Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ

สงครามเเฮกเกอร์

ArjanPong | 08-05-2556 | เปิดดู 2797 | ความคิดเห็น 0

 

 

                  ผู้พ่าย...

 

 

                

 

 

 

....ปล่อยให้ฉ้น อยู่ตรงนี้ ที่ฉันเจ็บ

 

เเผลอักเสบ เเก่นกลางใจ ใช่จะหาย

 

อาจต้องใช้ เวลา ถ้าไม่ตาย

 

รู้ว่าพ่าย เเพ้ยับ กับรักลวง

 

 

 

....สิ่งที่ทุ่ม เทให้ ไปไหนหมด?

 

คนใจคด เผื่อเลือกรัก ปักให้หวง

 

เกมส์นี้เธอ ชนะ จะไม่ทวง

 

ให้มันร่วง ไหลรินหมด หยดน้ำตา......

 

 

 

**************************************

 

 

แฉสงครามแฮกเกอร์ไทย ต้นเหตุป่วนเว็บทำเนียบ

วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม 2556 เวลา 18:08 น.(เดลินิวส์)
 

เมื่อวันที่ 9 พ.ค. พล.ต.ต.พิสิษฐ์ เปาอินทร์ ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ( ปอท.) กล่าวถึงความคืบหน้า ในการตามล่า แฮกเกอร์มือฉมัง ที่เข้าไปเปลี่ยนแปลงข้อมูลในเว็บไซต์ของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี(สปน.) ก่อนโพสต์ข้อความหยาบคายโจมตี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีว่า ทางตัวแทนจากสำนักนายกรัฐมนตรี ได้นำเอกสารหลักฐานเข้ามาแจ้งดำเนินคดีที่ ปอท.แล้ว ซึ่งหลังรับแจ้งได้ร่วมกับ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือไอซีที ในการตรวจสอบหาหลักฐาน ร่องรอยของการแฮกเว็บไซ์ดังกล่าว ขณะนี้รู้ตัวผู้ต้องสงสัยแล้ว เบื้องต้นมีเพียง 1 ราย อยู่ระหว่างการติดตามตัวมาสอบสวนอยู่ โดยแฮกเกอร์รายนี้ มีความสามารถในการเจาะระบบคอมพิวเตอร์ อยู่ในระดับสูง ติดอันดับ 1 ใน 5 ของประเทศไทย แถมเคยเข้าแฮกตามเว็บไซต์ของหน่วยงานราชการและเอกชนมาแล้วมากมาย อาทิ กระทรวงวัฒนธรรม สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เป็นต้น

 

“นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้ฝากกำชับว่า หากสามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้ให้สืบสวนด้วยว่า เป็นบุคคลเดียวกันกับที่เคยโพสต์ข้อความหมิ่นประมาทจนเกิดความเสียหายก่อนหน้านี้หรือไม่ ทั้งนี้หากพบว่าผิดจริงจะถูกแจ้งข้อหา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ 2550 มาตรา 16 มีอัตราโทษจำคุก ไม่เกิน 5 ปี และปรับ ไม่เกิน 1 แสนบาท หรือ ทั้งจำ ทั้งปรับ”

 

ต่อมา พล.ต.ต.พิสิษฐ์ ได้เปิดเผยข้อมูลล่าสุดว่า ขณะนี้ทาง บก.ปอท. มีหลักฐานแล้วว่าเซิร์ฟเวอร์ที่ทำการเจาะระบบข้อมูลนั้นมาจากประเทศเยอรมัน ซึ่งกำลังประสานขอข้อมูลจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติเยอรมันอยู่ ขณะเดียวกันยังได้รับการติดต่อจากหัวหน้ากลุ่มแฮกเกอร์ชื่อ ยูเอชที ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ก่อเหตุ จะเดินทางมาให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน บก.ปอท. เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ในวันที่ 10 พ.ค. เวลา 10.00 น.โดยคาดว่าอาจจะเป็นคนเดียวกับที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี อ้างถึงเป็นชาวนครศรีธรรมราช เรียนจบมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งหนึ่ง อายุ 29 ปี

 

รายงานข่าวระบุว่า การแฮกเว็บไซต์ของสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ เกิดจากสงครามแฮกเกอร์ 2 กลุ่ม ระหว่าง ยูเอชที กับสเต็ปแฮก ก่อนหน้านี้เคยเป็นกลุ่มเดียวกันและเกิดแตกแยก จนกระทั่งมีการแฮกเว็บไซต์ดังกล่าวและต่างฝ่ายต่างอ้างว่า อีกฝ่ายแฮกและพยายามโยนความผิดให้อีกฝ่าย ทั้งนี้กลุ่มยูเอชทีให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ตัวเอง

 

ด้าน น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เปิดเผยถึงความคืบหน้าติดตามผู้ต้องหาที่แฮกเว็บไซต์ของสำนักนายกรัฐมนตรีว่า ในขณะนี้ได้เบาะแสของผู้กระทำความผิดแล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้เนื่องจากอาจส่งผลต่อรูปคดี จึงขอเวลารวบรวมพยานหลักฐานให้ชัดเจน โดยจะเร่งดำเนินการอย่างเร็วที่สุด เนื่องจากการกระทำดังกล่าวอุกอาจมาก และเป็นคดีอาญาการจับกุมต้องมีความรอบคอบเพื่อไม่ให้กระทบต้องสิทธิผู้ต้องสงสัยหรือผู้ต้องหา



น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวต่อว่า สำหรับวิธีการที่แฮกเกอร์ใช้ในการแฮกเว็บไซต์ของสำนักนายกรัฐมนตรีนั้น หลังจากได้รวบรวมพยานหลักฐานทางดิจิทัล เบื้องต้นแฮกเกอร์ได้ใช้วิธีการทำ SQL Injection ที่เป็นรูปแบบของการลักลอบเข้าไปเจาะเข้าฐานข้อมูลระบบและเปลี่ยนชุดคำสั่ง เพื่อแสดงตัวเป็นเจ้าของเว็บไซต์ แล้วเมื่อดึงฐานข้อมูลจึงเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ขึ้น.

 

 

                                                                         แฮกเกอร์

 

 

 

ความจำเป็นขององค์กรที่จะต้องมีระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และใช้งานข้อมูลข่าวสารเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เครือข่ายขององค์กรจึงเชื่อมโยงทรัพยากร ทั้งระบบคอมพิวเตอร์ ฐานข้อมูล และอุปกรณ์เครื่องใช้สำนักงานอีกหลายอย่างเข้าในระบบ เช่น เครื่องพิมพ์

 

 

 เครือข่ายขององค์กรมีลักษณะเป็นเครือข่ายที่ใช้เฉพาะ มีการกำหนดการใช้งานในองค์กรเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเรื่องข้อมูลข่าวสาร เช่นเครือข่ายของธนาคาร ก็ใช้เฉพาะเจ้าหน้าที่ หรือผู้ที่เกี่ยวข้องในกรอบที่กำหนดไว้

 

 ปัจจุบันมีการเชื่อมโยงเครือข่ายขององค์กรเข้าสู่เครือข่ายสาธารณะอื่น ๆ เช่น เครือข่าย อินเทอร์เน็ต การเปิดประตูบ้านออกสู่ถนนสาธารณะย่อมเสี่ยงต่อผู้แปลกปลอมที่จะลักลอบเข้ามาในระบบ

 

 ดังนั้น ระบบรักษาความปลอดภัยของเครือข่ายเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญภายในเครือข่าย ถ้ามีการเปิดประตูให้บุคคลภายนอกเข้าได้ หรือเปิดช่องทางไว้ ย่อมเสี่ยงต่อการรักษาความปลอดภัย เช่น นำเครือข่ายขององค์กรเชื่อมกับอินเทอร์เน็ต หรือมีช่องทางให้ใช้ติดต่อผ่านทางโมเด็มได้

 

 ถึงแม้ว่าบางระบบอาจจะวางมาตรการรักษาความปลอดภัยไว้อย่างดีแล้ว มีผู้ดูแลระบบที่เรียกว่า System Admin ระบบดังกล่าวก็ยังไม่วายที่จะมีผู้ก่อกวนที่เรียกว่า แฮกเกอร์ (Hacker)
 

 

 แฮกเกอร์ คือ ผู้ที่พยายามหาวิธีการ หรือหาช่องโหว่ของระบบ เพื่อแอบลักลอบเข้าสู่ระบบ เพื่อล้วงความลับ หรือแอบดูข้อมูลข่าวสาร บางครั้งมีการทำลายข้อมูลข่าวสาร หรือทำความเสียหายให้กับองค์กร เช่น การลบรายชื่อลูกหนี้การค้า การลบรายชื่อผู้ใช้งานในระบบ

 

 ยิ่งในปัจจุบันระบบเครือข่ายเชื่อมโยงถึงกันทั่วโลก ปัญหาในเรื่องอาชญากรรมทางด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะในเรื่องแฮกเกอร์ก็มีให้เห็นมากขึ้น ผู้ที่แอบลักลอบเข้าสู่ระบบจึงมาได้จากทั่วโลก และบางครั้งก็ยากที่จะดำเนินการใด ๆ ได้

 

 ลักษณะของการก่อกวนในระบบที่พบเห็นมีหลายรูปแบบ แต่ละรูปแบบมีวิธีการแตกต่างกัน เทคนิควิธีการที่ใช้ก็แตกต่างกันออกไป
 

 

 การทิ้งระเบิดจดหมาย หรือ เมล์บอม เป็นการปลอมแปลงจดหมายจากที่หนึ่ง แล้วส่งไปยังปลายทางที่เครื่องเป้าหมาย การส่งจดหมายจะส่งมาเป็นจำนวนหลายพันหลายหมื่นฉบับ เพื่อให้เครื่องที่รับจดหมายรับไม่ไหวและหยุดการทำงาน บางครั้งผู้ก่อกวนสร้างระบบจดหมายวนลูป เช่น ให้ส่งจากเครื่องหนึ่งไปอีกเครื่อง แล้วเครื่องที่รับส่งต่อ ๆ กัน จนในที่สุดกลับมาเครื่องเดิม ทำงานไม่รู้จบ สร้างปัญหาให้กับระบบสื่อสาร

 

 แฮกเกอร์จะอาศัยช่องโหว่ของระบบปฏิบัติการ (โอเอส) ปัจจุบันเกือบทุกโอเอสมีช่องโหว่ และช่องไหว่เหล่านี้ได้รับการบอกกล่าวกันในกลุ่มแฮกเกอร์ เมื่อเข้าในระบบได้ ก็อาจมีการนำโปรแกรมบางส่วนมาใช้งานเพื่อเจาะระบบเข้าสู่ส่วนที่สำคัญ ช่องโหว่เหล่านี้บางครั้งปรากฎให้เห็นเด่นชัด แม้ขณะใช้เอดิเตอร์ของระบบปฏิบัติการก็สามารถขัดจังหวะเข้าสู่ระบบปฏิบัติการในฐานะผู้ดูแลระบบได้

 

 บางครั้งเมื่อแฮกเกอร์เข้าสู่ระบบแล้วจะลบล่องรอยของตนเองออก เพื่อไม่ให้ผู้ดูแลระบบพบหลักฐานใด การติดตามแฮกเกอร์จึงทำได้ยาก บางระบบอาจไม่รู้เลยว่าเคยมีผู้แปลกปลอมเข้ามาแล้ว

 

 บางครั้งจะพบว่า แฮกเกอร์ได้วาง ม้าโทรจันเอาไว้ ม้าโทรจันคือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือสิ่งที่แฮกเกอร์นำมาแอบซ่อนไว้ในระบบเพื่อเป็นตัวคอยเปิดช่องทางให้เข้ามาใหม่ในวันหลัง หรือเป็นตัวเก็บรวบรวมข้อมูลบางอย่างเอาไว้ เพื่อว่าจะได้นำมาใช้ประโยชน์ในภายหลัง

 

 โดยทั่วไป ผู้ดูแลระบบจะมีการเก็บประวัติการใช้งาน เก็บข้อมูลสภาพการทำงานต่าง ๆ เพื่อใช้ในการตรวจสอบ หรือดูแลสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ แฮกเกอร์ที่ชาญฉลาดและมีความรอบรู้ในเรื่องระบบ จะหาวิธีการลบล่องรอยประวัติเหล่านี้ออก เพื่อว่าจะได้ไม่หลงเหลือล่องรอยเอาไว้

 

 การป้องกันระบบจึงต้องมีการพัฒนาขึ้น ผู้ดูแลระบบหลายคน มีการวางกับดัก มีการเก็บประวัติการใช้งานระบบไว้ต่างเครื่อง เพื่อใช้ในการติดตาม หรือเฝ้าระวัง มีการสร้างโปรแกรมป้องกันต่าง ๆ เอาไว้ แต่ที่แน่นอนก็ยังมีแฮกเกอร์บางคนฝ่าด่านต่าง ๆ เหล่านี้ได้

 

 พัฒนาการระบบป้องกันการลักลอบเข้าสู่ระบบจึงได้รับการออกแบบ อุปกรณ์ที่ใช้มีชื่อว่า ไฟร์วอล (firewall) ลักษณะของไฟล์วอลเป็นเสมือนยามเฝ้าหน้าประตูที่จะเข้าสู่ระบบ ทำการตรวจค้นทุกคนที่เข้าสู่ระบบ มีการตรวจบัตรอนุญาต จดบันทึกข้อมูลการเข้าออก ติดตามพฤติกรรมการใช้งานในระบบ รวมทั้งสามารถกำหนดกฎเกณฑ์ที่จะอนุญาตให้ใช้ระบบในระดับต่าง ๆ ได้

 

 เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีข้อมูลข่าวสารที่สำคัญจึงมักต้องมีอุปกรณ์ไฟร์วอล อุปกรณ์ ไฟร์วอลเป็นอุปกรณ์ที่ยังมีราคาแพง แต่มีแนวโน้มที่มีความจำเป็นที่จะต้องมีไว้ในเครือข่าย เสมือนมียามผู้แข็งขันทำหน้าที่ตรวจสอบ รวมทั้งตรวจค้นผู้ผ่านเข้าออกระบบ

 

 ด้วยปัญหาของแฮกเกอร์ หรือปัญหาของโจรผู้ร้ายในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทำให้องค์กรต้องลงทุนเพิ่มเติม ต้องพบกับความยุ่งยากและทำให้การทำงานของระบบช้าลง เพราะต้องเสียเวลาตรวจสอบการผ่านเข้าออก

 

สังคมคอมพิวเตอร์ก็ไม่แตกต่างอะไรกับสังคมเมืองในปัจจุบัน ถ้าทุกคนมีคุณธรรม ประพฤติปฏิบัติดี บ้านเรือนก็ไม่ต้องมีรั้ว ไม่ต้องมีตำรวจ สภาพความเป็นอยู่ก็คงสันติสุขดี

 

 เขียนโดย : รศ. ยืน ภู่วรวรรณ

 

 

 

 

************************************************* 

 

 

ผู้ชายพายเรือแล้วเหตุใดผู้หญิงต้องยิงเรือ

 

ศุภกร เลิศอมรมีสุข

 

 

 

หลายๆ คนคงเคยได้ยินสำนวน “ผู้ชายพายเรือ” และ “ผู้หญิงยิงเรือ” ซึ่งในปัจจุบันหมายความว่า “ผู้ชายทั่วไป” และ “ผู้หญิงทั่วไป” ปัจจุบันนี้เราพูดสำนวนทั้งสองนี้แยกกันแต่ทราบหรือไม่ว่าในอดีตสองสำนวนนี้เป็นสำนวนเดียวกันคือ “ผู้ชายพายเรือ ผู้หญิงยิงเรือ” หรือ “ผู้ชายรายเรือ ผู้หญิงริงเรือ” หลายๆ คนคงมีความสงสัยเหมือนผู้เขียนว่าเหตุใดในเมื่อผู้ชายพายเรือแล้วผู้หญิงต้องมายิงเรือ

 

จากการเรียนวิชาสัมนาภาษาไทยปัจจุบันของผู้เขียนทำให้ผู้เขียนได้คำตอบของที่มาของสำนวนดังกล่าวโดยอาจารย์ของผู้เขียนได้ให้อ่านบทความเรื่อง “ผู้ชายพายเรือ-ผู้หญิงยิงเรือ” ซึ่งเขียนโดยอาจารย์มัณฑนา เกียรติพงษ์ แห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ซึ่งท่านได้แสดงทรรศนะเกี่ยวกับที่มาของสำนวนนี้ไว้อย่างน่าสนใจ จึงขอสรุปความของบทความดังกล่าวมาเผยแพร่ให้ทุกๆ คนได้อ่านไว้เป็นความรู้

 

สำนวนนี้พบครั้งแรกในสมัยรัตนโกสินทร์โดยปรากฏในวรรณคดีเรื่องต่างๆ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ดังนี้

 

รามเกียรติ์ฉบับพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

“เหวายมนุษย์องอาจประหลาดเหลือ พาผู้หญิงริงเรือมาแต่ไหน

ทำฮึกฮักข่มเหงไม่เกรงใจ เข้าหักโค้นต้นไม้ในอุทยาน”

 

ไชยเชษฐ์ พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

“เอออะไรไม่พอที่พอทาง มึงช่างชั่วชาติประหลาดเหลือ

ไม่รู้เท่าผู้หญิงริงเรือ ซานซมงมเชื่อนางเมียงาม”

 

พระอภัยมณี ของสุนทรภู่

“เห็นผู้หญิงริงเรือที่เนื้อเหลือง อย่ายักเยื้องเกี้ยวพานะหลานขวัญ

ล้วนนางในไม่ชั่วตัวสำคัญ จะเสียสันเสียเปล่าไม่เข้าการ”

 

กลอนเสภาขุนช้างขุนแผน

“ฝ่ายข้างพวกผู้หญิงริงเรือ บ่นว่าเบื่อรบพุ่งยุ่งหนักหนา

ให้เสียวไส้ไม่ดูได้เต็มตา เวทนาแต่เจ้าพลายชุมพล”

ฯลฯ

 

ผู้ชายพายเรืออยู่เต็มไป จะดูเล่นหรือไรไฉนนี่

ช่างกระไรรั้ววังดังไม่มี อีพวกนนี้น่าเฆี่ยนให้เจียนตาย”

จากตัวอย่างข้างต้นแสดงให้เห็นว่าในอดีตเราไม่พูดว่า “ผู้

หญิงยิงเรือ” แต่เราพูด “ผู้หญิงริงเรือ” ดังนั้นจึงทำให้สรุปว่า สำนวนผู้หญิงยิงเรือนั้นไม่ได้หมายความถึงผู้หญิงคอยดักยิงเรือของผู้ชายเป็นแน่นอนแต่เป็นเรื่องของการเพี้ยนเสียงคำว่า “ริง” มาเป็น “ยิง” ในปัจจุบัน แล้วถ้าเป็นเรื่องของการเพี้ยนเสียงดังนี้แล้ว “ผู้หญิงริงเรือ” จะหมายความว่าอย่างไร

 

เรามีสำนวนไทยที่เกี่ยวกับ “เรือ” อยู่อีกสำนวนหนึ่งคือ “ลงเรือลำเดียวกัน” และสำนวนที่เกี่ยวกับการเดินทางทางเรือคือ “ล่มหัวจมท้าย” (โปรดสังเกตว่าสำนวนนี้ปัจจุบันเราก็เพี้ยนเป็น “ร่วมหัวจมท้าย” เสียแล้ว-ผู้เขียน) ซึ่งใช้เปรียบเทียบหรือสั่งสอนว่าเมื่อแต่งงานกันก็เปรียบเสมือน ลงเรือลำเดียวกันจะสุขหรือทุกข์ก็ร่วมกัน ถ้าคนใดคนหนึ่งทำไม่ดีก็จพาอีกคนล่มจมตามไป เหมือนหัวเรือล่มไปแล้วท้ายเรือก็ต้องจมตามหัวเรือไปเป็นธรรมดา

 

ในเมื่อชายหญิงลงเรือลำเดียวกันแล้ว การจะพานาวาชีวิตไปถึงฝั่งใครเล่าเป็นผู้นำไปก็ต้องผู้ชายซึ่งในสังคมโบราณถือว่าเป็น “ช้างเท้าหน้า” จึงต้องทำหน้าที่ “พายเรือ” นำเรือชีวิตไปให้ตลอดรอดฝั่ง แล้วผู้หญิงล่ะจะทำหน้าที่อะไร หญิงไทยโบราณได้รับการอบรมสั่งสอนให้เป็นกุลสตรี เป็นแม่บ้านแม่เรือน มีหน้าที่ดูแลรักษาบ้านช่องให้ทุกคนในบ้านมีความสุข

 

ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่าผูหญิงมีหน้าที่ “ดูแล” บ้านเรือน มีคำศัพท์คำว่า “หลิง” ซึ่งแปลว่า ดู เล็ง (ยังไม่สามารถหาหลักฐาน ที่มาของคำว่า หลิง ที่แปลว่าดูได้ว่ามาจากภาษาใด- ผู้เขียน) จึงน่าจะสันนิษฐานได้ว่า “ผู้หญิงริงเรือ” มาจาก “ผู้หญิงหลิงเรือ” ซึ่งแปลว่าผู้หญิงดูเรือ นั่นเอง

 

ดังนั้นสำนวน “ผู้ชายพายเรือ ผู้หญิงริงเรือ” อาจารย์มัณฑนาจึงสรุปว่าเป็นการกำหนดหน้าที่ของสามีภรรยาซึ่งลงเรือลำเดียวกันว่าให้ฝ่ายชายเป็นผู้ออกแรงพายเรือ ซึ่งหมายถึงการทำมาหากินประกอบอาชีพ ส่วนฝ่ายหญิงก็มีหน้าที่เป็นผู้ดูแลเรือ หรือดูแลทุกข์สุขของครอบครัว

 

ความเห็นดังกล่าวของอาจารย์มัณฑนาข้างต้นก็ยังไม่เป็นข้อยุติถึงที่มาของสำนวน “ผู้ชายรายเรือ ผู้หญิงริงเรือ” หรือ “ผู้ชายพายเรือ ผู้หญิงยิงเรือ” แต่ที่สรุปได้ชัดเจนก็คือสำนวน “ผู้หญิงยิงเรือ” นั้นเพี้ยนมาจาก “ผู้หญิงริงเรือ” แน่นอน จึงทำให้คิดต่อไปได้ว่าถ้าเช่นนั้น ผู้ชายพายเรือจะเป็นสำนวนที่เพี้ยนมาจาก “ผู้ชายรายเรือ” ด้วยหรือไม่ เพราะสำนวนไทยมีลักษณะเป็นคำชุดคล้องจองกัน ถ้าเช่นนั้นก็เป็นที่น่าศึกษา ค้นคว้ากันต่อไปว่าแล้ว “ผู้ชายรายเรือ” นั้นแปลว่าอะไร ถ้าทราบความหมายของผู้ชายรายเรือก็น่าจะเป็นกุญแจไขไปสู่ที่มาและความหมายที่แท้จริงของ “ผู้หญิงริงเรือ” ได้

 

 

ไหนๆ ก็พูดถึงเรื่องสำนวนไทยจึ่งขอยกตัวอย่างสำนวนที่ไม่ค่อยคุ้นหูในปัจจุบัน และสำนวนที่มักมีผู้ใช้หรือพูดกันผิดๆ ไว้ให้ได้สังเกตกัน โดยผู้เขียนนำข้อมูลส่วนหนึ่งมาจากบทออกอากาศทางสถานีวิทยุการศึกษา และบทความที่อาจารย์ของผู้เขียนนำมาให้อ่านในชั้นเรียนซึ่งบางส่วนไม่ได้ระบุข้อมูลทางบรรณานุกรมไว้ ทำให้ไม่สามารถระบุการอ้างอิงในบรรณานุกรมได้ครบถ้วน

 

ได้แกงเทน้ำพริก หมายถึง ได้ใหม่ลืมเก่า

เงื้อง่าราคาแพง หมายถึง ทำอะไรไม่กล้าตัดสินใจลงไป ตีแต่วางท่าหรือทำ

ท่าว่าจะทำเท่านั้น

ไฟสุมขอน หมายถึง อารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ในใจ

ซื้อวัวหน้านา ซื้อผ้าหน้าหนาว,

ซื้อควายหน้านา ซื้อผ้าหน้าตรุษ หมายถึง ซื้อของไม่คำนึงถึงกาลเวลาย่อมได้ของ

แพง ทำอะไรไม่เหมาะสมกับ กาลเวลา

ย่อมได้รับความเดือดร้อน

เถรส่องบาตร หมายถึง คนที่ทำอะไรตามเขา ทั้งๆ ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว

 

กินแกลบกินรำ หมายถึง คนโง่ เช่น ฉันไม่ใช่พวกกินแกลบกินรำอย่ามาหลอกเสียให้ยาก ปัจจุบันสำนวนนี้ดูจะตัดสั้นลงเหลือแต่เพียง “กินแกลบ” และความหมายก็ผิดเพี้ยนไปกลายเป็น อดอยาก ไม่มีจะกินกิน ไปเสีย เช่น เพิ่งต้นเดือนเงินเดือนก็หมดแล้วคงต้องกินแกลบไปทั้งเดือน

 

กงเกวียนกำเกวียน มักพูดกันเป็น กงกำกงเกวียน บางคนเขียนเป็น กงกรรมกงเกวียน เสียด้วยซ้ำ สำนวนนี้แปลว่าทำกรรมเช่นใดย่อมได้รับผลกรรมนั้นตอบสนอง มีที่มาจากล้อของเกวียนที่ประกอบด้วย กง คือ วงล้อที่อยู่ด้านนอก และ กำ คือ ซี่ล้อ เมื่อกงหมุนไปที่ใด เปรียบกับคนที่ทำกรรมอะไรไว้ ซี่ล้อหรือกำซึ่งเปรียบกับผลกรรมหรือผลแห่งการกระทำก็จะหมุนตามกงหรือการกระทำนั้นไปเสมอ

 

ช้าๆ ได้พร้าสองเล่มงาม ที่แปลว่าค่อยๆ คิด ค่อยๆ ทำแล้วจะสำเร็จผล ปัจจุบันมักเหลือพร้าแค่เล่มเดียว เป็นช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม

 

สองแง่สองง่าม บางคนพูดเป็น สองแง่สามง่าม ซึ่งไม่ถูก ของเดิมมีแค่สองเท่านั้น

ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว คนสมัยนี้แลดูจะ ”โลภ” มากขึ้นยิงปืนนัดเดียวแต่หวังกหลายตัว ขอให้จำไว้ว่าแต่เดิมยิงปืนนัดเดียวหวังได้นกเพียงหนึ่ง ถ้าโชคดีได้นกเพิ่มมาอีกตัวเป็นสองตัวก็นับว่าโชคดีแล้ว

 

ไก่เห็นนมไก่ งูเห็นตีนงู แปลว่าผู้ที่เป็นพวกเดียวกันย่อมมองเห็นเล่ห์เพทุบายหรือเข้าใจในการปฏิบัติของกันและกันได้ดี แต่ปัจจุบันเรามักพูดสำนวนนี้ ”ผิดเพี้ยน สลับกัน” เป็น “ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่” ความหมายก็เพี้ยนไปจากเดิมคือกลายเป็น ต่างฝ่ายต่างล่วงรู้ความรับของอีกฝ่ายไปเสีย

 

เพื่อยืนยันความถูกต้องของสำนวน “ไก่เห็นนมไก่ งูเห็นตีนงู” จึงขอยกโคลงโลกนิติ พระนิพน์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร ความว่า

 

ตีนงูงูไซร้หาก เห็นกัน

นมไก่ไก่สำคัญ ไก่รู้

หมู่โจรต่อโจรหัน เห็นเล่ห์ กันนา

เชิงปราชญ์ฉลาดกล่าวผู้ ต่างรู้เชิงกัน”

 

ขายผ้าเอาหน้ารอด แปลว่ายอมสละแม้ของที่จำเป็นเพื่อรักษาชื่อเสียงที่มีอยู่ คนปัจจุบันแค่ขายผ้าคงไม่หนำใจหรือคงไม่พอจะรักษาชื่อเสียงที่มีอยู่เลยต้องถึงกับ “แก้ผ้าเอาหน้ารอด” เลยทีเดียว มิหนำซ้ำความหมายก็ดูจะ “ผิดเพี้ยน” ไปคือหมายถึงทำสิ่งใดพอให้พ้นตัวไป

 

ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ตามใจผู้นอน หมายความว่า จะทำอะไรให้ใครต้องถามความพอใจของผู้ได้รับ เหมือนปลูกบ้านเรือนก็ต้องถามความพอใจของผู้อยู่อาศัย ผูกอู่ หรือผูกเปล ก็ต้องถามผู้นอนว่าพอใจหรือยัง คนในปัจจุบันคงไม่ค่อยได้นอนเปลแล้วจึงไม่ค่อยรู้จักกริยา ผูก มิหนำซ้ำยังไม่รู้ด้วยว่า อู่ แปลว่า เปล รู้จักก็แต่อู่รถ จึงหันไป “ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ปลูกอู่ตามใจผู้นอน” กันเป็นแถว สงสัยคนปัจจุบันคงจะย้ายที่นอนไปนอนในอู่รถด้วย

 

ตื่นก่อนไก่, หัวไก่โห่ ปัจจุบันเรามักพูด ”ผิดเพี้ยน” โดยเอาสองสำนวนนี้มารวมกันเป็น “ตื่นแต่ไก่โห่”

 

ไม่แน่ไม่แช่แป้ง หมายถึงถ้าไม่มั่นใจย่อมไม่ลงมือกระทำ สำนวนนี้เกี่ยวข้องกับการทำอาหารขนมโบราณซึ่งมีแป้ง กะทิ และน้ำตาลเป็นส่วนประกอบหลัก และการที่จะแปรรูปข้าวให้เป็นแป้งก็ต้องเอาข้าวสารมาแช่น้ำแล้วจึงนำมาโม่ให้เป็นแป้งสำหรับเป็นวัตถุดิบในการทำขนม หากแช่ข้าวสารแล้วไม่โม่ข้าวนั้นก็จะเสียไปไม่สามารถนำมาหุงได้เนื่องจากข้าวสารจะบานหมด ปัจจุบันเราก็มักพูดเพี้ยนไปเป็น “แน่เหมือนแช่แป้ง” ซึ่งไม่สื่อความหมายเอาเสียเลยว่าการแช่แป้งนี่แสดงความแน่นอนอย่างไร

 

จากตัวอย่างการใช้สำนวนผิดข้างต้นอาจจะเพราะความไม่รู้ และความไม่เข้าใจสังคมตลอดจนวัฒนธรรมโบราณ อีกทั้งสังคมปัจจุบันก็เปลี่ยนแปลงไปจากอดีตมาก หลายๆ สิ่งก็เปลี่ยนไป เลือนหายไป คนปัจจุบันที่ไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็นสังคมวัฒนธรรมโบราณจึงดัดแปลงสำนวนที่มีมาซึ่งฟังแล้วไม่เห็นภาพ ไม่เข้าใจ ไปตามความรู้สึกส่วนตัว

 

เจตนาที่ยกเอาสำนวนต่างๆ เหล่านี้มากล่าวไม่ได้ต้องการ “จับผิด” หรือว่าไม่ควรจะคิดสำนวนใหม่ๆ ใช้ในภาษาไทย อันที่จริงการคิดสำนวนใหม่ใช้ในภาษาเป็นสิ่งที่ดีแสดงให้เห็นความงอกงามของภาษา แต่ในเมื่อเรามีสำนวนที่เป็นของเก่าใช้สื่อความกันมาก่อนอยู่แล้วก็ควรจะช่วยกันรักษาไว้เป็นมรดกทางภูมิปัญญา ไม่จะควรทำลายให้มรดกที่ได้รับสืบทอดนี้สูญหายไป

 

 

 

***************************************************

 

 

 

****==ผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าฯ กทม. ด่า "ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์" เจ็บ==****

 

 
 
 
****==ผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าฯ กทม. ด่า "ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์" เจ็บ==****

วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
ผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าฯ กทม. ด่า "ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์" เจ็บ "เคยเป็นรองผู้ว่าฯ กทม. น่าจะเข้าใจ"

 

นายยุทธพันธุ์ มีชัย ผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวถึงความคืบหน้าการเจราจากับ นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำแนวร่วมคนไทยรักชาติรักษาแผ่นดิน ที่ชุมนุมที่สนามหลวงเป็นวันที่ 3 ว่า เมื่อเวลา 20.00 น. วานนี้ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง รองผู้ว่าฯกทม. ได้เข้าเจรจาอีกครั้ง ว่าสนามหลวงเป็นพื้นที่ที่ไม่อนุญาตให้เข้ามาทำกิจกรรมชุมนุมทางการเมืองได้ หากยังไม่ยอมย้ายออกจะเกิดพฤติกรรมเลียนแบบ อีกทั้งในวันที่ 13 พ.ค.นี้ จะมีงานพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญในวันพืชมงคล ซึ่งจะต้องใช้พื้นที่ฝั่งพระบรมหาราชวังเป็นฝั่งที่ผู้ชุมนุมปักหลักชุมนุมอยู่ ทำให้อาจจะส่งผลกระทบต่อการจัดงานได้

 

นายยุทธพันธุ์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ กทม.ยังเสนอสถานที่ชุมนุมที่สวนสนามชัย เขตพระนคร เพราะความปลอดภัย และรองรับคนได้จำนวนมากเช่นกันแทน ซึ่งนายไชยวัฒน์ ที่เคยเป็นถึงอดีตรองผู้ว่าฯกทม. ก็เข้าใจในหลักการทุกอย่าง แต่ก็ยืนยันจะขอใช้พื้นที่สนามหลวงปักหลักชุมนุมต่อไป โดยอ้างระบอบการปกครองประชาธิปไตย ซึ่งทางกทม.ก็เข้าใจจะให้เวลาแกนนำไปพูดคุยตกลงกันอีกครั้ง เพราะสิ่งที่ กทม.เสนอไปเชื่อว่า คนที่เคยเป็นถึงรองผู้ว่าฯกทม.น่าจะเข้าใจ และเห็นถึงความจำเป็นด้วย

 

นายยุทธพันธุ์ กล่าวต่ออีกว่า ส่วนกรณีหลายฝ่ายออกมาตั้งข้อสังเกตว่า กทม.เลือกปฏิบัติให้ความช่วยเหลือผู้ชุมนุมมากไปหรือไม่นั้น ยืนยันกทม.ยินดีให้ความช่วยเหลือคนทุกกลุ่ม และคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนที่มาชุมนุมทุกกลุ่ม ทุกสี ไม่มีการเลือกปฏิบัติ แต่การชุมนุมจะต้องยึดหลักความถูกต้อง และเหมาะสม หากไม่ถูกจะต้องเริ่มต้นที่การพูดคุย กทม.จึงอยากขอความร่วมมือผู้ชุมนุม การที่จะหยิบกฎหมายในมือมาบังคับใช้อยากจะให้เป็นมาตรการสุดท้าย เพราะไม่อยากเป็นการเพิ่มความกดดันท่ามกลางความขัดแย้ง จนมองว่าเป็นประเด็นทางการเมือง

 

"กทม.คงจะไม่เข้าไปเจราจาอีก เพราะวานนี้ได้พูดคุยถึงความจำเป็น และข้อเสนอไปหมดแล้ว หลังจากนี้คงต้องให้เวลาแกนนำไปทบทวนความเหมาะสม โดยที่ กทม.มีกรอบเวลาที่กำหนดอยู่ จึงขอให้เป็นหน้าที่แกนนำผู้ชุมนุมที่ตัดสินใจ"นายยุทธพันธุ์ กล่าว

 

 

กทม เล่นละครตบตาชาวบ้าน 5555 อ่านข่าวแล้วขำหวะ?? การแหกตากันเนี่ยทำกันเป็นประจำ

แหม..คนไทยเนี่ยมันโง่บัดซบกันจังนะในสายตา ของ กระบวนการณ์ กทม ที่จะมองอะไรไม่ทะลุ

แกล้งทำเป็นแอ๊คอาร์ทเอาจริงเอาจัง แต่ขนส้วมเอ่ย ขนแท๊งค์น้ำเอ่ยมาประเคนให้ ม็อบ VIPโถ...

คิดว่าประชาชนภายนอก กทม กินหญ้าซิท่า???ไอ้ละครเล่นตบตาแบบนี้ไม่ต้องเล่นหรอกนะ หาก

จะอนุญาติให้ม็อบร้อยพ่อพันแม่ อยู่สนามหลวงเป็นสิทธิ์ของ กทม ไม่มีใครว่านี่น่า..ร้อนตัวทำไม

ไม่ทราบ????

 

 

 

อย่าดัดจริตนักเลย คิดจะไล่ม็อบง่ายนิดเดียว

ทำอย่างที่เคยทำ

ส่งทหารไปกระชับพื้นที่ ติดป้ายว่าเขตใช้กระสุนจริง โปรยแก๊สน้ำตาจาก ฮ. และทำในยามวิกาล

ตามหลักสากลที่พรรคพวกท่านเคยเห่าไว้ไง

 

***********************************************************

 

 

ความคิดเห็น

วันที่: Fri Nov 15 18:47:14 ICT 2024

แสดงความคิดเห็น
All Comments: 0 Pages: 1/0

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>