ทุกวันยายจะตื่นมาตั้งแต่ตีสี่ หลังจากสวดมนต์ และทำกิจส่วนตัว ก็จะออกมาเตรียมอาหารใส่บาตร โดยมีลูกสาวช่วยอีกแรง
วันหนึ่งหลานสาว ซึ่งต้องออกไปทำงานก่อนฟ้าสางสังเกตว่า ตีห้าครึ่งแล้ว ยายยังไม่ออกมาเตรียมอาหารเหมือนเคย มีแต่แม่อยู่ในครัวคนเดียว จึงมาเคาะประตูห้องยาย พร้อมกับถาม"ยายจ๋า ไม่ใส่บาตรเหรอ"
ยายตอบด้วยน้ำเสียงแจ่มใสวา “วันนี้ไม่ใส่หรอก เดี๋ยวยาจะนั่งสมาธิต่อสักหน่อย”
หลานสาวถามต่อว่า “งั้นหนูไปทำงานนะ ยายจะเอาอะไรไหม”
ยายตอบว่า “ไปเหอะ ยายไม่เอาอะไรอีกแล้ว”
จนสายยายก็ยังไม่ออกมาจากห้อง ลูกสาวรู้สึกผิดสังเกต จึงทั้งเรียกทั้งเคาะประตูห้องอยู่นาน แต่ไม่มีเสียงตอบรับ จึงไปเรียกคนมาช่วยงัดประตูห้องเข้าไป ภาพที่ปรากฏก็คือ ยายนุ่งขาวห่มขาวหลังพิงฝาอยู่ในท่านั่งสมาธิ ดวงตาปิด มีรอยยิ้มน้อยๆ คล้ายๆ คนนั่งหลับ แต่พอมีคนมาแตะตัว ร่างของยายก็เอียงกะเท่เร่ลงมา ถึงตอนนั้นทุกคนจึงรู้ว่ายายหมดลมแล้ว
ยายจากไปอย่างสงบ และดูเหมือนจะรู้ตัวล่วงหน้าด้วย ว่าจะจากไปในเช้าวันนั้น จึงนุ่งขาวห่มขาวและเลือกที่จะทำจิตให้สงบ แทนที่จะออกไปใส่บาตรเหมือนเคย ธรรมดาคนที่รู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย ย่อมอยากให้คนรักหรือลูกหลานอยู่ใกล้ ๆ เพื่อเป็นกำลังใจ แต่ยายกลับปรารถนาที่จะอยู่ลำพัง ใช้เวลาที่เหลืออยู่กับการสวดมนต์ รำลึกถึงพระรัตนตรัย และนั่งสมาธิ
คนที่จะทำเช่นนี้ได้ ย่อมไม่อาลัยในชีวิตและไม่กลัวความตาย ทั้งนี้เพราะเชื่อมั่นว่าได้ทำความดีมาโดยตลอด และได้ใช้ชีวิตอย่างมีประโยชน์คุ้มค่ากับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ จึงแน่ใจว่ามีสุคติเป็นเบื้องหน้า ขณะเดียวกันก็มั่นใจว่าหน้าที่ที่สมควรทำก็ทำเสร็จสิ้นแล้ว จึงหมดห่วงไร้กังวล ดังนั้นจึงพร้อมที่จะจากไปอย่างเงียบๆ โดยไม่จำเป็นต้องสั่งเสียหรือล่ำลาลูกหลาน
*
*
ต่อท้าย #1 17 พ.ค. 2555, 10:43:00
"วางได้จึงไปดี"
เรื่องโดย พระไพศาล วิสาโล