ากากอย่างต่อเนื่อง

 

นอกจากนี้กลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ได้ปาสิ่งของใส่กลุ่มหน้ากากขาวจนแตกกระเจิง บางส่วนได้วิ่งหลบหนีไปหลบซ่อนอยู่ตามซอยในถนนนิมานเหมินท์ ขณะที่บางส่วนถอยล่นเข้าไปหลบที่ฮิลไซด์คอนโดมิเนียม ห่างจากจุดปะทะประมาณ 200 เมตร

 

กระทั่งเกิดการปะทะกันอีกครั้งที่บริเวณเซเว่นอีเลฟเว่นข้างกับฮิลไซด์คอนโดมิเนียม ถนนนิมานเหมินท์ คาดว่ามีกลุ่มคนหน้ากากขาวได้รับบาดเจ็บหลายราย ขณะเดียวกัน ทางรปภ.ของฮิลไซด์คอนโดมิเนียม ได้มีการนำแผงเหล็กมากั้นไม่กลุ่มเสื้อแดงเข้ามา เนื่องจากระหว่าางที่มีการปะทะกันนั้น กลุ่มเสื้อแดงได้ขว้างปาเศษขยะ ขวดน้ำ ขวดแก้ว เข้ามาภายในคอนโดฯ จนทำให้บริเวณด้านหน้าทางเข้าเต็มไปด้วยเศษขยะเกลื่อนกระจัดกระจาย

 

ขณะที่แกนนำกลุ่มเสื้อแดง ประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงว่ากลุ่มคนเสื้อแดงยังปักหลักเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ที่ย่านถนนนิมานเหมินท์ เนื่องจากมีสายของกลุ่มเสื้อแดง รายงานว่ายังกลุ่มหน้ากากขาวบางส่วนยังหลบซ่อนตัวอยู่ และการ์ดของกลุ่มหน้ากากขาว มีการพกพาอาวุธปืนและจะทำร้ายกลุ่มเสื้อแดง พร้อมประกาศจะปกป้องคนที่ให้ร้ายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนากรัฐมนตรีและจ้องจะล้มรัฐบาล

   

      

                           

โดยคุณ เจเจ สาทร

" การชุมนุมหน้ากากขาว ปกติจะจัดวันอาทิตย์ แต่ทำไมที่เชียงใหม่จัดวันศุกร์ เพราะมันคือหลุมพรางครับ

จัดวันศุกร์โดยกลุ่มวิหก ที่มีสถานีวิทยุ ยั่วยุให้เสื้อแดงออกไปติดกับดัก แล้วหาช่องทางสร้างความวุ่นวายใน

เย็นวันศุกร์ เพื่อเป็นข่าวในเช้าวันเสาร์ บนหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ยั่วอารมณ์หน้ากากขาวทั่วประเทศ ให้แห่กัน

ออกมาชุมนุมมากขึ้นในวันอาทิตย์ เพื่อเป็นขาวไงครับ ชัดเจนไหม ผมจึงเรียนทุกท่านว่า อย่าไปตกหลุมพราง

อยู่ในที่ตั้งนิ่งๆ ปล่อยให้เขานิ่งเฉาตายไปเอง แต่เหตุการณ์จะพลิกกลายเป็นเค้าฟื้น ก็เพราะความบ้าระห่ำจัดชุมนุม

แบบไร้สติของพวกเรากันเองแหละครับ

หากทราบดังนี้ ก็เพลาๆ งดๆ ก่อนช่วงนี้นะครับพี่น้อง

  

   *****************************

   

              อ่านใจไม่ออก..

 

 

                             

 

 

 

 

 

....เอาไงเเน่? จริงหรือเล่น? เห็นเเล้วเสียว

 

จ้องอย่างเดียว นิ่งเงียบเฉย เลยสยอง

 

อุตสาห์เเซะ หัวคมำ ทำไม่มอง

 

หยิ่งจองหอง จ้องตะปบ หลบยังไง?

 

 

 

....อย่าคิดมาก โธ่คุณพี่ มีเเต่เครียด

 

หากโกรธเกลียด อายุสั้น มันไม่ไหว

 

นะพี่นะ เเค่เเหย่เล่น ไม่เป็นไร?

 

กัดเมื่อไร เหมียวตายเเน่ เเย่นะคุณ....

 

 

 

************************

 

 

                       เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับมารยาททางสังคม 




 มารยาท หรือ มรรยาท หมายถึง กิริยาวาจาที่ถือว่าสุภาพเรียบร้อย ถูกกาละเทศะ ส่วนคำว่า มารยาทในสังคม จะหมายถึง กรอบหรือระเบียบแบบแผนที่ควรประพฤติหรือควรละเว้นในส่วนที่เกี่ยวกับผู้อื่น รวมทั้งชุมชนหรือคนหมู่มาก โดยเหตุที่มนุษย์เราไม่สามารถอยู่ลำพังคนเดียวในโลกได้ ต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้อื่นไม่มากก็น้อย ด้วยเหตุนี้ จึงต้องมีกฎกติกากำหนดแบบแผนในการอยู่ร่วมกัน ซึ่งทุกชาติทุกประเทศต่างก็มีแบบอย่างทางวัฒนธรรมที่เรียกกันว่า มารยาททางสังคมนี้ทั้งสิ้น เพียงแต่รายละเอียดอาจจะแตกต่างกันบ้าง อย่างไรก็ดี ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีปัจจุบัน อาจทำให้คนสมัยนี้หันไปพึ่งพาเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ และมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นน้อยลง อันเป็นเหตุให้ละเลยหรือเพิกเฉยต่อมารยาทที่พึงมีต่อกัน แต่สิ่งเหล่านี้ ก็ยังจำเป็นต่อการอยู่ร่วมกันในทุกสังคม ดังนั้น กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงขอนำสิ่งละอันพันละน้อยเกี่ยวกับมารยาททางสังคมมาเสนอ เพื่อเป็นเกร็ดความรู้ และประโยชน์ในทางปฏิบัติ ดังต่อไปนี้

                 -การกล่าวคำว่า “ ขอบคุณ ” เมื่อผู้อื่นให้สิ่งของ /บริการ หรือเอื้อเฟื้อทำสิ่งต่างๆให้ไม่ว่าจะโดยหน้าที่ของเขาหรือไม่ก็ตาม เช่น บริกรเปิดประตูให้ คนลุกให้นั่งหรือช่วยถือของให้เราในรถประจำทาง คนช่วยกดลิฟท์รอเรา หรือช่วยหยิบของที่เราหยิบไม่ถึงให้ เป็นต้น โดยปกติจะใช้คำว่า “ ขอบคุณ ” กับผู้ที่อาวุโสกว่า และใช้คำว่า “ ขอบใจ ” กับผู้อายุน้อยกว่าเรา แต่ปัจจุบันมักใช้รวมๆกันไป

                 -เอ่ยคำว่า “ ขอโทษ ” เมื่อต้องรบกวน /ขัดจังหวะผู้อื่น เช่น เขากำลังพูดกันอยู่ และต้องการถามธุระด่วน ก็กล่าวขอโทษผู้ร่วมสนทนาอีกคน แต่ควรเป็นเรื่องด่วนจริงๆ หรือกล่าวเมื่อทำผิดพลาด /ทำผิด หรือทำสิ่งใดไม่ถูก ไม่เหมาะสมโดยไม่ตั้งใจ เช่น เดินไปชนผู้อื่น หยิบของข้ามตัวหรือศีรษะผู้อื่น เป็นต้น

                 สำหรับคนไทย เมื่อเอ่ยคำว่า “ ขอบคุณ ” หรือ “ ขอโทษ ” ต่อผู้ที่อาวุโสกว่า เช่น พ่อแม่ ครูอาจารย์ ผู้ใหญ่ มักจะยกมือไหว้พร้อมกันไปด้วย เช่น กล่าวขอบคุณพร้อมยกมือไหว้พ่อแม่ที่ท่านซื้อของให้ เป็นต้น

                 -ในการรับประทานอาหารไม่ว่าจะในหรือนอกบ้าน ไม่ควรล้วงแคะ แกะเกาในโต๊ะอาหาร หากจะใช้ไม้จิ้มฟัน ควรใช้มือป้องไว้ ควรใช้ช้อนกลางตักอาหารจากจานรวม และแบ่งอาหารใส่จานของตนพอประมาณ ไม่มากจนรับประทานไม่หมด ถ้าไอหรือจาม ควรใช้มือหรือผ้าป้องปาก หากต้องคายอาหารก็ควรใช้มือป้องปาก และใช้กระดาษเช็ดปากรองรับ แล้วพับให้มิดชิด และไม่ควรเคี้ยวอาหารเสียงดัง และไม่ควรสูบบุหรี่จนรบกวนผู้อื่น

                 -การรับประทานอาหารแบบสากล เมื่อเข้าที่นั่งแล้วให้คลี่ผ้าเช็ดมือวางบนตัก ไม่ควรเริ่มรับประทานอาหารก่อนแขกผู้ใหญ่หรือเจ้าภาพ ใช้เครื่องใช้ในการรับประทานเฉพาะที่จัดไว้ให้เฉพาะคน ใช้ช้อนกลางตักอาหารจานกลาง ห้ามใชัช้อนของตนตักจากจานกลาง ถ้าต้องการสิ่งที่ไกลตัว อย่าโน้มหรือเอื้อมมือไปหยิบข้ามเครื่องใช้ในการรับประทานอาหารของผู้อื่น หรืออย่าข้ามหน้าคนอื่นไป หากจำเป็นควรขอให้บริกรหยิบให้ การหยิบเครื่องใช้ในการรับประทานอาหารให้หยิบจากด้านนอกเข้ามาก่อนเสมอ โดยจับส้อมมือซ้าย และมีดมือขวา ถ้าไม่มีมีด ใช้ส้อมอย่างเดียวให้ถือส้อมด้วยมือขวา จานขนมปังจะอยู่ทางซ้ายให้ใช้มือซ้ายช่วยบิรับประทานทีละคำ อย่าบิไว้หลายชิ้นและอย่าใช้มีดหั่นขนมปัง อย่าทาเนยหรือแยมบน

                 ขนมปังทั้งแผ่นหรือทั้งก้อนแล้วกัดกิน การกินซุปให้หงายช้อนตักออกจากตัวและรับประทานจากข้างช้อน อย่ากินปลายช้อน อย่าซดเสียงดัง ถ้าจะตะแคงถ้วยให้ตะแคงหงายออกจากตัว อาหารเนื้อสัตว์ ให้ตัดแต่พอคำและกินโดยใช้ส้อมช่วย น้ำดื่มให้วางทางขวามือเสมอ ก่อนลุกจากเก้าอี้ให้ทบผ้าเช็ดปากวางไว้บนโต๊ะ

                 -ในการไปชมมหรสพ เช่น คอนเสิร์ต หนังหรือละคร ควรเข้าแถวซื้อตั๋วตามลำดับก่อน-หลัง ไม่แทรกหรือตัดแถวผู้อื่น หรือฝากเงินคนที่อยู่ข้างหน้าโดยที่ตัวเองไม่ได้ยืนเข้าแถว เว้นแต่ผู้นั้นสนิทสนมกันและมีเหตุจำเป็นทำให้ไม่ยืนเข้าแถวไม่ได้ ไม่ควรพาเด็กเล็กเกินไปชมการแสดง เพราะจะส่งรบกวนและทำความรำคาญให้ผู้อื่น ไม่ควรลุกจากที่นั่งโดยไม่จำเป็น อย่าส่งเสียงสนทนากันดังๆ หรือวิพากษ์วิจารณ์การแสดง หรือแสดงอาการสนุกสนาน เป่าปาก ตบมือจนเกินกว่าเหตุ เพราะเป็นการกระทำที่ไม่สุภาพ หญิงชายไม่ควรเกี้ยวพาราสี หรือกอดจับต้องกันเมื่ออยู่ในโรงมหรสพ เมื่อไอ จาม หรือถ่มน้ำลาย ต้องทำด้วยกิริยาปกปิด มิให้เกิดเสียงดังรบกวนคนอื่น

                 -ในการเดินกับผู้ใหญ่ ถ้าเดินนำ ให้เดินห่างพอสมควร อยู่ด้านใดก็แล้วแต่สถานที่อำนวย แต่โดยปกติจะเดินอยู่ทางด้านซ้ายของผู้ใหญ่ หากเดินตาม ให้เดินเยื้องไปทางซ้ายของผู้ใหญ่เช่นกัน และเดินด้วยความสำรวมไม่ว่าเดินนำหรือตาม

                 -การแนะนำบุคคลให้รู้จักกัน มีหลักทั่วๆไปว่า แนะนำผู้อาวุโสน้อยต่อผู้อาวุโสมาก พาชายไปแนะนำให้รู้จักผู้หญิง ยกเว้นชายนั้นจะเป็นเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ หรือมีตำแหน่งระดับสูง พาหญิงโสดไปรู้จักหญิงที่แต่งงานแล้ว แนะนำผู้มาทีหลังต่อผู้มาก่อน ถ้าเสมอกันก็ให้แนะนำตามความเหมาะสม

                 -การสวดมนต์ ฟังพระสวด ฟังเทศน์ฟังธรรม หรือขณะพูดกับพระสงฆ์ ให้แสดงความเคารพด้วย การประนมมือ ที่เรียกว่า อัญชลี คือประนมมือให้นิ้วมือแนบชิดกัน ฝ่ามือราบปลายนิ้วตั้งขึ้น แขนแนบตัวระดับอก ไม่กางศอก ทั้งหญิงชายปฏิบัติเหมือนกัน

                 -การไหว้ (วันทา) จะมี ๓ ระดับ คือ ถ้าไหว้พระ เช่น พระรัตนตรัย ปูชนียวัตถุหรือปูชนียสถานให้แสดงความเคารพโดยประนมมือให้นิ้วหัวแม่มือจรดระหว่างคิ้ว ถ้าไหว้ผู้มีพระคุณหรือผู้อาวุโส ที่เคารพนับถือ เช่น พ่อแม่ปู่ย่าตายาย ครูอาจารย์ ประนมมือให้นิ้วหัวแม่มือจรดปลายจมูก ถ้าไหว้บุคคลทั่วไป ให้นิ้วหัวแม่มือจรดปลายคาง ถ้า กราบ(อภิวาท) พระพุทธรูปหรือพระสงฆ์ ต้องกราบ ๓ ครั้งแบมือ หากกราบคนไม่ว่าจะเป็นคนเป็น หรือคนตาย กราบ ๑ ครั้ง ไม่แบมือ

                 -การจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย ให้ประธานในพิธี (จะยืนหรือคุกเข่าแล้วแต่สถานที่) จุดเทียนเล่มซ้ายมือ (ของประธาน)ก่อน แล้วค่อยจุดเล่มขวา จากนั้นจึงจุดธูป แล้วกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ หากมีพระบรมฉายาลักษณ์และธงชาติด้วย เมื่อกราบแล้ว ถอยออกมาแล้วทำความเคารพด้วยการคำนับเพียงครั้งเดียว ส่วนคนอื่นๆในที่นั้น เมื่อประธานลุกไปประกอบพิธี ให้ยืนขึ้น และเมื่อจุดเทียนเล่มแรก ให้ทุกคนประนมมือจนเสร็จพิธี เมื่อประธานกลับลงมานั่ง จึงนั่งตามที่กล่าวมาข้างต้น เป็นเพียงบางส่วนของมารยาททางสังคมอันเป็นหลักประพฤติปฏิบัติโดยทั่วไป ซึ่งหวังว่าจะเป็นแนวทางให้ท่านได้นำไปใช้ประโยชน์ในโอกาสต่างๆต่อไปตามสมควร

 

 

**********************************************

 

 

 

     เช กูวารา นักรบผู้ปฏิวัติสังคม ในอุดมคติ

 

 

Share
เออร์เนสโต เช กูวารา บุรุษหน้าตาคมคาย คิ้วเข้ม หนวดเคราดกหนา ผมยาว ใส่หมวกแบเร่ต์ติดดาว เป็นเอกลักษณ์ หนึ่งในผู้ซึ่งทำให้คำว่า "การปฏิวัติ" ในหัวใจคนหนุ่มสาวเป็นรูปร่างชัดเจน ที่สำคัญเรื่องราวของเช ก็ราวกับนิยายสะเทือนใจที่อ่านแล้ว วางไม่ลง

 

เช กูวารา หรือชื่อเดิม เออร์เนสโต ราฟาเอล กูวารา เด ลา เซร์นา (Ernesto Rafael Guevara de la Serna) เกิดที่ประเทศอาร์เจนตินา เมื่อปี 1928 ที่เมือง โรซาริโอ (Rosario) อำเภอเล็ก ๆ ของกรุงบัวโนส ไอเรส (Buenos Aires) ประเทศอาร์เจนตินา ในครอบครัวชนชั้นกลาง เป็นบุตรของ Ernesto Guevara Lynch และ Celia de la Serna Llosa มีพี่น้องทั้งหมด 5 คน และ เออร์เนสโต เป็นพี่คนโต ช่วงชีวิตวัยเด็กเติบโตท่ามกลางเรื่องราวความแตกต่างของชนชั้นทางสังคมมาโดยตลอด ในช่วงวัย 2 ขวบ เขาป่วยเป็นโรคหอบหืด และกลายเป็นโรคประจำตัวที่เขาตั้งใจจะศึกษาต่อในด้านการแพทย์ เพื่อรักษามันให้ได้

 

 

ปี 1947 เออร์เนสโต เข้าเรียนคณะแพทยศาสตร์ในมหาวิทยาลัย คอร์โดบา ในช่วงปี 1951 เขาตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวระยะยาวกับเพื่อนชื่อ อัลแบร์โต กรานาโด (Alberto Granado) ไปทั่วอเมริกาใต้ด้วยรถมอร์เตอร์ไซด์ (บันทึกการเดินทางของเขา ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง “The Motorcycle Diaries”)

 

                                                    
 

 

ในช่วงที่เดินทางผ่านประเทศ โบลิเวีย, ชิลี, เวเนซูเอลา รวมทั้งการทำงานเป็นแพทย์อาสาที่เปรู ทำให้ เออร์เนสโต ได้เห็นภาพความยากจนของชาวบ้านที่โดน กดขี่จากนักการเมือง และนักธุรกิจ ท่ามกลางเศรษฐกิจแบบทุนนิยม จนเรียนจบในปี 1953 เม็กซิโก คือสถานที่สำคัญในการพลิกชีวิตของเขาอีกครั้ง ในช่วงเดือนกรกฎาคมของปี 1955 เมื่อได้พบ ฟิเดล คาสโตร (Fidel Casto) นักปฎิวัติหนุ่มชาวคิวบา เป็นครั้งแรก ซึ่งในขณะนั้น ฟิเดล คาสโตร ลี้ภัยทางการเมือง ข้อหากบฎโค่นล้มอำนาจรัฐบาลคิวบา ต่อมา คาสโตร เริ่มรวบรวมสมัครพรรคพวกแอบฝึกกองกำลังติดอาวุธ เพื่อเตรียมกลับไปปฏิวัติประเทศคิวบาอีกครั้ง เน้นการรบแบบสงครามกองโจรเป็นหลัก ซึ่ง เออร์เนสโต เข้าร่วมทำหน้าที่เป็นหน่วยแพทย์ โดยมีชื่อสมาชิกว่า “เช” (เป็นคำเรียกแทน เพื่อนสนิท เพื่อนตาย เป็นภาษาอาร์เจนตินา หรือ อาจใช้เป็นคำทักทายกัน ทำนองเดียวกับ Hey ก็ได้เช่นกัน ส่วนเหตุที่ เออร์เนสโต ได้รับชื่อ “เช” นี้ ก็เพราะตัวเขาเองมักทักทายเพื่อน ๆ ในกลุ่มว่า Hey เสมอ ๆ) และได้แต่งงานกับ Hilda หญิงสาวชาวเปรูที่เม็กซิโก เขาก็ได้ลูกสาวคนแรกชื่อ Hildita ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 1956

 

                             

 

วันที่ 25 พฤศจิกายน 1956 กลุ่มคณะปฏิวัติรวมทั้งสิ้น 82 คน ออกเดินทางด้วยเรือยนตร์ขนาดเล็ก ชื่อ Granma จากเมือง Tuxpan ประเทศเม็กซิโก มุ่งหน้าสู่ประเทศคิวบา ท่ามกลางคืนเดือนมืด แรมเรืออยู่ในทะเลราวเจ็ดคืน จึงขึ้นฝั่งที่คิวบาได้เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 1956 และเพราะโดนคลื่นลมพัดพา ลูกเรือหลายคนเมาคลื่น รวมทั้งขึ้นฝั่งผิดเป้าหมายที่วางแผนไว้ ทำให้ถูกโจมตีโดยกองทัพของประธานาธิบดีบาติสตา จนแตกพ่ายที่เทือกเขาในเขตเมือง Sierra Maestra เหลือกำลังพลเพียง 12 คน และหนึ่งในนั้นก็คือ Che Guevara (เช กูวารา) ในช่วงของปฏิบัติการรบด้วยวิธีแบบกองโจร จากการฝึกฝนที่ดีและมีไหวพริบปฏิพาน ได้ทำให้ “เช” เปลี่ยนตัวเองจากแพทย์ กลายมาเป็นนักรบ ปลายปี 1956 ได้ขึ้นทำหน้าที่เป็นผู้บังคับการ กองกำลังทหารปฏิวัติช่วงที่สอง (Comandante der Rebellenarmee) ซึ่งเป็นหนึ่ง จากทั้งหมด 9 ช่วง ในการปฏิวัติครั้งนั้น วันที่ 22 พฤษภาคม 1956 “เช” แยกทางกับ Hilda แล้วแต่งงานใหม่ เมื่อวันที่ 2 มิถุนยน 1956 กับหญิงชาวคิวบา Aleida March ซึ่งทำงานเป็นหน่วยส่งเอกสาร ให้กับคณะปฏิวัติ ซึ่งได้รู้จักกันในระหว่างการสู้รบที่คิวบา มีบุตรด้วยกัน 4 คน

 

 

 

หลังจากต่อสู้แบบกองโจรได้ราวสองปี ในที่สุด วันที่ 1 มกราคม 1959 ก็ยึดอำนาจจากประธานาธิบดีบาติสตาได้อย่างเบ็ดเสร็จ “เช” ได้รับสัญชาติเป็นชาวคิวบา มีตำแหน่งสำคัญทางการเมืองหลายตำแหน่งในรัฐบาลใหม่ของคิวบา ทำงานหามรุ่งหามค่ำ วันละ 18 ชั่วโมง วางแผน ศึกษา เรียนรู้ ทั้งวันทั้งคืนเท่าที่จะทำได้ ดำเนินการตามแผนเศรษฐกิจอย่างเคร่งครัด ช่วยทำให้เศรษฐกิจที่เคยล้มเหลวของคิวบากระเตื้องขึ้น รวมทั้งช่วยหยุดความขาดแคลนทั้งหลายที่เกิดขึ้นได้จนถึงทุกวันนี้

 

   

 

ในเดือนตุลาคม ปี 1965 คาสโต ได้รับจดหมายลาจาก “เช” ใจความว่า เขาขอสละตำแหน่งทางการเมืองทั้งหมด รวมทั้งสัญชาติคิวบา เพื่อกลับไปต่อสู้กับลัทธิจักรวรรดินิยมอีกครั้ง “ผมไม่ได้ทิ้งสมบัติอะไรไว้ให้ภรรยาและลูก ๆ ของผม แต่ผมก็ไม่เสียใจ กลับรู้สึกมีความสุขที่มันเป็นไปอย่างนี้” (จดหมายลาถึงคาสโตร) หนึ่งในหลายเหตุผลที่ “เช” ตัดสินใจเช่นนั้น ก็คือ ความไม่สมหวังในการสร้างคิวบา เขาชิงชังความเห็นแก่ตัวที่โซเวียต และประเทศยุโรปตะวันออกในยุค ครุสชอพ มอบให้แก่ประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลาย “เช” พร้อมเพื่อน ๆ อีกจำนวนหนึ่ง เข้าร่วมสงครามปฏิวัติที่ คองโก ในทวีปแอฟริกา ในปี 1965 แต่ก็ล้มเหลว จากนั้นปี 1966 เขาจึงเดินทางเข้าไปเข้าร่วมกลุ่มกบฏโบลิเวีย แต่กองกำลังปฏิวัติโดนตีแตกกระจาย หัวหน้ากลุ่มถูกฆ่าตาย เดือนตุลาคม 1967 “เช” และพวกที่เหลือเพียง 14 คน โดนยิงบาดเจ็บ และถูกจับที่ La Higuera เขตพื้นที่เล็ก ในเทือกเขา Cordillera โดยกองกำลังทหารของรัฐบาลโบลิเวีย ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก CIA ของสหรัฐอเมริกา ถูกสอบปากคำในฐานะเชลยศึก และไม่มีการพิพากษาใด ๆ ในชั้นศาล “เช” ถูกสั่งฆ่าด้วยการยิงเป้า เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 1967 เวลา 13.10 น. จบชีวิตนักปฏิวัติที่มุ่งมั่น ด้วยวัยเพียง 39 ปี เท่านั้น

 

                                

 

ภายหลังการถูกฆาตรกรรม ศพของ “เช” ถูกตัดมือทั้งสองข้าง เพื่อปิดช่องทางการพิสูจน์ตัวตน นำศพไปฝังในสถานที่ลับห่างจากเมือง Vallegrande ราว 30 กิโลเมตร ซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ ในโบลิเวีย (และห่างจากซานตาครูซ ประเทศคิวบาราว 125 กิโลเมตร) แต่ในที่สุดโครงกระดูกของ “เช” ก็ถูกค้นพบเมื่อปี 1997 โดยนักวิทยาศาสตร์ในโบลิเวียเป็นผู้พิสูจน์ ว่าโครงกระดูกนั้นเป็นของ Che Guevara (เช กูวารา) จริง ปี 1958 กระดูกถูกส่งกลับไปยังเมืองซานตาครูส ประเทศคิวบา เก็บโครงกระดูกไว้ที่ Mausoleum และได้สร้างอนุเสารีย์ Ernesto Che Guevara ในรูปแบบที่ชาวคิวบาคุ้นเคย คือ มือหนึ่งถือปืน ส่วนแขนข้างซ้ายเข้าเฝือก เป็นตัวแทนแห่งวีรบุรุษนักปฏิวัติ ที่ต่อสู้เพื่อปลดปล่อยชนชั้นล่างของสังคม จากการกดขี่ข่มเหงของนายทุนใน ลัทธิจักวรรดินิยม และมีพิพิธภัณฑ์ Che Guevara แสดงเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติชีวิต และการต่อสู้ของ “เช” เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมด้วย

 

                                                              

 

แนวคิดสังคมนิยม ของ “เช” มีความหมายมากกว่าการพัฒนาทางวัตถุ หรือมุ่งเน้นแต่เรื่องยกระดับการครองชีพ “นักรบกองโจร คือ คนที่เสมือนผู้นำทาง เขาจะต้องช่วยคนจนเสมอ เขาจะต้องมีความรู้พิเศษทางเทคนิค มีวัฒนธรรมและศีลธรรมสูง มีความอดทนยิ่งต่อความทุกข์ทรมาน และความยากลำบาก และมีความสำนึกทางการเมืองสูงด้วย” Che Guevara (เช กูวารา) ผู้เชื่อมั่นในวิธีการต่อสู้ด้วยสงครามกองโจร เคยกล่าวไว้

นั่นคือ สังคมในอุดมคติของ “เช” เป็นฝันไกลที่มนุษย์ยังไปไม่ถึง มันไม่เคยสำคัญเลยว่าเขาจะประสบความสำเร็จ หรือล้มเหลว ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น ลงมือทำอย่างจริงจัง เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตใจที่ดีงาม อยากช่วยปลดปล่อยชนชั้นกรรมาชีพผู้ถูกกดขี่ ไม่เคยได้รับความเป็นธรรม และคงเพราะ Che Guevara (เช กูวารา) ไม่ยึดติดกับตำแหน่งใหญ่โตในคิวบา เขาจึงกลายเป็นตำนาน ในจิตใจคนหนุ่มสาวทั่วโลก แม้เวลาจะผ่านมานานถึง 30 กว่าปีแล้วก็ตาม

 

 

 

********************************

 

 

 

 

มติศาล รธน. 5-4 รับคำร้อง พธม.-ปชป. ยื่นระงับแก้ ม. 68 สั่ง312สส. และ สว.  แจงภายใน 15วัน

 

 

ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน ปลุกอำนาจนิติบัญญัติ-บริหาร อารยะขัดขืน คำวินิจฉัยศาล รธน.
« เมื่อ: พฤษภาคม 04, 2013, 02:12:37 pm »
 
"อุกฤษ มงคลนาวิน"
ปลุกอำนาจนิติบัญญัติ-บริหาร อารยะขัดขืน คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ



ในอดีต "อุกฤษ มงคลนาวิน" ประธานคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) เคยเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร เคยเป็นประธานตุลาการรัฐธรรมนูญ สวมหมวกทั้งประมุขนิติบัญญัติ และประมุขผู้ชี้ขาดกฎหมาย-ปัญหาที่ขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ


ในปัจจุบัน เมื่อฝ่ายนิติบัญญัติขัดแย้งกับฝ่ายตุลาการ เจาะจงที่ศาลรัฐธรรมนูญเป็นการเฉพาะ ในเกมอำนาจที่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน





"อุกฤษ" จึงร่อนจดหมายเปิดผนึก 4 ข้อ แนะนำให้มีการลดอำนาจ-ปฏิรูปศาลรัฐธรรมนูญ เขาเปิดอาณาจักร "Navin Court" ย่านเพลินจิต ไขรหัสสาระของจดหมายเปิดผนึกดังกล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ"



และเขายังแนะนำให้ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารอารยะขัดขืน ไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ว่ากรณีใด ๆ







- ทำไมถึงมีจดหมายเปิดผนึก 4 ข้อปฏิรูปศาลรัฐธรรมนูญในตอนนี้

ที่จริงเราคิดกันมาก่อนนานแล้ว เพราะมีหลายกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ากฎหมายบางมาตราขัดรัฐธรรมนูญ เช่น พ.ร.บ.ความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา พ.ศ. 2535 ใช้บังคับไม่ได้ ทั้งที่กฎหมายดังกล่าวมีการบังคับใช้มานาน ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องไปแก้ไขกฎหมายเกินกว่า 100 ฉบับ ซึ่งการแก้ไขกฎหมายแต่ละฉบับไม่ใช่เรื่องง่าย และทำให้ขณะนั้นการทำงานต่าง ๆหยุดชะงักลง เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร ทั้งที่ตัดสินด้วยคะแนนเสียง 5 ต่อ 4 มันเฉียดฉิวมาก

กรณีสำคัญอย่างนี้ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 216 บอกว่า องค์ประชุม 9 คน ต้องมี 5 คน ถือว่าครบองค์ประชุม แต่คะแนนเสียงใช้เสียงข้างมากธรรมดา เช่น องค์ประชุม5 คน ใช้คะแนนเสียง 3 ต่อ 2 ได้ อย่างนี้มันไม่ถูก จึงคิดว่ามี 2 แนวทางที่จะทำให้ศาลรัฐธรรมนูญรอบคอบมากขึ้น

1.องค์คณะ 9 คน จะต้องมีคะแนนเสียงเป็นเสียงข้างมากในการวินิจฉัยเด็ดขาด 7 ต่อ 2 หรือ 8 ต่อ 1

2.แก้ไขรัฐธรรมนูญเฉพาะองค์ประกอบตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเป็น 15 คน มีองค์คณะในการประชุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป และการวินิจฉัยต้องใช้เสียงข้างมากเด็ดขาดไม่ต่ำกว่า 10 เสียงซึ่งตุลาการที่เพิ่มมา 6 คน ก็ให้ผ่านกระบวนการรัฐสภาในการคัดเลือก

เพื่อเป็นการยึดโยงประชาชน และไม่ควรมีวาระนานเกินไป 4 ปี หรือมีสิทธิ์อีก 1 วาระ ไม่เกิน 8 ปี ส่วนที่ตุลาการบางท่านบอกว่า เหมือนคนดูมาไล่กรรมการ แต่ถ้ายกตัวอย่างในสมัยก่อน การแข่งฟุตบอล คนดูเชื่อกรรมการ ต่อให้คนเห็นว่าลูกนี้ไม่สมควรได้ลูกโทษก็ตาม เพราะกรรมการตัดสินแล้วก็แล้วไป คนดูก็ไม่ว่าอะไร ตอนหลังพฤติการณ์มันหนักขึ้น ๆ เพราะการตัดสินมันผิดพลาดมาก

หลายครั้งกลายเป็นว่ากรรมการกับไลน์แมนลงมาเล่นด้วย เล่นทีไร อีกทีมหนึ่งก็แพ้ทุกที ผลคืออะไร คนดูทนไม่ได้ใช่ไหม เหตุการณ์เช่นนี้กำลังเกิดขึ้นกับศาลรัฐธรรมนูญของไทย มันพิสูจน์ได้โดยคำวินิจฉัยของศาลเอง

การที่สมาชิกรัฐสภาเคลื่อนไหวไม่รับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญก็เป็นสิทธิ์ที่เขาทำได้ เพราะเขาเป็นองค์กรนิติบัญญัติ เป็น 1 ใน 3 อำนาจสำคัญของบ้านเมือง ศาลรัฐธรรมนูญเป็นศาลพิเศษ ไม่ใช่อยู่ในองค์กรสำคัญของบ้านเมือง ดังนั้น ทำซ้ำซากเขาไม่ยอมรับ ถ้าต่อไปใช้คำว่าอารยะขัดขืน ไม่ให้ความร่วมมือ ไม่ฟังคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญที่สั่งให้ชี้แจง จะเรียกว่าอารยะขัดขืนได้ไหม ให้ไปลองคิดกันดู







- เมื่อรัฐธรรมนูญระบุว่าคำวินิจฉัยของศาลผูกพันทุกองค์กร แล้วอารยะขัดขืนจะใช้ช่องทางไหน

ก็ใช้ช่องทางเหมือนกับพรรคประชาธิปัตย์ไม่ส่งคนลงเลือกตั้ง หรือตอนที่ฉีกบัตรเลือกตั้ง มันเป็นช่องทางที่เป็นพฤติการณ์เรียกว่าขัดขืน เพราะคำวินิจฉัยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เขาก็มีสิทธิ์ไม่รับฟัง ก็ให้สังคมเป็นผู้วินิจฉัยว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิดถูก เพราะเหตุว่ามันไม่มีศาลอื่นที่จะพิจารณาเรื่องนี้ได้อีกแล้ว ไม่มีศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา แต่ศาลรัฐธรรมนูญมีศาลเดียว

เมื่อมันหมดทาง ก็มีนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายตุลาการ ที่จะหาทางแก้ไขยับยั้ง ทางสุดท้ายคือประชาชนที่จะรับหรือไม่รับอันนี้ เพราะระบอบประชาธิปไตยถือประชาชนเป็นใหญ่



- เมื่อเห็นว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกมานอกเลนแบบนี้ แล้วสุดท้ายศาลกลับตัดสินยุบพรรคเพื่อไทยอีกรอบ จะอารยะขัดขืนอย่างไร

ก็เขาไม่รับ ถามจริงเถอะ ถ้าตัดสินอย่างนี้ ใครเป็นคนบังคับคดีได้ (เน้นเสียง) ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจไปสั่งตำรวจ ไปสั่งใครให้จัดการ ฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติต่างหากที่เขามีอำนาจ ระหว่างช่วงนั้น เขาก็แก้ไขรัฐธรรมนูญซะ ไม่ฟังไอ้มาตรา 68 เพราะมันไม่มีอำนาจอยู่แล้ว ถ้าเขาบอกว่าแก้ไขรัฐธรรมนูญล่ะ แล้วแก้ไขเพิ่มจำนวนตุลาการ แก้ไขเรื่ององค์ประกอบ แก้ไขเรื่องการลงคะแนน ถ้าขัดขวางอีกก็เจอประชาชน เขาเรียกว่าศาลประชาชน นั่นล่ะคือกรรมการสูงสุดในการตัดสิน



- สรุปว่า แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำสั่งให้ยุบพรรค แต่ก็ไม่มีกระบวนการมาบังคับให้ต้องทำตาม

(สวนทันที) ถูกต้อง ถูกต้อง ให้ยุบพรรค คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะยุบ เขาก็ไม่รับ กกต.จะกล้าไหม ประชาชนจะยุบ กกต.เสียเอง หรือฝ่ายนิติบัญญัติแก้กฎหมายยุบ กกต.เสียเอง นอกจากนั้น ฝ่ายบริหารก็ให้ระงับการจ่ายค่าตอบแทน จ่ายเงินเดือน อยู่ได้ไหม ถ้าเขาจะตอบโต้จริง ๆ แล้วใครจะไปฟ้องล่ะ งบประมาณก็อยู่ที่ฝ่ายบริหาร ถ้าสังคมเอาด้วย ประชาชนเอาด้วย เขาก็ทำได้ แต่ที่ประชาชนเขาไม่ทำ เพราะเห็นว่าเกินไป






- ถ้าอารยะขัดขืนอย่างนี้ ฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการจะออกนอกเลน ล้ำเส้นกันหมด

ศาลรัฐธรรมนูญไม่ใช่อยู่ในอำนาจตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญเป็นศาลพิเศษ ไม่ใช่ตุลาการศาลยุติธรรม ศาลรัฐธรรมนูญเป็นศาลการเมือง มันผิดกัน



- ทำไมบ่อยครั้งข้อเสนอของอาจารย์ถูกวิจารณ์ว่าเป็นข้อเสนอที่ย้อนยุค ล้าหลัง

ความเห็นของคนแตกต่างกัน แล้วคนที่ให้ความเห็นนั้นเคยออกความเห็นอะไรที่ว่าทันสมัยบ้าง ใครที่ว่าย้อนยุคจะย้อนยังไง ในเมื่ออะไรที่ไม่ได้ผลมันก็ต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ แล้วถ้าล้ำยุคจะต้องมีตุลาการ สัก 30 คนเหรอถึงไม่ย้อนยุค จะพูดจะอะไรให้ศึกษาเสียก่อนว่าย้อนยุคคืออะไร แล้วการที่วันดีคืนดี ผู้ที่วิจารณ์แบบนี้ไปเสนออะไรที่มัน...ไม่เกิดประโยชน์ แล้วไม่เป็นประชาธิปไตย ท่านเคยทำไหม เช่นเคยเสนอให้มีนายกรัฐมนตรีพระราชทาน มาตรา 7 มันยิ่งกว่าย้อนยุค นี่มันเผด็จการ ถูกไหม



- แต่ในอดีตที่มีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 15 คน ตอนคดีซุกหุ้นภาค 1 ก็ถูกเสียงวิจารณ์ว่าเป็นการตัดสินผิดพลาดเหมือนกัน และเสียงข้างมากก็ชนะกัน 8 ต่อ 7 ห่างกันเพียงเสียงเดียว

คดีซุกหุ้นเราก็ต้องเคารพเขา มันก็ไม่มีปัญหาอะไร เราไม่ได้พูดถึงตัวบุคคล
แต่การที่ไปวินิจฉัยเอานายกฯคนหนึ่งออกจากตำแหน่ง ตีความกฎหมายอะไรก็ไม่ได้ ไปเอาพจนานุกรมมาตัดสิน มันเลวร้ายกว่าการตัดสินคดีซุกหุ้น
เรื่องการซุกหุ้นมันเป็นวาทกรรม แต่เอาผิดอะไรเขาไม่ได้ เราอย่ามาพูดในเรื่องนี้เลย เอาว่าต้องแก้ไขกันดีกว่า ว่าถ้าเชื่อตัวบุคคลก็เลิกศาลรัฐธรรมนูญสิ ไปสู่ศาลยุติธรรมธรรมดาเลยก็ได้ ถ้าจะคิดอย่างนี้

อย่าไปเอาตัวบุคคลเป็นหลัก อย่างตอนนี้ที่เหตุการณ์บ้านเมืองเป็นแบบนี้ เพราะเราก้าวข้ามคนคนหนึ่งไม่พ้นเท่านั้นเอง อย่าไปกลัวเขา สองมือสองเท้าเท่ากัน มีพรรคการเมืองเท่ากัน สู้กันในระบอบประชาธิปไตยเท่านั้นแหละ บ้านเมืองจะเรียบร้อย



- ศาลรัฐธรรมนูญก็ก้าวข้ามคนคนหนึ่งไม่พ้น

ไม่พ้น ไม่พ้น ก็นี่ไงถึงตำหนิ อย่างน้อยการวินิจฉัยด้วยคนจำนวนมาก ก็ดีกว่าวินิจฉัยด้วยคนจำนวนน้อย น้อยเท่าไหร่ก็เป็นเผด็จการมากขึ้นเท่านั้น ถ้า 15 คน คะแนนเสียงก้ำกึ่ง 9 คน ก็คะแนนเสียงก้ำกึ่ง ก็เพิ่มไป 25 คนก็ได้ เอาผู้ทรงคุณวุฒิเข้ามา



- คนที่ศาลรัฐธรรมนูญ พรรคการเมืองต่าง ๆ ก้าวไม่พ้นคือคุณทักษิณ ชินวัตร

ใคร ๆ ในโลกนี้ก็รู้ ถ้ายังมีชื่อทักษิณอยู่ ต่อให้เปลี่ยนชื่อยังไงก็ไม่ได้ เหมือนเห็นเงาปีศาจ ซึ่งมันแปลก ผมไม่เคยกลัวเลย ใครจะชื่ออะไรก็ตาม อยู่ที่หลักการความถูกต้อง แล้วใครเป็นอย่างไร ประชาชนจะเป็นผู้พิพากษาเอง



- ศาลรัฐธรรมนูญการันตีตลอดว่าวินิจฉัยตามพยานหลักฐาน ไม่เกี่ยวข้องกับคุณทักษิณ ทำไมถึงคิดว่าศาลรัฐธรรมนูญก้าวข้ามคุณทักษิณไม่พ้น

ไม่ใช่...ที่อ้างมาว่า 15 คนก็แล้ว 9 คนก็แล้ว เป็นเพราะก้าวข้ามคนคนหนึ่งใช่ไหม แล้วเอามาเป็นข้ออ้าง เวลาเราถูกใจ ก็บอกว่าตัดสินอย่างนี้ดีแล้ว ถ้าเวลาไม่ถูกใจ ก็บอกว่าเป็นเพราะคนคนหนึ่ง เลิกพูดถึงเรื่องนี้ดีกว่า คนเราเกิดมาสองมือสองเท้า ไปกลัวใคร ทุกอย่างอยู่ที่กรรมดี กรรมชั่ว ถ้าเราทำดีแล้ว ไม่ต้องไปกลัวใคร แต่ถ้าทำชั่ว แม้วันนี้เรารู้สึกว่าชนะ แต่วันข้างหน้าเราต้องรับผลกรรมอยู่ดี


- เคยเป็นตุลาการรัฐธรรมนูญในยุคประชาธิปไตยครึ่งใบ มองตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในยุคประชาธิปไตยเต็มใบในปัจจุบันต่างกับครึ่งใบไหม

ผิดกันสิครับ จะว่าครึ่งใบอะไรก็ตาม มันเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย ตุลาการรัฐธรรมนูญมาจากการโปรดเกล้าฯ มาจากการคัดเลือกมาโดยชอบธรรมเป็นที่ยอมรับ แต่จะมานับถือตุลาการศาลรัฐธรรมนูญปี 2550 มันยากแล้วล่ะ เพราะ คมช.ใช้อำนาจคณะปฏิวัติมาตั้งคนของตัวเอง 9 คน ซึ่งเป็นตุลาการส่วนใหญ่ ก็คือเลือกตุลาการภิวัตน์ ที่มามันก็ผิดแล้ว มันเทียบกันไม่ได้ อย่ามาเทียบกันเลย

แล้วตุลาการรัฐธรรมนูญ หรือตุลาการศาลรัฐธรรมนูญปี 2540 เขาก็ไม่มีตุลาการภิวัตน์อย่างนี้


- ที่ทำให้แตกต่าง มองว่ามีใบสั่งทางการเมือง

ไม่ทราบ จิตใจของตัวเองรู้ ใบสั่งไม่สั่ง กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา นักกฎหมายเขาอ่านกันออกว่าตัดสินยังไง การตีความกฎหมายใช้พจนานุกรมแค่นี้ก็รู้แล้ว ตัดสินมา 9 ต่อ 0 (คดีชิมไปบ่นไป) แล้วเขียนคำวินิจฉัยส่วนตนว่าไง เอางี้ ให้นักกฎหมายรุ่นเหลนไปวิเคราะห์ดู มันเป็นการละเมิดกฎหมาย ละเมิดการตีความ ละเมิดหลักกฎหมายที่เราสอนกันมา

ตั้งแต่สมัยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ บรรพบุรุษตุลาการไม่เคยมีปรากฏอย่างนี้ หรือจะเถียงว่าการตัดสินอย่างนี้ถูก..หา !..ไม่เคยมีตุลาการคนไหนในระบอบครึ่งใบ เต็มใบ ไม่เคยมีใครคิดแบบนี้


- ตกลงมันผิดที่ตัวตุลาการ 9 คน หรือผิดที่ตัวระบบ

มันผิดตั้งแต่ต้น องค์ประกอบที่มา อำนาจ แล้วการเลือกตัวบุคคล คนดี ๆ นะ ไม่ใช่ไม่ดี ลูกศิษย์พวกนี้เก่งทั้งนั้น อัจฉริยะไม่มีใครเกิน แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ที่ทำให้คำวินิจฉัยออกมาเป็นที่ยอมรับไม่ได้ ก็ไม่เข้าใจ
 

 

 

 

*********************************************      

             

 

 

              

 

 

 

ก่อนเข้าวงการ

รำพึง จิตรหาญ เกิดที่ บ้านหนองนกเขา ตำบลไพรนกยูง อำเภอหันคา จังหวัดชัยนาท[1] โตที่ตำบลบ่อสุพรรณ อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรีเป็นบุตรีของนายสำราญ และนางเล็ก จิตรหาญ ครอบครัวมีอาชีพรับจ้างทำไร่อ้อย เกิดในครอบครัวยากจน เป็นลูกคนที่ 5 ของบ้านในจำนวน 12 คน[2]

 

สถานภาพครอบครัวเธอจัดอยู่ในขั้นที่ยากจนมาก เธอเรียนที่โรงเรียนบ้านดอนตำลึง แต่ด้วยความที่เธอมีน้องอีก 6 คน ประกอบกับค่านิยมของแม่นั้นเห็นว่าผู้หญิงไม่จำเป็นต้องเรียนมา เธอไม่จบแม้แต่ชั้น ป.2 ในวัยเด็กพอน้องหลับหมด เธอไปหาของขาย เก็บผัก หาดอกไม้ป่า หาบไปขายตามโรงงาน[3]

 

เส้นทางนักร้อง

 

รำพึง ชื่นชอบการร้องเพลงลูกทุ่งตั้งแต่เด็ก ถึงแม้ว่าเธอจะอ่านหนังสือไม่ออกแต่ก็มีความจำดีเยี่ยม เธอเริ่มหัดร้องเพลงและเข้าประกวดตามงานต่าง ๆ ตั้งแต่อายุ 8 ปี โดยใช้ชื่อว่า น้ำผึ้ง ณ ไร่อ้อย[4] เธอเข้าประกวดล่ารางวัลไปทั่ว ตั้งแต่อำเภอศรีประจันต์ บางปลาม้า แล้วข้ามจังหวัดไปถึงอำเภอเสนา ผักไห่ มหาราช วิเศษชัยชาญ บ้านแพรก หนองโดน พระพุทธบาท สระบุรี และต่อมาอยู่กับวงดนตรีที่กรุงเทพฯ กับ ดวง อนุชา ตั้งแต่อายุประมาณ 10 ขวบ แต่ยังไม่ได้เป็นนักร้องอาชีพก็กลับบ้านอำเภอสองพี่น้อง

 

ในปี พ.ศ. 2518 เมื่ออายุได้ 15 ปี ไวพจน์ เพชรสุพรรณ นำวงดนตรีมาแสดงที่วัดทับกระดาน เธอได้ร่วมร้องเพลงและแสดงความสามารถจนไวพจน์เห็นความสามารถ เกิดความเมตตา จึงรับเป็นบุตรบุญธรรมและพาไปอยู่กรุงเทพฯ เริ่มต้นอาชีพด้วยการเป็นหางเครื่องและนักร้องพลาง ๆ ก่อนที่ไวพจน์ จะแต่งเพลงและอัดแผ่นเสียงชุดแรกให้ ชื่อเพลง แก้วรอพี่ เพลงแต่งแก้กับเพลง "แก้วจ๋า" โดยใช้ชื่อในการร้องเพลงว่า น้ำผึ้ง เมืองสุพรรณ ซึ่งจากการอยู่ในวงดนตรีไวพจน์ เพชรสุพรรณ ทำให้เธอสนิทสนมกับธีระพล แสนสุข ทำให้ต้องแยกออกจากวงดนตรีไวพจน์ เพชรสุพรรณ มาเริ่มงานกับศรเพชร ศรสุพรรณ โดยทำงานเป็นทั้งหางเครื่องและนักร้องในวง และย้ายมาอยู่กับขวัญชัย เพชรร้อยเอ็ด

 

ความสำเร็จและรางวัล

 

ในปี พ.ศ. 2519 ครูเพลงลูกทุ่งชื่อดัง มนต์ เมืองเหนือ รับเป็นลูกศิษย์ และเปลี่ยนชื่อจากน้ำผึ้ง เมืองสุพรรณเป็น "พุ่มพวง ดวงจันทร์" จากการตั้งชื่อโดย มนต์ เมืองเหนือ และได้บันทึกเสียงจากการแต่งของก้อง กาจกำแหง ร้องแก้ขวัญชัย เพลงนั้นคือ "รักไม่อันตรายและรำพึง" และตั้งวงดนตรีเป็นของตนเอง โดยการสนับสนุนของคารม คมคาย นักจัดรายการวิทยุ มนต์ เมืองเหนือแต่ไม่ประสบความสำเร็จก็มาสังกัดบริษัทเสกสรรเทป-แผ่นเสียงผลงานของพุ่มพวง ดวงจันทร์เริ่มประสบความสำเร็จในเวลาต่อมาหลังจากได้รับการสนับสนุนจากประจวบ จำปาทองและปรีชา อัศวฤกษ์นันท์ให้ตั้งวงร่วมกับเสรี รุ่งสว่าง ในชื่อวง เสรี-พุ่มพวง จากจุดนี้ก็ได้รับความสำเร็จขึ้น

 

พ.ศ. 2521 พุ่มพวงได้รับรางวัลพระราชทานเสาอากาศทองคำพระราชทาน จากสมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี จากเพลง “อกสาวเหนือสะอื้น” นอกจากนี้ ยังได้เป็นผู้ร้องเพลง "ส้มตำ" พระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี

 

พุ่มพวง ดวงจันทร์ เข้ามาอยู่สังกัดอโซน่า โปรโมชั่น ในปี พ.ศ. 2525 ผลงานในระหว่างปี 2525-2535 ของเธอมีมากมายอย่างเช่น จะให้รอ พ.ศ.ไหน (มิ.ย. 2525) สาวนาสั่งแฟน (2526) นัดพบหน้าอำเภอ (2526) ทิ้งนาลืมทุ่ง (2527) คนดังลืมหลังควาย (2528) อื้อฮื้อ ! หล่อจัง (2528) ห่างหน่อย – ถอยนิด (2529) ชั่วเจ็ดที-ดีเจ็ดหน (2529) เรื่องของสัตว์โลก (2529) และ คิดถึงน้องบ้างนะ (2530) ซึ่งสามชุดหลังเป็นชุดที่ออกหลังที่พุ่มพวงออกจากค่ายอโซน่า โปรโมชั่นแล้ว

 

ต่อมาย้ายมาอยู่กับพีดี โปรโมชั่น และ ซีบีเอส เร็คคอร์ด (ประเทศไทย) และอาจารย์ไพจิตร ศุภวารีได้เปลี่ยนภาพลักษณ์พุ่มดวงให้เข้ากระแสนิยมของเพลงสตริงในยุคนั้น แต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับของนักฟังเพลงลูกทุ่ง จึงได้ย้ายไปทำงานร่วมกับท็อปไลน์มิวสิค มีผลงานเพลงที่ได้รับความนิยมมากมาย ผลงานที่ได้รับความนิยมอย่างเช่นชุด ตั๊กแตนผูกโบว์, กล่อม และ ทีเด็ดพุ่มพวง ผลงานกับค่ายท็อปไลน์มิวสิคอื่น ๆ เช่น หนูไม่รู้, หนูไม่เอา, พี่ไปดู หนูไปด้วย และนำผลงานเก่ามามิกซ์รวมกัน เช่น พุ่มพวงหลาย พ.ศ. (ตลับทอง และตลับเพชร), ขอให้รวย, น้ำผึ้งเดือนห้า, ซูเปอร์ฮิต 1 และ 2 จากนั้นเธอเริ่มรับจ้างทำงานให้กับอาร์เอส โปรโมชั่น เมโทรเทปและแผ่นเสียง และแฟนตาซี ไฮคลาส สำหรับผลงานกับค่ายอาร์เอส เช่น ลูกทุ่งท็อปฮิตมาตรฐาน เป็นผลงานอัลบั้มที่เธอนำเพลงดังของศิลปินลูกทุ่งดังในอดีตมาร้องใหม่ นอกจากนี้ยังมีค่ายเมโทรฯ ที่ได้ลิขสิทธิ์งานเพลงชุด "ส่วนเกิน" อีก 1 ชุด[5]

 

พุ่มพวง ดวงจันทร์ กับผลงานแสดงภาพยนตร์

 

พุ่มพวงเข้าสู่วงการภาพยนตร์ในปี พ.ศ. 2526 และแสดงหนังเรื่องแรก สงครามเพลง สร้างโดยฉลอง ภักดีวิจิตร และอีกหลายเรื่อง ในช่วงที่แสดงภาพยนตร์เรื่อง มนต์รักนักเพลง ได้พบกับ (ไกรสร แสงอนันต์) ผลงานการแสดงของเธอในฐานะนางเอก อย่างเช่น สงครามเพลง, รอยไม้เรียว, ผ่าโลกบันเทิง, นักร้อง นักเลง, นางสาวกะทิสด, มนต์รักนักเพลง, ลูกสาวคนใหม่, อีแต๋น ไอเลิฟยู, หลงเสียงนาง, จงอางผงาด, ขอโทษทีที่รัก, คุณนาย ป.4, อาจารย์เด๋อเจอพุ่มพวง, สาวนาสั่งแฟน, เสน่ห์นักร้อง, นางสาวยี่ส่าย (ภาพยนตร์โทรทัศน์) เป็นต้น[5]

 

ต่อมาเมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2532 พุ่มพวง ดวงจันทร์ ได้รับรางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีอีกครั้ง ในสาขารางวัลขับร้องเพลงดีเด่น กับเพลง "สยามเมืองยิ้ม" ประพันธ์โดยครูลพ บุรีรัตน์ ในงานกึ่งศตวรรษเพลงลูกทุ่ง ภาค 2[4]

 

ลาลับ

 

13 มีนาคม พ.ศ. 2535 มีข่าวปรากฏตามหน้าหนังสือพิมพ์ว่า พุ่มพวงทะเลาะกับสามี และป่วยเป็นโรคไตขั้นรุนแรง จนต้องเข้าโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง แต่ไม่สามารถเบิกเงินจากธนาคารเพื่อมารักษาตัวเองได้ (ซึ่งมีอยู่ 6 ล้านบาท) สมุดบัญชีอยู่กับไกรสร (สามี) ที่เชียงใหม่ เธอจึงตัดสินใจสั่งอายัดเงินทั้งหมด ต่อมา 20 มีนาคม เธอเดินทางจากเชียงใหม่ เข้ารักษาตัวเองที่โรงพยาบาลตากสิน จันทบุรี และย้ายไปที่โรงพยาบาลศิริราช แพทย์ตรวจพบว่าเธอป่วยด้วยโรคเอสแอลอีหรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง อาการขั้นรุนแรง ลุกลามถึงไต ทางด้านไกรสรออกมายอมรับว่ามีปัญหาครอบครัวจริง ต่อมา 3 เมษายน แพทย์เจ้าของไข้เปิดเผยว่าพุ่มพวงอาการดีขึ้น ทางด้านญาติของพุ่มพวงมีความเห็นว่าควรรักษาด้วยไสยศาสตร์ เนื่องจากเชื่อว่าถูกปองร้ายด้วยไสยศาสตร์ด้วยวิธีการคุณไสย ต่อมาวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2535 เดินทางออกจากโรงพยาบาลศิริราชเพื่อไปรักษาด้วยวิธีทางไสยศาสตร์ ไปจังหวัดพิษณุโลกโดยเดินทางด้วยรถตู้ แต่หลังจากกราบไหว้พระพุทธชินราช เมื่อเวลาประมาณ 13.00 น. ก็เกิดอาการช็อกและหมดสติ ญาตินำส่งโรงพยาบาลพุทธชินราช กระทั่งถึงแก่กรรมอย่างสงบเมื่อเวลา 20.55 น.

 

ได้สวดอภิธรรมศพที่วัดมกุฏกษัตริยาราม พิธีพระราชทานเพลิงศพของพุ่มพวง ดวงจันทร์ จัดที่วัดทับกระดาน อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. พ.ศ. 2535 โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานในพิธี นอกจากนี้ยังมีการสร้างหุ่นพุ่มพวง ตั้งอยู่ในศาลาริมสระน้ำ วัดทับกระดาน อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งมีการจัดงานรำลึกถึงพุ่มพวงทุกปี ช่วง 13-15 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันครบรอบการเสียชีวิตของเธอ

 

ชีวิตส่วนตัว

 

แฟนคนแรกของพุ่มพวงคือ ธีระพล แสนสุข ระหว่างที่พุ่มพวง ดวงจันทร์ เทใจทุ่มกับงานอย่างเต็มที่ ธีระพลเริ่มปันใจให้กับสลักจิต ดวงจันทร์ จึงทำให้ความรักของทั้งคู่จบลง แต่ด้านธุรกิจยังคงร่วมงานกันอยู่ แต่ในปี 2530 ธีระพล แสนสุข ก็ถูกน้องชายพุ่มพวง ดวงจันทร์ ยิงตาย

 

ในปี พ.ศ. 2527 พุ่มพวงจดทะเบียนสมรสกับนายไกรสร ลีละเมฆินทร์ อดีตพระเอกภาพยนตร์ ที่ใช้ชื่อในวงการว่า ไกรสร แสงอนันต์ ต่อมาพุ่มพวงฝึกหัดเขียนหนังสือจนสามารถเขียนชื่อตัวเองได้ เพื่อประโยชน์ทางนิติกรรมต่าง ๆ ในปี พ.ศ. 2530 มีบุตรชายชื่อ สันติภาพ (ต่อมาเปลี่ยนชือเป็น สรภพ) หรือ "เพชร" หรือ "บ่อยบ๊อย" ลีละเมฆินทร์[2] ซึ่งก็เป็นนักร้องลูกทุ่ง นอกจากนี้ยังมี จันทร์จวง ดวงจันทร์ ดวงใจ ดวงจันทร์ และสลักจิต ดวงจันทร์ น้องสาวพุ่มพวงก็เป็นนักร้องเพลงลูกทุ่งเช่นกัน[6]

 

สิ่งสืบเนื่องและการรำลึกถึง

อัลบั้มเพลง

 

เดือนมิถุนายน 2535 หลังจากที่พุ่มพวงเสียชีวิต ค่ายท็อปไลน์และค่ายอโซน่า ก็นำเอาเพลงชุดต่างๆ ของพุ่มพวงออกวางจำหน่ายอีกครั้ง ท็อปไลน์ได้มีการทำปกขึ้นมาใหม่อีก คือ คิดถึงพุ่มพวง, ส้มตำ, คอนเสิร์ต โลกดนตรี โดยชุด ส้มตำ จัดสร้างขึ้นโดยคณะกรรมการจัดงานพระราชทาน เพลิงศพฯ มีคำบรรยายเกียรติประวัติพุ่มพวง และเพลงอย่าง ส้มตำ, กล่อม, ฉลองวันเศร้า, รักคุด, แล้วจะทนเพื่ออะไร, ของขวัญที่ฉันคืนเธอ, หัวใจทศกัณฐ์, เขานอนบ้านใน, หนูไม่รู้, แฟนพุ่มพวง เป็นต้น[5]

 

ผลงานอัลบั้มเพลงที่วางจำหน่ายเพื่อระลึกถึงพุ่มพวงเช่น คิดถึงพุ่มพวงและโลกของผึ้ง และยังมีเทปที่ทำเพื่อระลึกถึงการเสียชีวิตอย่างเช่น แหล่ประวัติพุ่มพวง ดวงจันทร์ โดยไวพจน์ เพชรสุพรรณ หนึ่งในดวงใจผลงานของยุ้ย โดยยุ้ย ญาติเยอะ (จริยา ปรีดากูล) เหลือแต่ดวงจันทร์ ที่ครูลพ บุรีรัตน์แต่งให้พุ่มพวง

 

งานเพลงของศิลปินที่นำเพลงของพุ่มพวงมาขับร้องใหม่โดยเฉพาะนักร้องปัจจุบัน มีความแตกต่างกันด้วยจังหวะและระยะเวลาที่ต่างกันไป แกรมมีโกลด์นำผลงานของพุ่มพวงโดยเฉพาะทีประพันธ์โดยลพ บุรีรัตน์ ออกมาอยู่เรื่อยๆ มียอดขายประสบความสำเร็จอย่างดี มีผลงานออกมาอย่าง พุ่มพวง ในดวงใจ ชุดที่ 1 – 4 โดย ใหม่ เจริญปุระ , อัลบั้ม เพชร สรภพ - เพลงของแม่ ชุดที่ 1 (ชุดเดียว) กับเพลงเปิดตัว "โลกของ ผึ้ง" โดยดัดแปลงเนื้อร้องบางส่วนให้เหมาะสมกับการถ่ายทอดบทเพลง[7] อัลบั้ม ดวงจันทร์ ... กลางดวงใจ พุ่มพวง ดวงจันทร์ โดยมีศิลปินนักร้องลูกทุ่งสาวนำเพลงมาทำใหม่ ได้แก่ สุนารี ราชสีมา (เขานอนบ้านใน, นอนฟังเครื่องไฟ, ฉันเปล่านา เขามาเอง), คัฑลียา มารศรี (สาวนาสั่งแฟน, อายแสงนีออน, หัวใจทศกัณฐ์), ฝน ธนสุนทร (สุดแค้นแสนรัก, คิดถีงบ้างเน้อ, ขอให้โสดทีเถอะ), แมงปอ ชลธิชา (รักคุด, เงินน่ะมีไหม, อื้อฮือหล่อจัง) , หลิว อาจารียา (กระแซะ, หนูไม่รู้, ผู้ชายในฝัน), เอิร์น เดอะสตาร์ (พี่ไปดู หนูไปด้วย, นัดพบหน้าอำเภอ, โลกของผึ้ง), ต่าย อรทัย (แก้วรอพี่, นักร้องบ้านนอก, คืนนี้เมื่อปีกลาย) และตั๊กแตน ชลดา (ดาวเรืองดาวโรย, ตั๊กแตนผูกโบว์, อนิจจาทิงเจอร์) นอกจากนี้ทรูแฟนเทเชีย มีผลงานชุด 7 สาวสะบัดโชว์ ก็มีเพลงของพุ่มพวง ดวงจันทร์ คือ ผู้ชายในฝัน, อื้อฮือหล่อจัง อยู่ในอัลบั้มนี้

 

ภาพยนตร์และละคร

 

ในปี พ.ศ. 2535 มีภาพยนตร์รำลึกถึงพุ่มพวง ดวงจันทร์กับเรื่อง บันทึกรักพุ่มพวง กำกับโดยดอกฟ้า ได้พุ่มพวง แจ่มจันทร์ แสดงเป็นพุ่มพวง ดวงจันทร์ โดยเป็นภาพยนตร์ที่เล่าชีวิตส่วนหนึ่งของชีวิตเธอ[8] ต่อมาในปี พ.ศ. 2541 บริษัท เจเอสแอลจำกัดได้ทำละครโทรทัศน์เรื่อง ราชินีลูกทุ่งพุ่มพวง ดวงจันทร์ ออกอากาศทางช่อง 7 ดัดแปลงจากชีวิตจริง ของพุ่มพวง ดวงจันทร์นำแสดงโดย รชนีกร พันธุ์มณี วรวุฒิ นิยมทรัพย์ ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์ [9] โดยต้อม รัชนีกรได้รับการเข้าชื่อเพื่อชิงรางวัลโทรทัศน์ทองคำในฐานะดารานำฝ่ายหญิงดีเด่น

 

ในปี พ.ศ. 2554 สหมงคลฟิล์ม ได้สร้างภาพยนตร์เรื่อง พุ่มพวง โดยนำเค้าโครงจากชีวิตจริงของพุ่มพวง ดวงจันทร์และหนังสือเรื่อง "ดวงจันทร์ที่จากไป" ของ บินหลา สันกาลาคีรี กำกับโดย บัณฑิต ทองดี นำแสดงโดย เปาวลี พรพิมล แสดงเป็นพุ่มพวง ดวงจันทร์ ร่วมด้วย ณัฐวุฒิ สกิดใจ, วิทยา เจตะภัย, บุญโทน คนหนุ่ม

 

สื่อสิงพิมพ์

 

ส่วนสื่อสิงพิมพ์ หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายสัปดาห์ เคยนำเสนอแฟชั่นหน้าคู่กลาง ราวปี 2538 เดือนมิถุนายน กับแนวความคิด “ชีวิตพุ่มพวง ดวงจันทร์” ใช้ “งานรำลึกพุ่มพวง ดวงจันทร์” มาเป็นฉากหลังของแฟชั่น มีนางแบบคือ ยุ้ย ญาติเยอะ ที่มีหน้าตาละม้ายพุ่มพวงและยังถือเป็นเงาเสียงของพุ่มพวงในสมัยประกวดคอนเสิร์ตคอนเทสต์ โดยจำลองชีวิตของพุ่มพวงตั้งแต่การออกจากโรงเรียนเพื่อทำงาน การเป็นสาวไร่อ้อย จนถึงนักร้อง โดยมีการใช้ภาพจริงประกอบ[10]

 

หุ่นพุ่มพวง

 

สำหรับหุ่นเหมือนพุ่มพวง ดวงจันทร์ ปัจจุบันมีอยู่ 7 หุ่น อยู่ที่วัดทับกระดาน 6 หุ่น ได้แก่ หุ่นที่ 1 ตั้งอยู่บริเวณสระกลางน้ำ แต่งกายชุดสีดำ เป็นหุ่นอภินิหาริย์ที่สร้างขึ้นหลังพระราชทานเพลิงศพ หุ่นที่ 2 อยู่ในตู้กระจก ยุ้ย ญาติเยอะ เป็นผู้สร้างไว้บูชาครูเพลงพุ่มพวง หุ่นที่ 3 สร้างโดยนายณรงค์ รอดเจริญ อดีตบรรณาธิการ เป็นหุ่นแก้บน ทำด้วยขี้ผึ้งแข็ง หุ่นที่ 4 เป็นสีชมพู สร้างขึ้นจากแฟนเพลง ที่เป็นหุ่นปลดนี้ รุ่นนางพญาเสือดาว หุ่นที่ 5 อยู่ในชุดเสวนาธรรม สร้างโดยญาติและกรรมการวัด หุ่นที่ 6 เป็นหุ่นสีทอง สร้างขึ้นโดยใหม่ เจริญปุระ สร้างขึ้นเพื่อบูชาครูเพลง[11] หุ่นพุ่มพวงที่วัดทับกระดานนั้น ยังมีชื่อเสียงเรื่องมีผู้นิยมมาขอหวยอย่างมากมาย[12] ส่วนหุ่นเหมือนพุ่มพวงตัวที่เจ็ดนั้น เป็นหุ่นชุดเสือดาว สร้างโดยพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งมาดามทุซโซต์ เพื่อจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑ์สาขากรุงเทพ ชั้น 6 และ 7 สยามดิสคัฟเวอรี่เซ็นเตอร์ โดยพิพิธภัณฑ์มีกำหนดเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 4 ธันวาคม 2553 หุ่นเหมือนพุ่มพวงตัวนี้เป็นตัวแรกที่ผู้สร้างส่วนใหญ่เป็นชาวต่างประเทศ และเป็นหุ่นตัวแรกที่ไม่ได้ตั้ง ณ วัดทับกระดาน[ต้องการอ้างอิง]

 

วันที่ 15 ส.ค.2552 กระทรวงวัฒนธรรม โดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิคัดเลือกปริยศิลปิน และปรมศิลปิน มีมติประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติ นายสุรพล สมบัติเจริญ และ พุ่มพวง ดวงจันทร์ หรือรำพึง จิตรหาญ เป็น "ปริยศิลปิน" ศิลปินอันเป็นที่รักยิ่งของประชาชน โดยวันที่16 ส.ค. ซึ่งตรงกับวันเสียชีวิตของนายสุรพล สวช.จะมีพิธีมอบรางวัลยกย่องอย่างเป็นทางการให้แก่ครอบครัวสมบัติเจริญ ที่ศูนย์การค้าอินเดีย เอ็มโพเรียม กรุงเทพฯ หรือ ATM พาหุรัดเดิม ส่วนครอบครัวของพุ่มพวง ดวงจันทร์นั้น สวช.จะจัดพิธีมอบรางวัลยกย่องอย่างเป็นทางการในวันที่ 30 ส.ค.2552

 

กรณีพิพาทหลังเสียชีวิต

 

14 มิถุนายน พ.ศ. 2535 นางเล็ก มารดาให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า ก่อนเสียชีวิตไม่นานว่า พุ่มพวงได้เล่าเหตุการณ์และความรู้สึกบีบคั้นโดยเฉพาะเรื่องในครอบครัวลงในเทปตลับหนึ่ง ต่อมาเทปถูกคัดลอกเพื่อออกจำหน่ายในชื่อ บันทึกลับพุ่มพวง ซึ่งมีเนื้อหาพาดพิงไกรสร แสงอนันต์ ไกรสรยื่นฟ้องศาลและศาลได้ระงับการจำหน่าย

 

ไกรสรและญาติของพุ่มพวงเกิดความขัดแย้งกันอย่างหนัก มีการกล่าวหากันไปมาทั้งสองฝ่าย มีข้อมูลระบุว่า ไกรสรกลับไปคืนดีกับอดีตภรรยา ส่วนอีกฝ่ายหาว่าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะทางฝ่ายญาติพุ่มพวงต้องการได้ส่วนแบ่งมรดกทั้งหมด 80 ล้านบาท ต่อมานางเล็กยื่นขอเป็นผู้จัดการมรดกทั้งหมด แต่ต่อมาไกรสรยื่นคำร้องต่อศาลคัดค้าน และต่อมานายสำราญ (พ่อของพุ่มพวงซึ่งหย่าจากนางเล็กแล้ว) คัดค้านอดีตภรรยาเนื่องจาก นางเล็ก อ่านเขียนไม่ออก แต่ต่อมาถอนคำร้อง และศาลได้สั่งให้ไกรสรและนางเล็กเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกัน โดยทรัพย์สมบัติแบ่งออกเป็น 2 ส่วนเท่ากัน ส่วนแรกเป็นของไกรสร อีกส่วนเป็นกองกลาง ซึ่งมีเจ้าของ 4 คนคือ นายสำราญ นางเล็ก ไกรสร และลูกชาย สันติภาพ ทุกคนจะได้รับเท่ากันในส่วนนี้ แต่หากพบว่าสมบัติใดพบหลังการแบ่งแล้ว จะยกให้สันติภาพเพียงผู้เดียว[2]

 

2 มิถุนายน 2552 นายสรภพ ลูกชายพุ่มพวงอุปสมบทให้พุ่มพวง ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร (วัดใหญ่) จ.พิษณุโลก มี นางสุพรรณี สุประการ มารดาบุญธรรม และนางบุญ สุประการ ผู้เป็นยาย ร่วมเป็นเจ้าภาพในพิธีอุปสมบท โดยในงานมีการตั้งโต๊ะรับบริจาคเงินสมทบทุนสร้างหุ่นขี้ผึ้ง “พุ่มพวง ดวงจันทร์” หุ่นที่ 7 โดยประชาชนที่บริจาคเงิน 100 บาท จะได้รับ แผ่นซีดีเพลงที่ นายสรภพ ขับร้องไว้ในชื่ออัลบั้ม “บทเพลงเพื่อแม่ผึ้ง” และมีเพลงที่พุ่มพวงร้องสดเป็นครั้งสุดท้าย[13] ทั้งนี้สรภพเกิดเรื่องขัดแย้งกับบิดาและญาติฝ่ายพุ่มพวง โดยเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2552 พระสรภพ พบกับนายไกรสรและญาติพี่น้องของพุ่มพวง ที่วัดทับกระดาน อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี และเกิดการโต้เถียงอย่างรุนแรง ในกรณีการจัดสร้างหุ่นขี้ผึ้งพุ่มพวง[14]

 

 

 

************************************************************

 

 

 

 

 

 

 

สส.ภ.9'เชื่อทีมฆ่าอยู่กทม. 'สันติภาพ'หน้าที่แค่สัปเหร่อ

 
 
 
12 มิ.ย.56 มีรายงานข่าวจากชุดสืบสวนสอบสวนกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ให้ข้อมูลว่า การสังหารนายเอกยุทธ อัญชันบุตร นักธุรกิจการเงินและอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังนั้น อาจลงมือสังหารมาจากกรุงเทพฯ ด้วยวิธีการรัดคอ โดยมั่นใจว่าทีมสังหารนั้นไม่มีคนในพื้นที่ร่วมด้วย อาจเป็นคนละทีมกัน โดยหลังจากที่สังหารแล้ว ได้นำศพลงมาทางภาคใต้

“จากการสืบสวนสอบสวนทราบว่า ระหว่างทางลงใต้ผู้ร่วมทีมสังหารอีก 1 คนที่เดินทางพร้อมกับนายสันติภาพ ได้แยกตัวระหว่างทางที่จ.สุราษฎร์ธานี และเดินทางกลับกรุงเทพฯ จากนั้นนายสันติภาพนำศพนายเอกยุทธ ลงมาพัทลุงเพียงลำพัง ก่อนที่นายสันติภาพ จะประสานเพื่อนคือนายชวลิต ให้มาช่วยกันนำศพไปฝัง”
 


 

 

 

++  ถ้าจะฆ่าชิงทรัพย์ทำไมต้องไปเอากล้องวงจรปิดที่บ้านคนตาย ทั้งๆที่งานนี้ไม่ต้องเข้าไปบ้านก็ได้
+++ ทำไมต้องไปฝั่งที่พัทลุง แล้วให้พ่อตัวเองแท้ๆไปมีส่วนร่วม ถ้าจะชิ่งทรัพย์จริงๆ ไม่ต้องเหนื่อยขับรถไปไกล เพราะถ้ายิ่งไกล ยิ่งมีหลัฐานเพียบ
++++ แล้วทำไมเสร็จงานแล้ว ถึงขับรถร่อไปร่อนมาอยู่ได้ ผิดวิ่งสัย ฆ่าชิงทรัพย์ เสร็จงานต้องทิ้งรถหนี เวลาๅสองวันน่าจะไปได้ไกล

 

 

**********************************************

 

 

ความคิดเห็น

วันที่: Fri Nov 15 17:06:02 ICT 2024

แสดงความคิดเห็น
All Comments: 0 Pages: 1/0

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>