สังคมโรคจิต
ใครเป็นพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย พี่ป้าน้าอาของเด็กนักเรียนที่โรงเรียนประถมแห่งหนึ่งในเมืองนิวทาวน์ รัฐคอนเน็คติกัต สหรัฐอเมริกา คงหัวใจแทบสลายเมื่อได้ข่าวลูกหลานตัวน้อย ๆ ของตนถูกฆาตกรบุกยิงเสียชีวิต 26 คนและบาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง รวมถึงคุณครูผู้กล้าหาญที่ออกมาขวางฆาตกรไม่ให้ฆ่าลูกศิษย์ตัวน้อย ๆ จนเธอถูกยิงตายไปด้วย ส่วนฆาตกรนั้นหลังจากแม่ตัวเองก่อนไปสังหารเด็กนักเรียนและครูแล้วก็ฆ่าตัวตาย ซึ่งคงไม่มีใครสงสารฆาตกรคนนี้ เพราะคนที่ฆ่าได้แม้กระทั่งแม่ตัวเอง เด็กตัวเล็ก ๆ และครูในโรงเรียนที่ตนเคยเรียนอยู่ คงไม่ใช่คนปรกติ อาจเป็นพวกที่ผุดขึ้นมาจากนรก และคราวนี้ก็คงกลับไปสู่นรกอย่างเก่า
ใครได้ดูข่าวทางโทรทัศน์ก็คงมีความรู้สึกโศกเศร้าร่วมกับคนอเมริกัน เชื่อว่าคนทั่วโลกไม่ว่าชาติใดภาษาใดศาสนาใดคงมีความรู้สึกสลดหดหู่จนยากที่จะบรรยาย ตามด้วยคำถามมากมายโดยเฉพาะความกังขาต่อสังคมอเมริกันที่เกิดการสังหารหมู่แบบนี้มาแล้วหลายครั้ง และนี่คงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ต่อไปก็คงมีอีก
มาดูกฎหมายว่าด้วยอาวุธปืนของอเมริกันสักหน่อยว่าทำไมคนอเมริกันถึงมีอาวุธปืนได้ง่ายดายแบบนั้น จากสถิติเมื่อปี 2548 สหรัฐอเมริกาผลิตอาวุธปืนเล็กทุกประเภทประมาณ 1,200,000 ล้านกระบอก ส่งไปขายต่างประเทศ 47,000 ล้านกระบอก ที่เหลืออีก 1,133,000 กระบอกจำหน่ายในสหรัฐ บวกกับของเก่าที่เหลืออยู่ในตลาดอาวุธปืน คงรวมกันแล้วหลายล้านกระบอก ส่วนสถิติในปัจจุบันยังหาไม่ได้ แต่มีสถิติล่าสุดที่บอกว่า ประชากรอเมริกัน 200 กว่าล้านคนมีอาวุธปืนรวมกัน 270 กระบอก หมายถึงว่า คนอายุเกิน 18 ปีขึ้นไปคนหนึ่งอาจมีอาวุธปืนมากกว่า 1 กระบอก แม้แต่ฆาตกรคนนี้เท่าที่ตำรวจไปตรวจพบทีหลังก็มีปืนสั้นปืนยาวถึง 4 กระบอกพร้อมกระสุนหลายร้อยนัด
จึงไม่ต้องแปลกใจที่อาชญากรรมในสหรัฐที่มีการใช้อาวุธปืนเกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย เมื่อปี 2554 คนอเมริกันถูกคนร้ายยิงตายไปแล้ว 10,728 คน ซึ่งเป็นจำนวนมาก มากกว่าประเทศอื่น ๆ หลายเท่า เพราะอังกฤษมีคนตายจากอาวุธปืนของคนร้ายเพียง 81 ราย ญี่ปุ่น 48 ราย แคนาดา 52 ราย สวิตเซอร์แลนด์ 34 ราย เยอรมนี 42 ราย หลายคนสรุปว่าอาชญากรรมที่มีการใช้อาวุธปืนในสหรัฐมีมากเพราะคนอเมริกันสามารถซื้อหาอาวุธปืนได้อย่างเสรี แม้แต่อาวุธสงครามก็ยังขายกันได้ในฐานะของเก่า บางคนไปร้านขายของเก่าซื้อรถถังมาขับเล่นก็มี
กฎหมายว่าด้วยอาวุธปืนของแต่ละรัฐแตกต่างกันไป ในรัฐแคลิฟอร์เนีย คนอเมริกันอายุ 18 ปีขึ้นไปสามารถหาซื้ออาวุธปืนพก ปืนไรเฟิล ปืนลูกซอง โดยไม่ต้องมีใบอนุญาต ยกเว้นว่าใครครอบครองอาวุธปืนพกต้องไปลงเลขทะเบียนอาวุธปืนกับตำรวจ และการพกปืนต้องได้รับอนุญาตจากทางการก่อน ถ้าเป็นในเมืองไทยก็ต้องมีใบพกพาอาวุธปืน เรียกว่าหากมีเงินก็ไปหาซื้ออาวุธปืนได้ตามใจชอบ ในรัฐนิวยอร์ค คนอเมริกันซื้ออาวุธปืนได้โดยไม่ต้องขออนุญาต ยกเว้นใครจะมีอาวุธปืนพกถึงต้องไปขออนุญาต
แต่ในตัวมหานครนิวยอร์ค ใครอยากมีปืนยาวก็ต้องขออนุญาตก่อนเช่นกัน ในรัฐแมสสาชูเซตต์ ใครจะซื้อและพกพาอาวุธปืนต้องขออนุญาตก่อน ส่วนคนจะซื้อปืนยาว ปืนไรเฟิล ปืนลูกซองยาวต้องมีอายุ 21 ปีขึ้นไป รัฐเวอร์จิเนียและรัฐฟลอริดา ใครจะไปซื้อปืนสั้นปืนยาวก็ทำได้ตามสบาย แต่รัฐฟลอริดากำหนดว่าหากจะพกพาติดตัวไปต้องมีใบอนุญาตพกพา อย่างไรก็ดี รัฐบาลของแต่ละรัฐก็มีมาตรการป้องกันเช่นกัน เช่น ใครจะซื้ออาวุธปืนต้องมีประวัติอาชญากรรมหรือยาเสพติดมาก่อน และกำหนดอายุของเยาวชนที่จะซื้ออาวุธปืนได้ โดยทั่วไปก็มักเป็น 18 ปี
ยกเว้นว่าบางรัฐเลี่ยงไปใช้มาตรการที่ทำให้การซื้อและครอบครองอาวุธปืนยุ่งยากและเสียเวลามากขึ้น เช่น ห้ามซื้อขายอาวุธปืนที่มีอำนาจทำลายร้ายแรง หรือมีการตรวจสอบประวัติของผู้ซื้อเข้มงวดมากขึ้น หากใครมีอาวุธปืนก็ต้องมารับการอบรมถึงวิธีการใช้อย่างถูกต้อง ไม่ใช่ว่ามีแล้วอยู่ ๆ นึกอยากชักปืนมายิงใครก็ทำได้เพราะคนอื่นเขาก็มิสิทธิ์เช่นเดียวกัน ต้องรู้เรื่องกฎหมายว่าด้วยการใช้อาวุธปืน บทลงโทษต่าง ๆ หากใช้ผิดวัตถุประสงค์
ทำไมประเทศประชาธิปไตยเช่นสหรัฐปล่อยให้เสรีกับประชาชนในการจัดหาและครอบครองอาวุธปืนได้ง่ายมากถึงขนาดนี้ เมื่อเกิดอาชญากรรมที่ใช้อาวุธปืนมากมาย และมีฆาตกรรมหมู่หลายครั้ง จึงมีเสียงเรียกร้องจากคนอเมริกันด้วยกันเองว่า ควรเข้มงวด หรือหาทางควบคุม จำกัดการมีอาวุธปืนไม่ให้มีกันง่ายเกินไป มีเงินก็เดินไปที่ร้านขายปืนและเลือกซื้ออาวุธปืนได้ตามใจชอบแล้วนำมาก่ออาชญากรรม คนส่วนหนึ่งก็ต้องหาอาวุธปืนไว้ป้องกันตัว อย่างไรก็ดี ยังมีอเมริกันหัวหมอที่อ้างว่า การจำกัดการครอบครองอาวุธปืนดังกล่าวเป็นการจำกัดสิทธิของประชาชนที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญซึ่งระบุว่า “ชาวอเมริกันมีสิทธิมีอาวุธไว้ในครอบครอง” ซึ่งรัฐธรรมนูญประเทศอื่น ๆ คงไม่มีมาตรานี้ คำถามคือ ประชาธิปไตยอเมริกันเสรีมากถึงขนาดนี้เชียวหรือ คนอเมริกันให้คำตอบว่า ไม่ใช่ แต่รัฐธรรมนูญและมาตรานี้ถูกกำหนดตามสภาพสังคมเมื่อ ค.ศ. 1787 (พ.ศ.2330 หรือ 225 ปีมาแล้ว ซึ่งเวลานั้น อเมริกากำลังเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน คนจากทุกสารทิศหลั่งไหลมาหาชีวิตใหม่ในแผ่นดินอเมริกา มีการต่อสู้แย่งชิงเข่นฆ่ากันมากมาย เหมือนอย่างที่เราเคยเห็นในภาพยนต์อเมริกันยุคเก่า ๆ ด้วยเหตุนี้ รัฐธรรมนูญจึงอนุญาตให้ประชาชนมีอาวุธปืนได้เพื่อคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของตนจากโจรผู้ร้าย
แต่ปัจจุบันสภาพบ้านเมืองเปลี่ยนไป บ้านเมืองมีความสงบเรียบร้อย ประธานาธิบดีบิล คลินตันเคยออกกฎหมายสหพันธ์ควบคุมอาวุธปืนเมื่อปี 2537 แต่หมดอายุไปแล้วในปี 2547 และไม่เคยมีการต่ออายุอีก แสดงว่า ตอนออกกฎหมายเมื่อปี 2537 อาจมีแรงต่อต้าน จึงกำหนดอายุไว้เพียง 10 ปี สมัยประธานาธิบดีโอบามา เขามีนโยบายรื้อกฎหมายนี้กลับมาใช้ใหม่ แต่ก็ไม่ได้กำหนดไว้ในความจำเป็นเร่งด่วนต้น ๆ จนเกิดโศกนาฎกรรมครั้งนี้ คราวนี้ โอบามาคงเร่งผลักดันเต็มที่ หากมีกฎหมายสหพันธ์มาควบคุมด้วยก็จะทำให้การบังคับใช้กฎหมายทั้งสหพันธ์และรัฐมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ก็คงไม่ง่าย เพราะยังมีคนอเมริกันที่มองว่าเป็นการละเมิดสิทธิของพลเมืองอยู่อีก โดยเฉพาะในสภาที่ยังมี ส.ส. และ ส.ว. พรรครีปับลิกันที่คอยคัดค้านการแก้ไขกฎหมายดังกล่าว ส่วน ส.ส.และ ส.ว.ในพรรคดีโมแครตก็ไม่ได้กระตือรือร้นออกมาสนับสนุนอย่างเปิดเผยในการแก้กฎหมายอาวุธปืน พรรคดีโมแครต 130 คนเคยเสนอร่างกฎหมายแก้ไขมาแล้ว โดย ส.ส.พรรครีปับลิกันไม่เคยร่วมลงชื่อเลย พอเกิดเหตุ พรรคดีโมแครตออกมาเรียกร้องให้พรรครีปับลิกันมาร่วมกันแก้ไขให้มีมาตรการเข้มงวดขึ้นในการตรวจสอบคนที่จะซื้ออาวุธปืนร้ายแรง อีกทั้งบริษัทผลิตและขายอาวุธปืนคงวิ่งล้อบบี้กับ ส.ส.และ ส.ว.อย่างเต็มที่
ช่วงเวลานี้เป็นจังหวะที่เหมาะที่สุดที่คนอเมริกันส่วนใหญ่เห็นว่าควรต้องควบคุมการมีและใช้อาวุธปืนกันอย่างจริงจังเสียที หากโอบามาไม่ทำตอนนี้เหมือนกับตีเหล็กในขณะที่กำลังร้อน โอบามาก็จะเสียโอกาสไปอีกครั้งหนึ่ง และหากพรรครีปับลิกันยังขวางอยู่ก็อาจเสียคะแนนไปได้
คำถามสุดท้าย คือ สังคมอเมริกันถูกมองว่าเป็นสังคมที่รุนแรง เพราะมีปัญหาอาชญากรรมมากมายแต่คนนอกไม่ค่อยรู้ จะรู้ก็แต่ส่วนดีของประเทศนี้ คนอเมริกาเริ่มกลับมาสนใจความรุนแรงในสังคมของตน แต่ในที่สุดก็คงเกิดขึ้นแล้วผ่านไปเพราะคนอเมริกันต้องแข่งกันทำมาหากิน
ใครเป็นประธานาธิบดีบารัค โอบามา เมื่อมาเจอโศกนาฎกรรมระดับชาติเช่นนี้ ก็คงจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวเหมือนกัน ที่สำคัญคือต้องระวังลัทธิเอาอย่าง เขาพยายามพลิกวิกฤติเป็นโอกาสที่จะไม่ให้เหตุร้ายเช่นนี้เกิดขึ้นอีก และเป็นช่วงจังหวะเหมาะที่สุดในขณะที่คนอเมริกันมีความรู้สึกร่วมกัน ที่จะต้องหาทางแก้ไขกฎหมายไม่ให้คนอเมริกันซื้ออาวุธปืนได้ง่ายเกินไป และคงต้องสำรวจด้วยว่า อาวุธปืนเป็นล้าน ๆ กระบอกเวลานี้ไปอยู่ที่ใครบ้าง ทางด้านวุฒิสภาก็พยายามผลักดันกฎหมายห้ามครอบครองอาวุธปืนร้ายแรง ต่อรัฐสภาในต้นปี 2556
แต่เชื่อเถิดว่า เหตุการณ์สังหารหมู่นักเรียนตัวน้อย ๆ ครั้งนี้คงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ทำนายว่าต่อไปก็จะมีอีกเพราะสังคมอเมริกันเป็นสังคมที่แข่งขันกันสูง ย่อมมีคนได้ประโยชน์และคนเสียประโยชน์ คนสมหวังและผิดหวัง ไม่มีการเอื้ออาทรต่อกัน ทุกคนเห็นแก่ตัวกันทั้งนั้น สหรัฐมีการพัฒนาด้านวัตถุ สิ่งก่อสร้าง นวัตกรรม แต่ยังเป็นที่สงสัยว่า...ใจคนอเมริกันได้รับการพัฒนาเพียงใด............
**** กลอนหวานผ่านใจ ****
เดียวดาย....
....เคยอวดช่อ ล้อลม ชมว่าสวย
ภมรช่วย เพิ่มสีสรร วันฟ้าใส
สบัดกิ่ง ถนอมเเรง เเกว่งก้านไกว
ฟุ้งพุ่งไกล เด่นสง่า พากันชม
....พิโธ่เอ๋ย กาลเวลา มาเร็วเเท้
เพียงเหลือบเเล เเค่จ้องมอง กองทับถม
เคยเปล่งปลั่ง สูงค่ายิ่ง ทิ้งเหยียบจม
เขี่ยถุยถ่ม เมื่อหมดค่า น่าเสียดาย......
(6ม.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลง ถึงนโยบายการขึ้นค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ ว่า เป็นไปแบบพรวดพราดขาดมาตรการรองรับ ทำให้เกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่ ไร้มาตรการรองรับ จนเกิดปัญหาจึงออกมาตรการ 5 ข้อ แบบฉุกละหุก จาก การสำรวจแรงงานนอกระบบปี 53 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า มีจำนวนผู้ทำงานแรงงานทั้งสิ้น 38.7 ล้านคน แยกเป็นผู้ทำงานในระบบหรือแรงงานในระบบ จานวน 14.6 ล้านคน คิด เป็น 37.7% และเป็นผู้ทำงานที่ไม่ได้รับความคุ้มครองและไม่มีหลักประกันทางสังคมจากการ ทำงาน หรือ แรงงานนอกระบบ จำนวน 24.1 ล้านคน คิดเป็น 62.3% แรงงานนอกระบบมีมากกว่าในระบบ
ซึ่ง “แรงงานนอกระบบ หรือคนระดับรากหญ้า 24.1 ล้านคน ไม่ได้รับประโยชน์จากโยบายนี้ เช่น คนขับรถสิบล้อ ชาวนา มอเตอร์ไซค์รับจ้าง พ่อค้าขายบนรถเข็น แม่ค้าส้มตำรถเข็น คนขายพวงมาลัย คนขายตามแผงลอย แต่พวกเขากลับต้องร่วมแบกรับผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อ ของแพง โดยที่รายได้ของพวกเขาไม่ได้เพิ่มขึ้น นโยบายนี้จึงฆ่าคนจนให้ตายทั้งเป็น ประมาณ 24.1 ล้านคน
น.ส.มัลลิกา กล่าวอีกว่า นอก จากนี้อุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี ก็ทยอยปิดตัว เพราะแบกรับต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านแรงงานที่เพิ่มขึ้นไม่ไหว ดังนั้นนโยบายนี้จึงหักดิบหนุ่มสาวโรงงานมีฝีมือให้ตกงานกระทันหัน เป็นการฆาตกรรมหมู่ประมาณ 14.6 ล้านคน อีกทั้งยังส่งผลให้ของแพงขึ้น
กลายเป็นส่วนหนึ่งที่กระชากค่าครองชีพของคนไทยทั้งชาติให้สูงขึ้น “จีงเรียกได้ว่านโยบายนี้เป็นนโยบายฉาบฉวย ประโคมโฆษณาเพื่อการตลาดเลือกตั้งอย่างไร้ความรับผิดชอบ และกลายเป็นปรากฎการณ์ "ประเทศไทยของเรา มันเผาซ้ำ กระทำชำเราชาติ" โดยทักษิณคิด เพื่อไทยทำ ปูตีกรรเชียง” รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว.
*************************
ในสายตาพรรค ปชป. ไม่ว่ารัฐจะทำอะไรก็ล้วนเป็นแต่เรื่องเสียหายให้กับชาติบ้านเมืองทั้งนั้น แต่ตอนที่ตัวเองเป็นรบ.เห็นแจกเงิน 2พัน ไข่ชั่งกิโล ทุกจริตงบอาชีวะ ถนนไร้ฝุ่น แถมเทงบกระจาดเป็นแสนล้านในการประชุม ครม.นัดส่งท้ายแบบมาราธอนคืนเดียวจบ ล้วนแต่เป็นเรื่องดี น่าจดจำทั้งนั้น