ละเมอสุดโลก..
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานข่าวประหลาด เมื่อสาวใหญ่วัย 50 ปี เดินละเมออกจากบ้านไปไกลกว่า 14.5 ก.ม.
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อนายริชาร์ด กริกก์ อายุ 50 ปี เข้าแจ้งความให้ตำรวจช่วยตามหาภรรยา หลังจากตื่นมาแล้วไม่เจอแต่พบว่าหน้าต่างห้องครัวทิ้งไว้ โดยหลังจากนั้นมีผู้พบเห็นภรรยาของเขาที่พุ่มไม้ในฟาร์มแห่งหนึ่งใกล้กับเคเมิลฟอร์ด ซึ่งห่างจากบ้านของเขาในลอนเซสตัน มณฑลคอร์นวอล ออกไปราว 14.5 ก.ม.
จากการสอบสวนทราบว่า นางจอย กริกก์ อายุ 50 ปี ภรรยาของนายริชาร์ด เดินละเมอไปเปิดหน้าต่างครัวแล้วปีนออกไป จากนั้นได้เดินไปเรื่อยๆ จนถึงจุดดังกล่าว ซึ่งสามีของนางจอยเผยว่า นางจอยเคยเดินละเมอหายไปไกลจากบ้านเป็นระยะทาง 8 ก.ม.มาก่อน เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา
โดย...นางสาวสิริพร ถนอมเงิน
เขตจตุจักร กรุงเทพฯ
(
ความฝันและการละเมอ
คำว่า “ฝัน” มาจากคำเก่าในภาษาอังกฤษที่มีความหมายว่า ความยินดีและเสียงดนตรี แต่ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน
ของไทยนั้นได้ให้คำนิยามของ “ฝัน” ไว้ว่า เป็นการนึกเห็นเป็นเรื่องราวขณะนอนหลับ
จากการวิจัยพบว่า ความฝันส่วนใหญ่จะกินเวลานาน 2-3 วินาที แต่จะไม่เกิน 40 นาทีโดยประมาณ คนที่หลับสนิทจะจำความฝัน
ได้น้อยหรืออาจไม่รู้สึกว่าฝันเลย โดยทั่วไปคนจะจำความฝันของตัวเองได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในช่วงของการหลับแบบตากระตุก
ความฝันโดยส่วนมากจะอยู่ในรูปของการเห็น รองลงมาเป็นการได้ยิน การสัมผัสและความเจ็บปวด ที่พบน้อยมาก คือ ความฝัน
ในรูปของการได้ลิ้มชิมรสกับการได้กลิ่น
ภาพจาก http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/313/4313/images/tyu.jpg
|
|
ในแง่มุมของนักวิทยาศาสตร์ การฝัน นับเป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติของสมอง ซึ่งบางส่วนยังคงทำงานสานต่อกันเป็นการ
เห็น ได้ยินและสัมผัสต่างๆ โดยปราศจากการควบคุมจากซีรีบรัม (Cerebrum) ทำให้ความฝันทั้งหมดแปลกและพิสดารเกินกว่าจะ
เกิดขึ้นในชีวิตจริงได้
ส่วนในแง่มุมของนักจิตวิเคราะห์นั้นถือว่า ความฝัน เป็นสิ่งสะท้อนจิตในส่วนลึกตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ทั้งความสุข สมหวัง ความ
ทุกข์และความผิดหวัง จึงสามารถนำความฝันมาใช้ในการทำจิตบำบัด (Psychotherapy) แก่ผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตได้
สิ่งที่มีอิทธิพลกับความฝัน มีดังนี้
1. สภาพจิตใจ
2. การแพ้อาหารหรือยาบางชนิด
3. การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมาก ซึ่งรบกวนการนอนหลับอย่างสงบ
4. การเจ็บไข้ได้ป่วย
5. สภาพแวดล้อมของห้องนอน เช่น อากาศร้อน-เย็น แสงสว่างหรือเสียงที่รบกวน ล้วนสร้างความกดดันให้แก่ร่างกายและจิตใจ
และอาจสะท้อนออกมาในความฝันได้
6. การมีรอบเดือน อาจมีอิทธิพลต่อผู้หญิงบางคน
7. ทิศทางของที่นอน บางคนแนะนำว่า ถ้าคุณหันหัวนอนไปทางขั้วแม่เหล็กโลกขั้วเหนือ (North pole) เพื่อให้สนามแม่เหล็ก
ไฟฟ้าในร่างกายเราสอดคล้องกับสนามแม่เหล็กโลก ซึ่งจะทำให้คนเรามีความกลมกลืนกับพลังงานตามธรรมชาติ ช่วยให้หลับได้สนิท
ภาพจาก http://www.lauriermybrand.com/uploads/images/body_dec02.jpg
|
|
การนอนละเมอ (Sleepwalking) คือ การทำกิริยาต่างๆ โดยไม่รู้ตัวในขณะที่กำลังหลับและเมื่อตื่นขึ้นมาจะจำไม่ได้
การละเมอ เกิดจาก 2 สาเหตุใหญ่ คือ
1. สิ่งกระตุ้นจากภายนอก เช่น หนังเขย่าขวัญ ภาพน่ากลัวหรือกิจกรรมในตอนกลางวันอันชวนตื่นเต้น ทำให้ฝังใจแม้ในยาม
หลับก็ยังนึกถึง
2. สิ่งกระตุ้นจากภายใน ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งความเครียด ความเหนื่อยล้า กรรมพันธุ์ การปรับเปลี่ยนเวลานอน เช่น การทำงาน
ทั้งวันทั้งคืนโดยไม่ได้พักผ่อนหรือการคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ก่อนนอน
ภาพจาก http://202.129.48.218/sar/photo/night_walking.jpg
|
|
การนอนหลับของเด็กจะมี 2 ช่วง เรียกว่า ช่วงหลับตื้น (REM Sleep) และช่วงหลับลึก (Non-REM Sleep) ซึ่งเป็นช่วงระยะ
หลังจากหลับไปแล้ว 2-3 ชั่วโมง และการละเมอก็จะเกิดขึ้นในหลับลึก
ปัญหาการนอนละเมอในเด็ก มี 2 แบบ คือ
1. ละเมอฝันผวา (Night terror) ส่วนมากเกิดในเด็กอายุ 4-7 ปี เนื่องจากระบบประสาทของเด็กยังพัฒนาไม่เต็มที่ การจัดเรียง
ข้อมูลในสมองจึงยังไม่เป็นระเบียบนัก โดยเด็กมักตกใจตื่นอย่างฉับพลัน บางครั้งก็หวีดร้อง แต่เมื่อตื่นขึ้นมาเด็กจะจำอะไรไม่ได้
วิธีแก้ไข คือ อุ้มเด็กมากอดไว้ ลูบหัว ตบก้น โยกตัวเบาๆ และปลอบให้นอนต่อ เพราะถึงอย่างไรก็ตามเด็กก็จะจำความฝันนี้
ไม่ได้อยู่ดี
2. ละเมอเดิน (Sleepwalking) มักเกิดขึ้นในเด็กโต โดยอาจเดินไปรอบๆ ห้องหรือเดินไปนอกห้องหรือนอกบ้านทั้งๆ ที่ไม่รู้ตัว
และเมื่อตื่นมาก็จะจำอะไรไม่ได้เช่นกัน
วิธีแก้ไข คือ เบื้องต้นควรปรับสภาพแวดล้อมห้องเพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้น โดยจัดห้องให้โล่ง ปิดประตู-หน้าต่างห้องให้
แน่นหนา และไม่ควรใช้เตียงสองชั้น ในบางครั้งผู้ปกครองอาจเล่านิทานน่ารักๆ หรือเปิดเพลงให้เด็กฟังก่อนนอนเพื่อเป็นการผ่อนคลาย
ก็ได้
ส่วนการนอนละเมอในผู้ใหญ่นั้นยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเกิดจากสาเหตุใด แต่สันนิษฐานว่า อาจเกิดจากสิ่งเร้าบางอย่าง เช่น ความ
เครียด เสียงดัง การดื่มสุราหรือการกินยานอนหลับ
ในคนปกติ การนอนละเมอจะเป็นเพียงช่วงสั้นๆ เท่านั้นไม่กี่วันก็หายไปเอง แต่ถ้าเป็นนานมากและค่อนข้างบ่อย จนรบกวนชีวิต
ประจำวัน เช่น ตื่นเช้ามาแล้วรู้สึกว่าหลับได้ไม่เต็มที่ ร่างกายอ่อนเพลีย ไม่มีสมาธิในการทำงาน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อลดความเครียด
และประพฤติกรรมที่อาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดการนอนละเมอและในบางรายอาจต้องใช้ยาเพื่อ
ปรับคุณภาพการนอนให้ดีขึ้น
|
*****************************************************************
80ปี ส.ศิวลักษณ์ เสวนา "สังคมสยามตามทัศนะของปัญญาชนไทยหมายเลข ๑๐" ส.ศิวลักษณ์ อ.สมศักดิ์ เจียม อ.ไชยยัน อ.สุทธาชัย
ไทยรั้งประเทศที่มีความสุขอันดับที่ 52 ของโลก
หลังจากเมื่อปีที่แล้ว สหประชาชาติ หรือ ยูเอ็น ประกาศให้วันที่ 20 มีนาคม ของทุกปีเป็นวันความสุขสากล (The International Day of Happiness) ทำให้วันที่ 20 มีนาคม ของปีนี้ คือ วัน “ความสุขสากล” ครั้งแรกของโลก ซึ่งสหประชาชาติได้สำรวจระดับความสุขใน 156 ประเทศทั่วโลกออกมา
โดย นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต แถลงถึงผลสำรวจที่ว่านี้ว่า ประเด็นในการชี้วัดความสุข ไม่ได้นับเอาเรื่อง “ความร่ำรวย” เป็นเรื่องหลัก แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่น เสรีภาพทางการเมือง,การคอร์รัปชั่น หรือ ความเข้มแข็งของเครือข่ายภาคส่วนต่างๆในสังคม รวมถึงสุขภาพกายและสุขภาพใจที่ดี
ซึ่งผลการสำรวจครั้งนี้ ยูเอ็นระบุว่า “ประเทศไทย” มีความสุขอยู่ในลำดับที่ 52 ของโลก ถือเป็นอันดับที่ 3 ในอาเซียนรองจาก ประเทศสิงคโปร์ ที่ได้ลำดับที่ 33 และมาเลเซียอันดับที่ 51 แต่มีระดับความมีอารมณ์ดีเป็นลำดับที่ 8 ของโลก และระดับการมีอารมณ์เสียน้อยเป็นลำดับที่ 14
ส่วนประเทศที่มีความสุขมากที่สุดในโลกจากการสำรวจ ครั้งนี้ ได้แก่
1.เดนมาร์ก
2.ฟินแลนด์
3.นอร์เวย์
ส่วนประเทศที่มีความสุขน้อยที่สุด
1.โตโก
2.เบนิน
3.สาธารณรัฐแอฟริกากลาง
ด้าน น.ส.รัจนา เนตรแสงทิพย์ รองผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติกล่าวว่า จากการสำรวจข้อมูลความสุขของคนไทยต่อเนื่อง 5 ปี พบว่าแนวโน้มคนไทยมีระดับความสุขเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ
โดยจังหวัดที่มีความสุขมากที่สุด 5 อันดับแรก จากคะแนนเต็ม 45 คะแนน ได้แก่
1. จ.นครพนม 36.70 คะแนน
2. จ.พิจิตร 36.39 คะแนน
3. จ.ตรัง 36.15 คะแนน
4. จ.ชัยภูมิ 35.92 คะแนน
5.จ.กระบี่ 35.79 คะแนน
ส่วนจังหวัดที่มีความสุขน้อยที่สุด 5 อันดับ คือ
1. จ.สมุทรสงคราม 26.92 คะแนน
2. จ.สมุทรปราการ 29.81 คะแนน
ส่วน กทม. ได้คะแนน 32.15 คะแนน อยู่อันดับที่ 65 ของตารางความสุข
"ไทย"สุขลำดับ3 ในอาเซียนรองสิงคโปร์-มาเลย์ อารมณ์ดีลำดับ8 ของโลก "นครพนม"แชมป์แฮป*** กทม.รั้งท้าย
เมื่อวันที่ 18 มีนาคม ที่กรมสุขภาพจิต นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต แถลงข่าวเรื่อง "ความสุขคนไทย:เราจะทำอะไรกันได้บ้าง" ว่า เมื่อปี 2555 สหประชาชาติ หรือ ยูเอ็น ประกาศให้วันที่ 20 มีนาคม ของทุกปีเป็นวันความสุขสากล (The International Day of Happiness) ในปี 2556 จึงเป็นการจัดวันความสุขสากลครั้งแรก ซึ่งรายงานว่าด้วยความสุขโลกของสหประชาชาติได้สำรวจระดับความสุขใน 156 ประเทศทั่วโลก ระบุว่า ความร่ำรวยเป็นเพียงแค่ปัจจัยหนึ่งของความสุขเท่านั้น ยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่น เสรีภาพทางการเมือง ความเข้มแข็งของเครือข่ายสังคม การไม่มีคอร์รัปชั่น ส่วนความสุขในระดับบุคคล การมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีความมั่นคงในอาชีพการงานและครอบครัวเป็นปัจจัยสำคัญของการมีความสุข
นพ.วชิระกล่าวอีกว่า ยูเอ็นระบุว่าประเทศไทยมีความสุขอยู่ในลำดับที่ 52 ของโลก เป็นอันดับที่ 3 ในอาเซียนรองจากสิงคโปร์ อยู่ที่ลำดับ 33 และมาเลเซียอยู่ที่ 51 แต่มีระดับความมีอารมณ์ดีเป็นลำดับที่ 8 ของโลก และระดับการมีอารมณ์เสียน้อยเป็นลำดับที่ 14 อย่างไรก็ตาม ปัจจัยความสุขที่สำคัญของทุกประเทศทั่วโลก ได้แก่ รายได้ การมีงานทำ ความสัมพันธ์ที่ดีและความไว้วางใจกันในชุมชน การมีค่านิยมที่เอื้อต่อความสุขและศาสนา สุขภาพกาย สุขภาพจิต ความสัมพันธ์ในครอบครัว การศึกษาและความเท่าเทียมทางเพศและสังคม
น.ส.รัจนา เนตรแสงทิพย์ รองผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ กล่าวว่า จากการสำรวจข้อมูลความสุขของคนไทยต่อเนื่อง 5 ปี พบว่าแนวโน้มคนไทยมีระดับความสุขเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ โดยจากคะแนนเต็ม 45 คะแนน ในปี 2551มี 31.8 คะแนน ปี 2552 ได้ 33 คะแนน ปี 2553 ได้ 33.3 คะแนน ปี 2554 ได้ 32 คะแนน สำหรับปี 2555 พบว่าคะแนนความสุขของคนไทยเพิ่มขึ้นเป็น 33.59 คะแนน โดยจังหวัดที่มีความสุขมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จ.นครพนม 36.70 คะแนน จ.พิจิตร 36.39 คะแนน จ.ตรัง 36.15 คะแนน จ.ชัยภูมิ 35.92 คะแนน และ จ.กระบี่ 35.79 คะแนน ส่วนจังหวัดที่มีความสุขน้อยที่สุด 5 อันดับ คือ จ.สมุทรสงคราม 26.92 คะแนน จ.สมุทรปราการ 29.81 คะแนน รองลงมา จ.สระแก้ว, ภูเก็ต, หนองคาย และ จ. กาญจนบุรี ส่วน กทม.มีความสุขน้อยอยู่ที่ 65 ได้ 32.15 คะแนน เพราะความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้น และการไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัว ส่วน จ.นครพนมที่มีความสุขสูง เพราะมีรายได้ระดับปานกลาง และมีความมั่นคงด้านครอบครัวสูง
อนึ่ง ยูเอ็นได้สำรวจความสุข 156 ประเทศทั่วโลก ตั้งแต่ปี 2548-2554 ประเทศที่มีความสุขมากที่สุดในโลก 3 อันดับแรก เป็นกลุ่มประเทศร่ำรวยในสแกนดิเนเวีย ได้แก่ เดนมาร์ก, ฟินแลนด์ และนอร์เวย์ ส่วนประเทศที่มีความสุขน้อยที่สุด เป็นประเทศยากจนในภูมิภาคซับ-ซาฮาราในทวีปแอฟริกา ได้แก่ โตโก, เบนิน, สาธารณรัฐแอฟริกากลาง และเซียร์ราลีโอน ขณะที่ไทยติดอยู่อันดับ 52 มาเลเซีย 51
*************************************************************************
รู้หรือไม่: ปวดส้นเท้า (สสส.)
อาการปวดส้นเท้า เกิดจากอะไร วันนี้มีคำตอบค่ะ
อาการปวดส้นเท้าพบบ่อยในคนที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป โดยมีอาการปวดบวมที่ส้นเท้า และอาจลามขึ้นไปที่น่อง ทำให้ต้องเดินกะโผลกกะเผลก สำหรับผู้ที่มีอาการปวดส้นเท้าเรื้อรัง มักจะพบกระดูกงอกในส้นเท้าด้วย อาการปวดส้นเท้าจะเป็นหนักขึ้นเมื่ออากาศเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะพายุเข้าหรือฝนตก เวลาตื่นนอนหรือลุกจากที่นั่งใหม่ ๆ และอาการอาจทุเลาลงบ้าง เมื่อมีการเดินไปเดินมาสักพัก
สาเหตุของอาการปวดส้นเท้ามีด้วยกันหลายอย่าง เช่น น้ำหนักเกิน เดินมาก ๆ หรือยืนนาน ๆ เป็นประจำ ได้รับบาดเจ็บที่ส้นเท้า เบาหวานหรือเกิดจากความเสื่อมสภาพของร่างกายตามอายุ เป็นต้น อาการปวดส้นเท้าจัดเป็นการอักเสบเฉพาะที่ ซึ่งมิได้เกิดจากการติดเชื้อแต่อย่างใด หากแต่เกิดจากการไหลเวียนของเลือดลมบริเวณส้นเท้า มีการติดขัดและสะดุด ทำให้เลือดลมไหลเวียนไม่สะดวก จึงเกิดอาการปวดขึ้นมา ดังเช่นหลักการวินิจฉัยและรักษาอันสำคัญของการแพทย์จีน "ปวดแสดงว่าไม่โล่ง โล่งแล้วก็จะไม่ปวด"
การเดินในกิจวัตรประจำวันก็จะทำให้ส้นเท้าอักเสบมากขึ้น และเรื้อรังเป็นเวลานาน หากไม่มีการรักษาอย่างถูกวิธี อาการอักเสบนี้ก็จะไประคายข้อต่อและเยื่อหุ้มกระดูกในส้นเท้า ทำให้ส้นเท้าเกิดกระดูกงอกขึ้นมาได้ ดังนั้น กระดูกงอกในส้นเท้าจึงมิได้เป็นสาเหตุของอาการปวดส้นเท้า หากเป็นผลที่เกิดจากการอักเสบของส้นเท้าต่างหาก
สำหรับอาการปวดส้นเท้า การแพทย์จีนนิยมใช้สมุนไพรที่มีสรรพคุณในการขจัดพิษร้อน ที่สะสมอยู่ในส้นเท้า ซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้การไหลเวียนของเลือดลมในบริเวณนี้สะดุด และติดขัดจนเกิดอาการปวด เพื่อลดอาการอักเสบของส้นเท้า ส่วนสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการฟื้นฟู และกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตในร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณส้นเท้า ก็มีบทบาทสำคัญในการรักษาอาการปวดส้นเท้าเช่นกัน
แต่สำหรับผู้ที่ปวดส้นเท้าแบบจี๊ด ๆ พร้อมมีอาการหายใจไม่สะดวก ปวด แน่น จุกเสียดหน้าอก เหนื่อยง่าย อ่อนเพลียง่าย ขึ้นบันไดชั้นสองชั้นหรือทำอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ก็รู้สึกเหนื่อยหรือลิ้นสีม่วงแดงนั้น ผู้ป่วยควรตระหนักว่าเลือดลมในร่างกาย ไม่ได้ติดขัดและสะดุดเฉพาะที่บริเวณส้นเท้าเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลาย ๆ จุดเกิดการติดขัดและสะดุดจนเลือดลมไหลเวียนไม่สะดวก โดยเฉพาะบริเวณหัวใจ จึงควรรักษาอาการปวดส้นเท้า ควบคู่กับการทำความสะอาดหลอดเลือดทั่วทั้งร่างกาย
ส่วนผู้ป่วยปวดส้นเท้าที่มีอาการวิงเวียนศีรษะ หูอื้อ ตาลาย แขนขาอ่อนแรง ปวดเมื่อยตามร่างกาย ขี้หลงขี้ลืม ขี้หนาว ปัสสาวะบ่อย ฯลฯ แสดงว่าไตของผู้ป่วยนั้นอ่อนแอ ไม่แข็งแรงเท่าที่ควร จึงควรทำการบำรุงไตไปพร้อม ๆ กัน
อาการปวดส้นเท้าก็จะค่อย ๆ ทุเลาลงหรืออาจหายไปในที่สุด
ขอขอบคุณข้อมูลจาก