อดีตไล่ล่า กรรมติดจรวด
อดีตประธานาธิบดีโอโรโย่ ของฟิลิปปินส์
บทความจาก เดอะไทยนิวส์
ในการประชุมสมัชชาใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ผู้นำจีนได้เตือนว่าประเทศจีนอาจล่มจมได้หากไม่จัดการปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นอย่างเด็ดขาด เพราะปัญหานี้แพร่กระจายกว้างขวางมากขึ้นทั้งที่รัฐบาลได้จัดการจับกุมลงโทษบุคคลสำคัญระดับชาติไปมากมาย อย่างไรก็ดี นอกจากการทุจริตคอรัปชั่นแล้ว ยังมีอีกคำหนึ่งที่ใช้ควบคู่กันไปคือ การประพฤติมิชอบ แม้ยังไม่ถึงกับการทุจริตคอรัปชั่น แค่ประพฤติมิชอบก็ถือว่ามีความผิดแล้ว วันนี้ เราใช้เรดาห์สอดส่องไปทั่วโลกถึงพฤติกรรมของผู้นำ อดีตผู้นำ ครอบครัวที่ทุจริตประพฤติมิชอบ ที่ถูกลงโทษทางกฎหมายและทางสังคม บางทีผู้นำนั้นก็จัดการคนในครอบครัวของเขาเสียเองก่อนที่บ้านเมืองและตัวเขาจะเสียหายไปมากกว่านี้
เกาหลีใต้ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่เอาจริงกับการทุจริตประพฤติมิชอบอย่างยิ่ง สื่อมวลชนและคนเกาหลีใต้มีความตื่นตัวในเรื่องนี้และตรวจสอบพฤติกรรมของนักการเมืองอย่างจริงจัง ล่าสุด อัยการขอให้สำนักงานภาษีแห่งชาติตรวจสอบข้อมูลด้านภาษีของนายลีซีฮยอง บุตรชายคนเดียวของประธานาธิบดีลีเมียงบัก รวมทั้งอดีตหัวหน้าสำนักงานความมั่นคงของประธานาธิบดี พี่ชาย และภรรยาของผู้นำเกาหลีใต้ ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อที่ดินแปลงหนึ่งทางตอนใต้ของกรุงโซลเพื่อเตรียมสร้างบ้านพักหลังพ้นตำแหน่งของประธานาธิบดีเพราะมีความไม่ชอบมาพากลและเป็นเรื่องอื้อฉาวในลักษณะมีการเอาเงินหลวงไปซื้อในราคาสูง แต่ครอบครัวประธานาธิบดีซื้อต่อในราคาที่ถูก เรื่องนี้อื้อฉาวมากจนประธานาธิบดีเกาหลีใต้ต้องยกเลิกโครงการสร้างบ้านพักดังกล่าว พรรคฝ่ายค้าน สำนักงานอัยการ หน่วยตรวจสอบภาษี สื่อมวลชน ตรวจสอบจริงจังในเรื่องนี้มาก โดยไม่กลัวอิทธิพลและตำแหน่งของประธานาธิบดี เรื่องนี้จะกระทบต่อคะแนนนิยมของลีเมียงบักแน่ ๆ เพราะเขาจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีอีกครั้งหนึ่งในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นใน 19 ธันวาคม 2555 นี้
ส่วนอดีตผู้นำประเทศที่ทำอะไรไม่ดีไว้ในช่วงดำรงตำแหน่ง พอพ้นตำแหน่งก็โดนตามล้างตามเช็ด เรียกว่าในระหว่างมีอำนาจมีการทุจริตคอรัปชั่นและประพฤติมิชอบเพราะไม่มีใครกล้าทำอะไร หน่วยงานรัฐรวบรวมหลักฐานไว้คิดบัญชีตอนพ้นตำแหน่ง เช่น ศาลฎีกาไต้หวันเพิ่มโทษจำคุกอดีตประธานาธิบดีเฉินสุยเปี่ยนที่ถูกจับกุมเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2551 หลังพ้นตำแหน่ง และศาลตัดสินจำคุกข้อหารับสินบน 2 กระทรวง เพิ่มอีก 1 ปีรวมเป็น 18 ปี 6 เดือนหลังพบความผิดเพิ่มเติมในข้อหาฟอกเงินหลายล้านเหรียญสหรัฐ นายเฉินโทษว่าฝ่ายตรงข้ามและจีนแผ่นดินใหญ่แก้แค้นเขา แต่ไม่ยอมดูตัวเองว่าตัวเองและครอบครัวทำผิดจริงหรือไม่
เช่นเดียวกับอดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ นางอาร์โรโย่ ที่พ้นตำแหน่งไปแล้วก็เจอวิบากกรรมในข้อหาทุจริตคอรัปชั่นหลายกระทง ล่าสุดเจอคดียักยอกเงินจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล 366 ล้านเปโซ (ประมาณ 272 ล้านบาท) ซึ่งเป็นคดีที่ 3 หากศาลพิพากษาว่าผิดจริง นางอาจถูกจำคุกตลอดชีวิต โดยก่อนหน้านางเจอข้อหามาแล้วหลายกระทง เช่น ยักยอกเงินกองทุนสาธารณะ รับสินบนจากบริษัทโทรคมนาคมจากประเทศจีน โกงเลือกตั้ง ซึ่งคดีกำลังอยู่ในชั้นพิจารณาของศาล เช่นเดียวกัน นางอ้างว่าถูกกลั่นแกล้งโดยประธานาธิบดีคนปัจจุบัน นายเบนินโญ อากิโน (ที่สาม)
นางอาร์โรโยมีประวัติคล้ายกับนางอิเมลดา มาร์กอส อดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 ของอดีตประธานาธิบดีเฟอร์ดินันด์ มาร์กอส ที่ถูกกล่าวหาว่าทุจริตคอรัปชั่นและเป็นอดีตผู้นำที่ขี้โกงอันดับต้น ๆ ของโลก นางก็เจอคดีหลายคดีเหมือนกัน สมัยก่อน ฟิลิปปินส์เคยเป็นประเทศที่คนไทยยกย่อง นักเรียนคนไหนสอบเข้าในมหาวิทยาลัยไม่ได้ พ่อแม่ก็ส่งไปเรียนฟิลิปปินส์เพราะใกล้ไทย ค่าเล่าเรียนไม่แพง เศรษฐกิจใช้ได้ แต่ใครไปฟิลิปปินส์วันนี้จะพบว่าฟิลิปปินส์แย่กว่าสมัยก่อนมากมาย คนตกงานเยอะ ไปทางไหนก็เจอขอทานที่อายุน้อย บ้านเรือนทรุดโทรม รถเป็นรุ่นเก่า ๆ ไม่มีรถป้ายแดงออกใหม่แบบเมืองไทย พอถามคนฟิลิปปินส์ว่าทำไมเป็นอย่างนี้ เขาบอกว่า ความร่ำรวยของประเทศถูกตระกูลมาร์กอสฉกฉวยเอาไปจากประชาชนฟิลิปปินส์หมด โดยเฉพาะเข้าคุมธุรกิจที่เป็นหัวใจสำคัญของประเทศหมด
ฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่มีชื่อเสียงด้านอดีตผู้นำทุจริตคอรัปชั่นติดลำดับต้น ๆ ของโลก คือ อดีตประธานาธิบดีมาร์กอส ซึ่งนาจะอยู่ในลำดับ 1 และนายโจเซฟ เอสตราดา อดีตประธานาธิบดีอดีตพระเอกหนังขวัญใจคนจน ที่ติดลำดับ 10 ของโลก ประธานาธิบดีคนต่อมาเช่น อาร์โรโย ก็โดนคดีคอรัปชั่นเช่นกัน
ทั้งสองคดีสะท้อนให้เห็นว่า ศาลไต้หวันและฟิลิปปินส์เอาจริงเอาจังในเรื่องทุจริตคอรัปชั่นมาก ศาลปฏิเสธคำขอของนางอาร์โรโยที่ขอไปรักษาอาการปวดคอในต่างประเทศ เพราะเกรงว่านางไปแล้วจะไปลับ ไปแล้วไม่ยอมกลับมาฟิลิปปินส์อีก ดังมีตัวอย่างของผู้นำประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศให้เห็นแล้ว
ไปทางยุโรปบ้าง ที่อิตาลี ศาลตัดสินจำคุกนายแบร์ลุสโคนี อดีตนายกรัฐมนตรีคนดังซี่งมีเรื่องอื้อฉาวทางเพศ การทุจริตคอรัปชั่น เป็นเวลา 4 ปีฐานโกงภาษีโดยการยักย้ายถ่ายเทเงินทองและเสียภาษีน้อยลง เปิดบัญชีลับในต่างประเทศ ตบแต่งบัญชีเพื่อลดผลกำไร จะได้เสียภาษีน้อยลง ศาลสั่งให้นายแบร์ลุสโคนีจ่ายเงินชดเชยคืนแก่กรมสรรพากรเป็นเงิน 10 ล้านยูโร (ประมาณ 400 ล้านบาท) ชดเชยภาษีที่รัฐสูญเสียไป แต่ศาลลดโทษให้เหลือ 1 ปี เพื่อลดความแออัดของเรือนจำ และถูกห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง 5 ปี นอกจากนี้ คนสนิทของเขาซึ่งเป็นนักการเมืองท้องถิ่น คือ นายฟรังโก ฟิโอริโด และเป็นแกนนำในการหาเสียงให้ในแคว้นลาซิโอ ถูกอัยการสั่งยึดทรัพย์มูลค่า 1,300 ล้านยูโร (ประมาณ 52,000 ล้านบาท) ในข้อหาฉ้อฉลเงินสนับสนุนพรรคเสรีประชาชนของนายแบร์ลุสโคนี ศาลสั่งยึดรถยนต์หรูหลายคันเพราะเขาชอบสะสมรถหรู
เป็นที่น่าสังเกตว่า ผู้นำประเทศที่ครองอำนาจนาน ๆ เช่น มาร์กอส แบร์ลุสโคนี พวกนี้จะเข้ายึดกุมธุรกิจที่เป็นหัวใจของเศรษฐกิจประเทศทั้งหมด เช่น พลังงาน ไฟฟ้า ประปา สื่อสารโทรคมนาคม บางคนรวยมาก่อนแล้วเล่นการเมืองเช่นแบร์ลุสโคนี่ เป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ เป็นคนคิดเร็ว ทำเร็ว ตัดสินใจเร็ว โลดโผน หรือหวา ถูกอกถูกใจชาวอิตาลีจึงได้เป็นนายกรัฐมนตรีหลายสมัยนานกว่าคนอื่น เมื่อมีอำนาจก็ใช้อำนาจเพิ่มพูนผลประโยชน์ทางธุรกิจของตนเอง ยักย้ายถ่ายเทหุ้น เลี่ยงภาษี พอหมดอำนาจวาสนาก็โดนคิดบัญชีย้อนหลัง และเช่นเดียวกับอดีตผู้นำคนอื่นที่โดนแบบเดียวกัน ที่มักจะโวยว่าถูกการเมืองกลั่นแกล้ง แต่ไม่เคยดูพฤติกรรมของตนเอง อย่างไรก็ดี นายแบร์ลุสโคนีหนีออกนอกประเทศไม่ทัน คงต้องติดคุกอยู่ในประเทศ ผู้นำหลายคนกำลังถูกอดีตไล่ล่าอยู่ในขณะนี้ หลายคนโดนกรรมติดจรวด โดยไม่ต้องรอไปถึงชาติหน้า
อย่างไรก็ดี ยังมีผู้นำที่ใจซื่อมือสะอาดและไม่ยอมให้คนในครอบครัวอาศัยอำนาจหน้าที่ของตนแสวงหาผลประโยชน์ ซึ่งไม่ใช่ผู้นำในประเทศพัฒนาตะวันตกแต่อย่างใด แต่เป็นประธานาธิบดีฟรังซัวร์ โบรซิเซ แห่งสาธารณะรัฐแอฟริกากลาง ซึ่งเป็นชาติที่ยากจนที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ที่สั่งให้ตำรวจจับบุตรชายของตัวเองที่เข้าพักโรงแรมห้าดาวในเมืองหลวงและเบี้ยวไม่ยอมจ่ายค่าโรงแรมและค่าอาหาร ค่าบริการ เป็นเงินกือบ 8 ล้านฟรังซ์ (กว่า 474,000 บาท) โดยขู่ว่าเป็นบุตรชายของประธานาธิบดี แต่ข่าวไม่ได้แจ้งว่านายคนนี้ชอบเบ่งคุยทับว่า “ มึงรู้ไม๊พ่อกูเป็นใคร” ที่ไม่มีใครอยากตอบคำถาม เพราะขนาดพ่อตัวเองยังไม่รู้ว่าเป็นใคร เที่ยวไปถามคนอื่น ก็คงไม่อยากมีใครไปตอแยด้วย แต่ทางโรงแรมไม่ยอม แจ้งให้ประธานาธิบดีทราบ ประธานาธิบดีจึงสั่งตำรวจให้ไปนำตัวผู้จัดการโรงแรมและบุตรชายมาสอบถาม บุตรชายอ้างว่าจ่ายเงินแล้ว แต่ผู้จัดการโรงแรมบอกว่ายังไม่จ่าย เรื่องชักจะจบไม่สวยเมื่อประธานาธิบดีสั่งขังทั้งคู่ แต่พอปรากฎภายหลังว่าบุตรชายพูดไม่จริง ผู้จัดการโรงแรมจึงได้รับการปล่อยตัวไป
หลังเกิดเรื่องดังกล่าว ทำให้ประธานาธิบดีฟรังซัวร์ทราบว่า นายทหารและตำรวจชั้นผู้ใหญ่หลายรายที่ไปใช้บริการที่โรงแรมนี้เบี้ยวไม่ยอมจ่ายเงินหรือติดค้างไว้ ประธานาธิบดีจึงมีคำสั่งให้คนเหล่านี้จ่ายหนี้ให้โรงแรมทันที มิฉนั้น จะถูกจับกุมตัว พวกนี้จึงต้องตาลีตาเหลือกเอาเงินไปจ่าย สำหรับโรงแรมก็คงรอดจากการเจ๊งไปได้ แต่ไม่รู้ว่าหากประธานาธิบดีฟรังซัวร์พ้นอำนาจ โรงแรมจะอยู่ได้หรือไม่ อย่างไรก็ดี โรงแรมนี้อาจเป็นการลงทุนของชาวต่างชาติตะวันตก จึงกล้าหาญชาญชัยไม่กลัวอิทธิพล
เมื่อไรคนไทยเราจะโชคดีที่ผู้นำและนักการเมืองขี้โกงถูกศาลตัดสินจำคุกแบบนี้บ้าง และเมื่อไรเราจะมีผู้นำที่ดีที่กล้าแม้แต่จะดำเนินคดีกับคนในครอบครัวหากทำผิดเพื่อรักษาชื่อเสียงของตนเองไว้ เพราะที่ผ่านมา เรามักมีนักการเมืองขี้โกงที่หลุดรอดคดีไปได้แทบทุกครั้ง และมีนักการเมืองที่ให้ท้าย ปกป้องลูกไม่ว่าลูกจะไปทำระยำตำบอนเพียงใด ก็ถือว่าเป็นกรรมของคนไทย
***** มุมการเมือง *****
ว.วชิรเมธี ออกมาแจงแล้ว...ข้อเขียนอร่อยจนลืมกลับวัด/กับลายเซ็นต์.
ไม่ผิดวินัยสงฆ์นะ!!!...
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก ว.วชิรเมธี (W.Vajiramedhi)
ท่าน ว.วชิรเมธี แจง เขียนข้อความ อร่อยจนลืมกลับวัด ไม่ผิดวินัยสงฆ์ เผย แค่เขียนให้กำลังใจลูกศิษย์ ไม่ได้ต้องการเพิ่มมูลค่าทางการตลาด หลังคนตีความไปไกลจนเกิดกระแสในโลกไเบอร์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในโลกไซเบอร์ขณะนี้ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงกรณีที่มีภาพถ่ายของ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ท่าน ว.วชิรเมธี พระนักเทศน์ชื่อดัง คีบตะเกียบฉันอาหาร และมีข้อความเขียนใต้รูปว่า "อร่อยจนลืมกลับวัด" พร้อมลายเซ็นของท่าน ว.วชิรเมธี อยู่ในกรอบรูปที่ประดับอยู่ในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ทำให้ชาวเน็ตตั้งคำถามว่า หากรูปภาพ และลายเซ็นดังกล่าวเป็นของจริง ถือเป็นการเหมาะสมหรือไม่ แล้วจะผิดต่อวินัยสงฆ์หรือไม่ เพราะเหมือนกับว่าพระสงฆ์เชิญชวนให้มาชิมร้านอาหารดังกล่าว
เกี่ยวกับประเด็นนี้ เว็บไซต์ วอยซ์ ทีวี ได้สอบถามไปยัง ท่าน ว.วชิรเมธี ทันที ซึ่ง ท่าน ว.วชิรเมธี กล่าวชี้แจงว่า สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ถือเป็นการผิดวินัยสงฆ์ โดยการเขียนข้อความดังกล่าว เพื่อให้ขวัญกำลังใจกับลูกศิษย์ เป็นข้อความที่เขียนกันทีเล่นทีจริง ตามประสาครูอาจารย์ ลูกศิษย์อย่าตีความกันเลยเถิดไป
พระนักเทศน์ชื่อดัง ยังยืนยันอีกด้วยว่า ข้อความดังกล่าวไม่ใช่การการันตีเหมือนรายการเชลล์ชวนชิม ไม่ได้ต้องการเพิ่มมูลค่าทางการตลาดอะไร ไม่มีวัตถุประสงค์อะไรมากไปกว่าการให้กำลังใจลูกศิษย์เท่านั้น ดังนั้น เรื่องที่วิจารณ์กันนี้ถือเป็นเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องอย่างยิ่ง
ทำไปแล้ว...จะแก้ตัวยังไงสังคมตัดสินไปแล้ว
***ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว***
บวชเพื่อละโลกธรรมทั้ง8
ไม่ใช่บวชเพื่อหนทางสู่โลกธรรม
โลกธรรม 8 หมายถึง ธรรมดาของโลก เรื่องของโลก ธรรมชาติของโลกที่ครอบงำสัตว์โลกและสัตว์โลกต้องเป็นไปตามธรรมดานี้ 8 ประการอันประกอบด้วย
โลกธรรมฝ่ายอิฏฐารมณ์ คือ พอใจของนุษย์ เป็นที่รักเป็นที่ปรารถนา
โลกธรรมฝ่ายอนิฏฐารมณ์ คือ ความไม่พอใจของมนุษย์ ไม่เป็นที่ปรารถนา
มีพระองค์ไหนมั่งที่อุตริธรรม เขียน" ชอบ ติดใจ รสอาหาร" พระแท้ๆ จะไม่ติ..ชม ว่าอาหารที่โยมถวาย อร่อยหรือไม่อร่อย
พระที่เคร่งบางรูป ยังฉันอาหารรวมๆกัน ในบาตรเลย เพื่อไม่ให้มีจิต ยินดี ยินร้ายในรสอาหาร ถือว่าเป็นกิเลสอย่างหนึ่ง
อาจมี พวกห่มผ้าเหลืองมาอาศัยข้าววัดกินที่ มีกิเลสหนา พูด..แถมเขียน ชมซะอีกว่า " อร่อยซะ...."
วันที่: Fri Nov 15 16:58:00 ICT 2024
|
|
|