Support
Arjan Pong
035 323239, 035 323240, 089 8129392
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ

ระนาดเอก

ArjanPong | 27-01-2556 | เปิดดู 3629 | ความคิดเห็น 0

 

 

                          *** กลอนหวานผ่านใจ ***

 

 

 

 

                                    "ลุ้นระทึก!!..."

 

 

 

 

 

 

                                               

 

 

 

 

 

 

 

....โอยตายเเล้ว หากลืมตา เป็นบ้าเเน่

 

น้ำหนักเเย่ เพิ่มสองขีด รีดไงหนอ?

 

อุตสาห์กิน จำปาดะ มะละกอ

 

คุมจนท้อ ลดไม่ลง ปลงเลยเรา

 

 

 

 

 

....เพี้ยงสาธุ ลืมตามา ถ้าผิดหวัง

 

เปลี่ยนตาชั่ง ลงกระโถน โยนไปเผา

 

ลดลำบาก หากไม่ลง คงไม่เอา

 

เป็นเพราะเจ้า ตาชั่งเอียง เหวี่ยงทิ้งเลย....

 

 

 

 

 

 

 

                     

 

 

 

 

 

 

 

      เยอรมันเอาจริง! ธนาคารกลางเมืองเบียร์ประกาศถอนทองคำกลับประเทศ

          รอบแรกเกือบ 700 ตัน มูลค่าทะลุ 1 ล้านล้าน อ้าง “เผยเหตุผลไม่ได้”

 

 

 

 

เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์- ธนาคารกลางเยอรมนี (Deutsche Bundesbank) ประกาศเดินหน้าแผนดึงทองคำสำรองปริมาณมหาศาลกลับมาไว้ในประเทศ ถือเป็นการ “ยืนยันความถูกต้อง” ของรายงานข่าวก่อนหน้านี้ที่มีการเผยแพร่โดยหนังสือพิมพ์ด้านธุรกิจและการเงินรายวัน “ฮันเดิลสบลัตต์” เมื่อวันที่ 15 มกราคมที่ผ่านมา


รายงานข่าวล่าสุดเมื่อวันจันทร์ (21) จากนครแฟรงก์เฟิร์ต ซึ่งอ้างโมริตซ์ เอากุสต์ ราช โฆษกของ บุนเดสบังก์ ระบุว่า เยอรมนีจำเป็นต้องถอนทองคำสำรองที่ฝากไว้ในต่างประเทศกลับคืนมาด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง
 


“ผมขอยืนยันว่า เรามีความจำเป็นต้องนำทองคำของเยอรมนีกลับประเทศ ด้วยเหตุผลหลายประการด้านความมั่นคง ซึ่งเป็นเหตุผลที่เราไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณชนได้ แต่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราจำเป็นต้องปกป้องทองคำของเรา และยังต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการถอนทองคำกลับประเทศครั้งนี้” โฆษกธนาคารกลางเยอรมนีกล่าว



ท่าทีล่าสุดของโฆษกบุนเดสบังก์มีขึ้นเพียงไม่ถึง 24 ชั่วโมงหลังจาก “ดีทรอยต์ ฟรี เพรสส์” หนังสือพิมพ์รายวันเก่าแก่ในมลรัฐมิชิแกนของสหรัฐฯ ที่มียอดจำหน่ายกว่าวันละ 234,580 ฉบับ ตีพิมพ์รายงานข่าวที่ระบุว่า ธนาคารกลางเยอรมนี เตรียมเดินหน้าแผนการถอนทองคำของตนชุดแรก ที่มีปริมาณมหาศาลถึง 674 ตันจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สาขานิวยอร์ก รวมถึง ที่ตั้งธนาคารกลางฝรั่งเศสในกรุงปารีส เพื่อนำทองคำจำนวนดังกล่าวกลับมาเก็บไว้ภายในที่ทำการของบุนเดสบังก์ในนครแฟรงก์เฟิร์ต



โดยในจำนวนทองคำ 674 ตันของเยอรมนีที่จะถูกถอนกลับประเทศครั้งนี้ คิดเป็นทองคำที่ฝากไว้ในมหานครนิวยอร์กของสหรัฐฯ 300 ตัน ส่วนอีก 374 ตันที่เหลือเป็นทองคำที่ฝากไว้กับธนาคารกลางฝรั่งเศส และทองคำล็อตนี้ที่เยอรมนีจะดึงกลับประเทศมีมูลค่าสูงถึง 36,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1.07 ล้านล้านบาท) หรือคิดเป็นกว่า 1 ใน 5 ของทองคำสำรองทั้งหมดของเยอรมนี



ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 15 มกราคมที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์รายวัน “ฮันเดิลสบลัตต์” ของเยอรมนีรายงานว่า บุนเดสบังก์มีแผนนำทองคำของตนจำนวนมากที่ฝากไว้ในประเทศอื่น ทั้งในสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศสและสหรัฐฯ กลับประเทศเร็วๆ นี้เพื่อความมั่นคงทางการคลัง โดยระบุถือเป็นหนึ่งในการโยกย้ายทองคำระหว่างประเทศครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก หลังจากรัฐบาลเยอรมนีในอดีตโดยเฉพาะตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมาต่างมีนโยบายนำทองคำของตนไปฝากไว้ในต่างแดนเพื่อกระจายความเสี่ยงจากสถานการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศที่ตึงเครียดในยุค “สงครามเย็น” เนื่องจากรัฐบาลเยอรมนีในเวลานั้นเกรงว่า ทองคำของตน จะถูกสหภาพโซเวียตยึดครองเข้าสักวันหนึ่ง



ตามข้อมูลที่สื่อดังอย่าง “ฮันเดิลสบลัตต์” รายงาน ระบุว่า ขณะนี้ 45 เปอร์เซ็นต์ของทองคำของเยอรมนีถูกนำไปฝากไว้ในธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ขณะที่อีก 13 เปอร์เซ็นต์ และ 11 เปอร์เซ็นต์ ถูกนำไปเก็บไว้ในธนาคารกลางของอังกฤษ และธนาคารกลางฝรั่งเศสตามลำดับ ส่งผลให้มีปริมาณทองคำเพียงแค่ 31 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ถูกเก็บไว้ภายในสำนักงานใหญ่ของบุนเดสบังก์ หรือธนาคารกลางเยอรมนี ในนครแฟรงก์เฟิร์ต



รายงานข่าวยังระบุว่า ทองคำของเยอรมนีทั้งหมดที่นำไปฝากไว้ในฝรั่งเศส จะเป็นทองคำส่วนแรกที่รัฐบาลเยอรมนีต้องดึงกลับมาไว้ในประเทศ ขณะที่ทองคำบางส่วนที่ฝากไว้ในอังกฤษ และสหรัฐฯ ยังจำเป็นต้องคงอยู่ตามเดิมต่อไปก่อนอีกระยะหนึ่ง เพื่อรองรับการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ
 


ทั้งนี้ ธนาคารกลางเยอรมนีได้ชื่อว่าเป็นผู้ถือครองทองคำสำรองรายใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลก รองจากสหรัฐฯ โดยปริมาณทองคำในความครอบครองของบุนเดสบังก์นั้นมีกว่า 3,396.3 ตันเมื่อสิ้นปี 2011 หรือคิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 133,000 ล้านยูโร (ราว 5.3 ล้านล้านบาท)



ก่อนหน้านี้ ในช่วงปี ค.ศ.1998-2001 มีข้อมูลว่า ธนาคารกลางของเยอรมนีได้เคยถอนทองคำล็อตใหญ่ปริมาณกว่า 850 ตันที่ฝากไว้ในธนาคารกลางของอังกฤษในกรุงลอนดอนมาแล้วเช่นกัน ท่ามกลางข่าวลือในขณะนั้นว่า วิกฤตเศรษฐกิจในเอเชียที่เริ่มต้นในประเทศไทยเมื่อปี 1997 อาจลุกลามมาถึงยุโรป

 

 

 

*****************************

ผมมองว่า เยอร์มันคงจะกลัวว่าหากเกิดวิกฤติหนักขึ้นตัวเองจะไม่มีเงินเพราะเนื่องจาก อียู คงไม่มีเงินคืนในเวลาอันสั้นแน่

 

เลยน่าจะถอดเงินออกไปเพื่อให้สามารถสู้กับวิกฤติการณ์ที่ อียู กำลังประสพอยู่

 

ผมว่า อียูตอนนี้เริ่มให้สัญญาณ มาแล้วว่า ควบคุมไม่อยู่แล้ว ทั้ง ฝรั่งเศล หรือ เยอร์มัน

 

 

 

เมื่ออาทิตย์ก่อน มีการเลือกตั้งท้องถิ่นของรัฐ Niedersachsen (lower saxony) เมืองหลวงของรัฐนี้คือเมือง Hannover

ผลการเลือกตั้งปรากฎว่า พรรคฝ่ายค้านมีพรรค SPD กับพรรค Green ชนะพรรครัฐบาล พรรค CDU กับพรรค FDP

ด้วยจำนวน สส 69 ต่อ 68 พรรคฝ่ายค้านทั้งสองพรรค มี สส มากกว่าพรรคร่วมรัฐบาลเพียงคนเดียว แต่ก็จะดำเนินการจัดตั้งรัฐบาลต่อไป

โดยไม่เอาพรรคอื่นมาร่วม

 

 

ตอนนี้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในเยอรมันรู้สึกไม่พอใจมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ภาษีของพวกเขาถูกใช้ไปในการแก้ไขปัญหาของ EU มากกว่าที่จะมาดูแลพวกเขาเอง

ทำให้ตอนนี้การเลือกตั้งท้องถิ่นในหลายรัฐที่ผ่านมา ฝ่ายค้านมีสัดส่วนที่นั่งในสภามากขึ้น เนื่องจากความไม่พอใจที่รัฐบาลสนับสนุนการช่วยเหลือ EU ต่อไป

 

เดวิด คาเมรอน เค้าบอกว่าถ้าพรรคเค้าชนะการเลือกตั้งในปี 2015 เค้าให้สัญญาว่าจะมีการจัดทำประชามติว่าจะให้อังกฤษออกจาก EU หรือไม่ภายในปี 2017 ค่ะ อนาคต EU คงหนีไม่พ้นจะต้องล่มสลายแน่ๆ

 

 

เมื่อเดือนตุลาคม ปีที่แล้ว ธนาคารกลางของเยอรมัน /Bundesbank) ได้เปิดเผยรายละเอียดของทองคำที่ฝากไว้ในประเทศต่างๆ มี

1536 ตัน (45%) ฝากไว้ที่ Notenbank Fed in New York,U.S.A

.450 ตัน (13%) ฝากไว้ที่ Bank of England in London

374 ตัน (11%) ฝากไว้ที่ Banque de France in Paris

1036 ตัน หรือประมาณ 31% เก็บไว้ที่ในเยอรมนี

 

 

ผมว่ามันเริ่มเข้าสู่สงครามทางการเงินที่ชัดเจนขึ้นทุกที่ อเมริกาปั๊มเงินเข้าระบบการเงินหวังแก้เศรษฐกิจที่บ้านตัวเอง แต่เงินส่วนใหญ่กลับไหลเวียนออกมาเพื่อลงทุนทางการเงินในหลายรูปแบบนอกประเทศ คล้ายกับติดกระสุนให้พวกนักเก็งกำไรทางการเงินได้ออกมาทำกำไรครั้งใหญ่ ในขณะเดียวกันค่าเงินตัวเองก็อ่อนค่าลง ทำให้ทุกประเทศที่ถือเงินยูเอสเป็นทุนสำรองต้องเพิ่มสัดส่วนของยูเอสมากขึ้น เพื่อรักษาค่าเงินตัวเองไม่ให้แข็งค่ามากเกินไป

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศญี่ปุ่นและจีน ญี่ปุ่นและจีนก็เริ่มดิ้นแล้วเช่นกัน จีนก็พยายามรักษาค่าเงินที่อ่อนให้อ่อนต่อเนื่อง โดยโยกเงินออกนอกไปลงทุนคล้ายที่ญี่ปุนทำเมื่อต้นปี70 โดยให้เงินที่ไหลเข้าไหลออกไปให้ตัวเป็นแค่ทางผ่าน ญี่ปุ่นก็มีโครงการปั๊มเงินเข้าตลาดเช่นกัน ด้วยจำนวนที่ไม่น้อย เพื่อรักษาค่าเงิน ผมว่าเยอรมันคงจะต้องการเสริมความแข็งแกร่งของค่าเงินของตัวเองก่อนในเวลานี้ เพราะก่อนสงครามเกิด การไปถอนทองออกจากธนาคารก็ควรเป็นสิ่งที่ควรทำ คลื่นสึนามิทางการเงิน โดยเงินท่วมโลก งวดนี้ ผมว่าถ้ามันเกิด มีเงิน(ถือเงิน)ยังมีสิทธิ์เจ๊ง การมีหลักประกันดูน่าจะอุ่นใจกว่า

 

ขนาด EU ที่ว่า "เศรษฐกิจแน่ๆ" ยังทำท่าว่าจะ "ไปไม่รอด"

 

แล้วอย่างนี้ AEC ที่ดันทุรังจะให้มีในปี 2558 จะเกิดอะไรขึ้น

 

อีกอย่างนะครับ มีใครพอจะบอกได้ไหมว่าจะมี "ประโยชน์"

 

อะไรกับ "ประเทศไทย" มั่งครับ...!!! -_- -_-

 

 

EU ที่มีปัญหา เพราะประเทศที่เข้าใหม่แถวยุโรปใต้ เศรษฐกิจไม่แข็งแรงพอครับ

เมื่อเข้ากลุ่ม EU แล้ว ทาง EU จะมีเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ นัยว่าให้เศรษฐกิจประเทศยุโรปใต้พัฒนาทัดเทียมกับสมาชิกดั้งเดิม

แต่ปัญหาคือ ประเทศยุโรปใต้ส่วนใหญ่เอาเงินไปทำโครงการประชานิยมซะงั้น ฝีมันก็เลยบานทะโรมาตอนนี้ไงละครับ

 

ส่วน AEC ดีหรือไม่ ตอบเลยว่าดีครับ แต่ประเทศไทยต้องเตรียมพร้อมตัวเองด้วย

ตามทำเลแล้วไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียนในส่วนที่เป็นแผ่นดิน

เกริ่นก่อนนะครับ อาเซียนแบ่งเป็น 2 ส่วนใหญ่ คือ ส่วนแผ่นดิน และส่วนทะเล

ส่วนแผ่นดิน ประกอบด้วย ไทย พม่า ลาว เขมร เวียดนาม

ส่วนทะเล ประกอบด้วย มาเลเซีย สิงค์โปร์ อินโดนีเซีย บรูไน ฟิลิปปินส์

การทำ AEC คืออะไร ตอบง่ายๆ คือ การลดกำแพงภาษี, ข้อจำกัดต่างๆ ด้านการลงทุนและการจ้างงาน

ดังนั้นผลของการเปิด AEC คือ สินค้าไทยเข้าไปตามตลาดต่างๆ ได้มากขึ้น นักลงทุนไทยไปลงทุนต่างประเทศได้ง่าย แรงงานต้นทุนต่ำจะเคลื่อนย้ายเข้าสู่แหล่งงานได้ง่ายขึ้น

แต่ตอนนี้ประเทศไทย การเตรียมของภาครัฐยังไม่ชัดเจนแม้จะเหลือเวลาเพียงแค่ 2 ปีแล้ว

การเป็นศูนย์กลางโดยทำเลนั้น ผลประโยชน์จะได้เต็มเม็ดเต็มหน่อยเมื่อคุณเตรียมการ Logistic ให้ดี

ตอนนี้รัฐบาลยังไม่มีท่าทีที่ชัดเจนเรื่อง Logistic เสียดายโครงการของรัฐบาลที่แล้วเรื่องรถไฟรางคู่ทั่วประเทศ

ถ้าทำได้จริง ตัวนั้นละคือสิ่งที่ลด cost อย่างมีนัยสำคัญของ Logistic ในประเทศนี้

ส่วนเรื่องการเคลื่อนย้ายแรงงาน จะมีผลตามมามากมาย ต่อไปฝ่ายความมั่นคงต้องปรับเปลี่ยนแนวคิดในการป้องกันประเทศซะใหม่

เพราะสงครามในรูปแบบจะมีโอกาสเกิดได้น้อยลง แต่สงครามในรูปแบบอสมมาตรจะมีมากขึ้น จากการเคลื่อนย้ายของแรงงาน

ทั้งการก่อการร้าย ปัญหายาเสพติด สินค้าหนีภาษี การค้ามนุษย์ นี่เป็นรูปแบบใหม่ที่ฝ่ายความมั่นคงต้องตระหนักและเตรียมการรับมือในอีก 2 ปีข้างหน้า

 

 

 

ประเทศไทยใน 5 ปีนี้คงไม่มีอะไรมาก เพราะการเปิด AEC คงช่วยแบ่งเบาความรุนแรงของผลกระทบจากความตกต่ำของเศรษฐกิจโลกไปได้

แต่หลังจากนั้น เศรษฐกิจโลกดูแววแล้วมีความมืดมนมาก

 

อเมริกา แม้จะผ่านหน้าผาทางเศรษฐกิจไปได้ก็จริง แต่การฟื้นตัวยังอ่อนแอมาก แล้วการแก้ปัญหาหนี้ด้วยการเพิ่มวงเงินการก่อหนี้มากขึ้น ก็ไม่ต่างอะไรจากการดับไฟด้วยการใส่ฟืน ซักวันเมื่อถึงเวลาที่อเมริกาก่อหนี้เพื่อมาจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ เมื่อนั้นละจะเป็นการล้มละลายครั้งใหญ่ของโลก

 

ญี่ปุ่น ปัญหาเศรษฐกิจนั้น บอกตรงๆ ไร้ทางแก้ไข เพราะปัจจัยปัญหาจริงๆ คือ อัตราการเกิดที่ต่ำ ทำให้ภาระวัยพึ่งพิงต่อวัยแรงงานมีอัตราส่วนมากขึ้น ผนวกกับคนแก่ในญี่ปุ่นมีอายุยืนมากๆ ทำให้ภาระของวัยแรงงานมีแต่จะเพิ่มขึ้น

 

EU คงยังทรงๆ ไปเรื่อยๆ ถ้าไม่แตกซะก่อน ก็อาจกอดคอกันตายหมู่ เพราะประเทศผู้ออกเงินคือเยอรมัน เริ่มไม่พอใจมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ต้องแบกรับปัญหาที่ไม่ใช่ตนเองเป็นคนก่อ

 

จีน อัตราการเจริญเติบโตของ GDP เริ่มลดลง เพราะตลาดส่งออกชะลอตัว ตอนนี้คงต้องเร่งการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น แต่ปัญหาต่อไปของจีนคือ นโยบายลูกคนเดียว เพราะต้องหาเวลาที่เหมาะสมในการยกเลิกนโยบายนี้ ขณะนี้เศรษฐกิจเติบโตได้ เพราะวัยแรงงานที่มีจำนวนมาก เมื่อใดที่วัยแรงงานเริ่มลดลงจากนโยบายลูกคนเดียวแล้ว ยังแก้ไขไม่ได้ จุดจบคงไม่แตกต่างจากญี่ปุ่นในตอนนี้

 

 ******************************************

 

 

 

 

1. ทำงานเข้ากับสก. สข. ไม่ได้ ถ้าได้ก็เฉพาะสก.ปชป.บางคน

2. ทำงานเข้ากับรัฐบาลไม่ได้ เพราะทีมงานเต็มไปด้วย พธม. ยึดสนามบิน

3. เผลอๆ ทำงานเข้ากับข้าราชการไม่ได้ เพราะงานกทม. มีแต่งานชัก% ถ้าไม่ตามน้ำก็ต้องแตกหักกัน ถ้าตามน้ำ แล้วที่หาเสียงไว้ว่า "ซื่อสัตย์สุจริต" มันก็คงจะเหมือนกฎสนิมเหล็ก 9 ข้อ ของปชป.นั่นแหละ ที่ตั้งขึ้นมาหลอกสาวกว่าตนเองบริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่ความจริงมันก็ชัก%มาตั้งแต่ไหนแต่ไรละว๊า.... จริงไหมครับป๋าเทพเทือก ณ โรงพัก 369 แห่ง

4. ฝ่ายการเมือง และฝ่ายข้าราชการประจำข้างต้นใส่เกียร์ว่าง ก็ทำอะไรไม่ได้แล้วละครับ คนกรุงเทพฯ ก็ซวยปายยยยย

และตามสไตล์ของเสรีฯ พอเขาใส่เกียร์ว่าง ก็คงไปเด้งเขา คราวนี้ก็ทะเลาะกันยกใหญ่ ไม่ต้องเป็นอันทำงานกัน

วันๆ สื่อทั้งหลายก็คงทำแต่ข่าวทะเลาะกันทุกวัน

 

 

ตอนเป็นผบ.ตร ทำรีสอร์ทบุกรุกแม่น้ำแคว ด่าลูกน้องในที่สาธารณะว่าเป็นควาย

แสดงนิสัยลุแก่อำนาจ

จบเห่

ความคิดเห็น

วันที่: Fri Nov 15 17:49:45 ICT 2024

แสดงความคิดเห็น
All Comments: 0 Pages: 1/0

 <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_jUHKM1YHcc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>